เจ้ามังกรพรีเมี่ยม - ตอนที่ 442 สมาคมการค้าเจียงผิง
ชั้นหกสิบแปดถึงชั้นแปดสิบแปดของอาคารกั๋วจี้ล้วนเป็นของบริษัทลี่จิงกรุ๊ปทั้งหมด และยังมีชั้นเฉพาะที่ใช้เป็นโรงยิมสำหรับพนักงานอีกด้วย
ขณะนี้ คนจำนวนมากต่างแออัดกัน
เมื่อคนบ้าดนตรีตัดสินใจที่จะเล่นคอนเสิร์ตที่นี่ หลินชิงเสว่จึงให้คนจัดการสถานที่ให้แล้ว
ผู้คนจำนวนมากต่างคึกคัก
ผู้คนที่มาปรากฏตัวที่นี่ ล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโต สำหรับระดับนี้ ทุกคนต่างรู้แน่ชัดว่า ตำแหน่งที่ดีที่สุดจะต้องมอบให้กับคนที่มีตำแหน่งสูงเท่านั้น
ถังเฉาและครอบครัวของหลินชิงเสว่ทั้งสามคนนั่งบริเวณด้านหน้าของแถว
ส่วนด้านข้างก็จะเป็นหลัวปู้ หูอีซาน เจิงเทียนเสียง หากมองไปให้ไกลกว่านี้ก็จะเป็นต่งวี่ซู่และจ้าวเย็นหราน
“คุณถังครับ ตอนนี้องค์กรของคุณได้หยั่งรากปักฐานเรียบร้อย จวี้เฟิงกรุ๊ปเองก็อยู่ในการดูแลของผม ส่วนสมาชิกของตระกูลหูทั้งหมดก็ได้ถูกไล่ตะเพิดออกไปหมดแล้วครับ”
“ลูกสาวของผมกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ชื่อว่าหลินจ้าวหยูน ผมก็ได้จัดการให้พวกหล่อนได้เข้าฝึกงานที่จวี้เฟิงกรุ๊ปแล้วครับ”
ในตอนนี้คอนเสิร์ตของคนบ้าดนตรียังไม่ทันเริ่ม หูอีซานจึงใช้โอกาสนี้มารายงานสถานการณ์
“อืม ทำได้ไม่เลวเลย”
ถังเฉาตบไปที่ไหล่ของหูอีซาน พร้อมกับยิ้มให้
เขายอมรับความสามารถของหูอีซาน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้รับอนุญาตให้ไปสำรวจตลาดของเจียงเฉิงเป็นแน่
หูอีซานได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปความปิติ
เจิงเทียนเสียงนั้นมองดูอย่างอิจฉา เขาเองก็อยากรายงานเช่นกัน แต่เขาดันอยู่ที่ถังเฉา ดังนั้นถึงเกิดเรื่องอะไรที่ไม่ดีขึ้นมา ถังเฉาก็รู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ถังเฉาก็หันไปมองหลินชิงเสว่
“ผมตัดสินใจที่จะให้บริษัทลี่จิงกรุ๊ปไปพัฒนาที่เจียงเฉิง เจียงเฉิงถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเจียงซูและเจ้อเจียง หากบริษัทลี่จิงกรุ๊ปสามารถลงหลักปักฐานในเจียงเฉิงได้ อนาคตก็จะเข้าสู่เยี่ยนจิง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่มั่นคงมากๆเลย”
ในใจของหลินชิงเสว่รู้สึกตื้นตัน
“ฟังนายก็แล้วกัน ตอนนี้นายเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว”
ถังเฉาได้สร้างภาพไว้สำหรับอนาคตเรียบร้อย เธอเข้าใจว่าทุกๆอย่างนี้ท้ายสุดจะนำพาให้เธอได้กลับไปที่เยี่ยนจิง
และเมื่อถึงเวลาที่กลับไปเยี่ยนจิง หลินชิงเสว่ก็จะมีฐานะเท่ากันกับตระกูลหลวงในเยี่ยนตู
อีกอย่าง อย่าเพิ่งตระกูล เพิ่งตัวเองดีกว่า
อย่างไรก็ตาม หลัวปู้นั้นมีท่าทีที่เคร่งขรึม
“คุณถัง การที่จะทำให้บริษัทลี่จิงกรุ๊ปเข้าสู่ตลาดที่เจียงเฉิงก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ก็มีความยากอยู่”
ถังเฉาเลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
“เจียงเฉิงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเจียงซูและเจ้อเจียง เป็นที่ตั้งของหอการค้าใหญ่สองแห่ง แห่งแรกก็คือหอการค้าอินทรีของผม ส่วนอีกที่ก็คือสมาคมการค้าเจียงผิง”
“แม้ว่าอินทรีแดงและเจียงผิงจะเป็นสมาคมการค้าหลักแปดแห่งในชื่อของนายบ้าการค้า แต่ในระหว่างนี้ก็มีการต่อสู้เกิดขึ้นอยู่มากมาย”
“การสนับสนุนช่วยเหลือหลักของสมาคมอินทรีแดงของผมนั้นอยู่ในหมิงจู ขณะที่การสนับสนุนช่วยเหลือของสมาคมการค้าเจียงผิงนั้นอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง”
ถังเฉาเข้าใจความหมายของหลัวปู้ทันที
นี่มันก็ไม่ต่างกับบริษัทต่างชาติที่ต้องการจะเปิดตลาดในประเทศ พวกเขาจะพบกับการโต้กลับร่วมกันจากบริษัทในท้องถิ่นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขายิ้มอย่างแผ่วเบา “นายดูแลเรื่องการสนับสนุนช่วยเหลือให้เต็มที่ ฉันเชื่อว่าสมาคมการค้าเจียงผิงต้องรับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้เป็นแน่”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าเช่นนี้ ในใจของหลัวปู้ก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
“มีอีกเรื่องครับ สมาคมการค้าเจียงผิงนั้นต้องการสนับสนุนช่วยเหลือจวี้เฟิงกรุ๊ป”
หูอีซานกล่าวเสริมไปอีกว่า “ที่พูดกันถึงเรื่องการช่วยเหลือก็คือการลงทุนหุ้นจากต่างประเทศครับ เมื่อรู้ว่าผมเป็นพนักงานของหอการค้าอินทรีแดง ก็ยังจะให้ผมไปเข้าร่วมสมาคมการค้าเจียงผิงอีก มิเช่นนั้นก็จะกดดันอย่างรุนแรง!”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ดวงตาของถังเฉาก็หรี่ลง “ดูเหมือนว่าสมาคมการค้าเจียงผิงจะไม่ค่อยสงบสุขกันนักสินะ”
หลินชิงเสว่ที่อยู่ด้านข้างฟังเรื่องราวมาตลอด ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
หากครั้งนี้ไม่ได้นั่งอยู่ข้างๆ เธอคงไม่มีวันรู้เลยว่าสิ่งที่ถังเฉาพูดอยู่ปกตินั้นจะเป็นเช่นนี้
ขณะนั้นเอง ฉากทั้งหมดดูเหมือนจะถูกตัดออกและจมดิ่งสู่ความมืดมิดทันใด
พรึ่บ!
ในชั่วพริบตาต่อมา สปอตไลท์เพียงดวงเดียวก็พุ่งมาจากด้านบน
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปจุดที่แสงรวมอยู่
ร่างที่ปรากฏขึ้นนั้นคือคนบ้าดนตรีฉินเจียนเวย
หล่อนยังคงสวมผ้าคลุมสีขาวขุ่นและเสื้อคลุมสีขาวเรียบๆ เดินเท้าเปล่าเข้ามา
ทันใดนั้นทุกอย่างก็เงียบลง
หล่อนนั่งลงอย่างมั่นคง ด้านหลังมีหญิงสาวสวมเสื้อสีขาวที่มีท่าทางเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์
พวกหล่อนนั้นเป็นลูกศิษย์ของคนบ้าดนตรี เสื้อคลุมสีขาวล้วน เป็นสัญลักษณ์เสื้อผ้าของคนบ้าดนตรี
ด้านหน้าของฉินเจียนเวย มีกู่เจิงอันใหญ่วางอยู่
คนบ้าการดนตรีเชี่ยวชาญในดนตรีทุกประเภท แต่มีเพียงกู่เจิงที่เป็นจุดอ่อนเดียวของหล่อน
ติ๊ง ต่อง…
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงเพลงบรรเลงขึ้นจากความเงียบงันนั้น คนบ้านดนตรีวางมือบนกู่เจิงและเริ่มบรรเลงมัน
ลูกศิษย์ของคนบ้าดนตรีที่อยู่ด้านหลังก็เริ่มเล่นประกอบคู่กันไป
“เริ่มแล้วล่ะ”
รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของถังเฉา เขาจับมือของหลินชิงเสว่อย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูดออกไป
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินชิงเสว่นั้นได้มาชมคอนเสิร์ตของคนบ้าดนตรี ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มอย่างจริงจัง ก็ดูเหมือนว่าเธอติดเข้าไปอยู่ในบรรยากาศนั้นเสียแล้ว
มีสองท่วงทำนองด้วยกัน ทำนองแรกเป็นแบบนุ่มนวลผ่อนเบา ส่วนอีกทำนองนั้นดูถี่และเร่งรีบ เมื่อทำนองเสียงทั้งสองได้มาประสานกัน ก็ก่อให้เกิดเสียงที่ดูเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง
เหมือนนักดาบที่จำศีลมานานในสมัยโบราณ ได้ตื่นขึ้นจากการกระทบกันของดาบเล่มนี้
ดนตรีจู่ๆก็กลายเป็นเร่งจังหวะให้ความรู้สึกกระวนกระวาย นิ้วของคนบ้าดนตรีเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว
จากนั้นมีเสียงของหญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา
“ภูเขาสูงใหญ่ที่หักลง คือกระดูกสันหลังของโลกใบนี้
โคลนสีเหลือง คือสายเลือดที่หล่อเลี้ยงพื้นดิน
ส่วนกระดูกของภูเขา นั้นคือความโศกเศร้าของบรรพบุรุษเรา”
ถังชิงเหอถือไมโครโฟน ร้องเพลงคู่ไปกับคนบ้าดนตรี
ในขณะนี้ หัวใจของทุกคนดูเหมือนจะถูกโจมตีด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่
ไม่มีใครคิดเลยว่า กู่เจิงจะสามารถบรรเลงเพลงได้เร้าใจอารมณ์คนขนาดนี้
ขณะที่เคลิบเคลิ้มอยู่ในภวังค์ ดูเหมือนว่าผู้คนจะถูกนำพามาถึงสนามรบทางตอนเหนือเข้าให้แล้ว
มีเสียงคำรามตะโกนฆ่าท้องฟ้าทุกที่
มีฉากวีรกรรมของดินแดนที่เปื้อนเลือดอยู่ทุกแห่งหน
“หลายพันปีต่อมา สามีภรรยากลับดี
เพลงบรรเลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน สรรเสริญผู้สูงส่งไปตลอดกาล”
ดนตรีเริ่มหนักขึ้นทุกที คนบ้าดนตรีเต้นรำและเริ่มบรรเลงกู่เจิงด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น
น้ำเสียงของถังชิงเหอเองก็ดูทุ้มต่ำลงเรื่อยๆ
“บทเพลงแห่งยุครุ่งโรจน์ ถนนหนทางได้เป็นเทพลวงตาฝังความสำเร็จของบรรพบุรุษเป็นเวลาหลายพันปี
สรรพสัตว์ทั้งหลายเปรียบเสมือนมด ถนนสายหลักตัดอยู่ทางด้านหน้า การร้องเพลงมีต่อไปโดยปราศจากการเอ่ยถึงการกำเนิดของเหยี่ยนตี้และหวงตี้(หมายถึงบรรพบุรุษของชาติจีน)”
ดนตรีทำให้จิตใจเบิกบาน และท่วงทำนองทำให้ผู้คนรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น
โดยเฉพาะคนที่มาอยู่ที่นี่ในค่ำคืนนี้ ล้วนแต่อายุรุ่นราวห้าสิบหกสิบปีกันทั้งนั้น
พวกเขาเติบโตมากับการฟังเรื่องราวต่างๆนี้ สำหรับพวกเขานั้นเพลงนี้คือสิ่งที่น่าหลงใหลอย่างหนึ่ง
ดนตรีนั้นช่างอ้างว้างและเศร้าโศก อารมณ์ของพวกเขาค่อยๆจมดิ่งลงไป
ความอัดอั้นตันใจของบทเพลงเริ่มเพิ่มขึ้น พวกเขาเห็นแสงของรุ่งอรุณ
เมื่อดนตรีอยู่ในจุดที่ใกล้จะสูงสุด ทุกคนลุกขึ้น ดวงตาเป็นประกาย อารมณ์ของพวกเขานั้นตื่นเต้นและนำพาไปสู่จุดสูงสุด
ในเวลานี้ หลินชิงเสว่ค่อยๆตระหนักว่าการแสดงออกของถังเฉาดูเปลี่ยนไป
ดวงตาของเขามั่นคง สันกรามบนใบหน้าดูชัดขึ้น
จากร่างกายของเขา หลินชิงเสว่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของการสังหาร
สิ่งที่สะท้อนออกมา คือความไม่ย่อท้อของชายคนนี้
“พระราชวังอันงดงาม วังขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน
ต่อหน้าเทพที่ล่วงลับ ความโศกเศร้าของบรรพบุรุษ
จารึกเล็กน้อยนี้ได้ถูกหลงลืม ไม่มีที่ว่างให้วางแผ่นจารึกอีก
แต่จำได้ไหมว่ามีชื่อที่ถูกเรียกขานว่าเหยี่ยนตี้และหวงตี้?”
หลังความตื่นเต้นผ่านไป ความเงียบเข้ามาแทนที่
นิ้วของคนบ้าดนตรีเคลื่อนไปอย่างแผ่วเบา กู่เจิงมีน้ำเสียงที่หนักแน่นและละเอียดลออ
ในเวลานี้ ฉากนี้ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน—
แสงตะวันยามอัสดงสาดส่องอาณาเขตที่ฉาบไปด้วยเลือด
ธงที่หักถูกแทรกขึ้นตามแนวของชายแดนทางเหนือ
ทหารที่คอยช่วยเหลือกันพยายามลุกขึ้น มองออกไปในที่ที่ไกลโพ้น
จุดจบของโลก
ภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ยืนตระหง่านอย่างภาคภูมิ
เขาใช้ไหล่ของเขา แบกผืนดินของจีนแห่งนี้ขึ้นมา
แปะแปะ!
ในเวลานี้เสียงปรบมือดังสนั่นและยาวนาน
ทุกคนรู้ว่าการร้องสรรเสริญของคนบ้าดนตรีนั้นคือเจ้ามังกรตัวจริงเสียงจริง
ที่มุมของโรงยิม มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินจากไปอย่างเงียบๆ
มีการเยาะเย้ยปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
“คนบ้าดนตรีฉินเจียนเวย คนของตระกูลฉินนี่น่าสนใจจริงๆ…”