เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 59
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 59
“ฉันอยากอาบน้ำ”
เอลเลนดมกลิ่นร่างกายของเธอและบอกว่าเธออยากจะไปอาบน้ำ
“ถ้าเธอไปล้างตัวตอนนี้ มันจะเลยเวลานอนไปนะ”
มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น กว่าจะรู้ตัวก็เกือบ 5 ทุ่มไปแล้ว แน่นอนว่าการละเมิดเคอร์ฟิวไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าหัวหน้าผู้ดูแลพบเราขณะออกลาดตระเวน คงจะปวดหัวไม่น้อย แต่มันเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
ฉันเขียนฉากหลายฉากเลยที่ลุดวิกเดินเตร็ดเตร่อยู่หลังช่วงเคอร์ฟิว
“ฉันเกลียดการมีกลิ่น”
เอลเลนเหงื่อออกเยอะมากและดูเหมือนเธอจะเกลียดความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ เพราะเธอเหงื่อออกมากกว่าปกติสินะ ฉันถึงรู้สึกเหนียวตัวตอนที่อุ้มเธอ
ถึงว่าฉันจะวางอาหารตรงหน้าเธอตอนนี้ เธอก็คงไม่อยากกิน เพราะเรื่องกลิ่น
วันนี้ฉันตัดสินใจที่จะทำมาให้มากกว่าปกติเล็กน้อย เพราะฉันคิดว่าเอลเลนคงค่อนข้างซึม
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันลงเอยด้วยการทำแซนวิชเพื่อที่ฉันจะได้นำไปให้เธอได้เยอะๆ
“……ลงไปที่โรงอาหารกันเถอะ”
ฉันตั้งใจจะไปที่โรงอาหาร แต่เอลเลนส่ายหัว
“อาจารย์อาจจะจับเราได้”
หืม? แล้วจะให้ฉันทำยังไง? เธอก็อยากกินนี่นา เดี๋ยวจะเลยเคอร์ฟิวไปแล้วนะ และเราอาจเสี่ยงที่จะถูกผู้ดูแลจับได้ แต่เธอก็ยังอยากกินหลังจากที่อาบน้ำอีก นี่มันความโลภแบบไหนกัน?
“เรากินในห้องของฉันไม่ได้เหรอ?”
ฮะ
ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย
* * *
วิหารไม่ได้แยกผู้หญิงกับผู้ชายออกเป็นหอพักต่างๆ จากกัน พวกเขาแค่แบ่งตามชั้นเรียนดังนั้นผู้ชายสามารถไปที่ห้องของผู้หญิงได้ และผู้หญิงก็สามารถไปที่ห้องของผู้ชายได้ ในคลาส B นั้น พวกเขามักจะพบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อยๆ
แต่ในคลาส A ดูเหมือนจะมีนักเรียนเพียงไม่กี่คนที่ไปเยี่ยมห้องของกันและกัน
พวกเขาคิดยังไงให้ชายหญิงอยู่หอเดียวกันได้เนี่ย จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันมีปัญหาขึ้นมา?
ส่วนของชั้นเรียนมีความสำคัญ แต่ส่วนของหอพักก็สำคัญต่อความก้าวหน้าในการเล่าเรื่องเช่นกัน ถ้าหอพักถูกแบ่งออกเป็นชายและหญิง ฉันคงเขียนอธิบายได้เฉพาะตัวละครชาย เพราะลุดวิก ตัวละครหลักอาศัยอยู่ในหอพักชาย
ฉันในฐานะผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการรวมหอพักชายและหญิงนี้ เพื่อที่ฉันจะได้สามารถเขียนเหตุการณ์บางอย่างและกระตุ้นความสัมพันธ์ให้ก่อตัวขึ้นได้ มันคงจะปลอดภัยถ้าแบ่งหอพักออก แต่นั่นคงจะน่าเบื่อทีเดียว
มันมีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นในหอพักที่เต็มไปด้วยผู้ชายได้ยังไง? อย่างดีที่สุด พวกเขาอาจจะตื่นแต่เช้าตรู่และตัดสินใจที่จะเล่นฟุตบอลหรืออะไรซักอย่าง
ดังนั้นจึงไม่มีหอพักแยกเพื่อจุดประสงค์ในการเล่าเรื่อง ไม่ใช่หอพักที่ควรใช้งานจริง ฉันไม่ต้องคิดหาการตั้งค่าที่สมจริง มันกลายเป็นหอพักรวมเพื่อความสะดวกของนักเขียนคนนี้เอง
ฉันไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อเข้าไปในห้องของเพื่อนร่วมชั้นซึ่งเป็นเพียงเด็กน้อยในมุมมองของฉัน
มีโอกาส 100% ที่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้คิดอะไรเลยเหมือนกัน
ฉันอาจจะประหม่าบ้างถ้าเธอโตกว่านี้ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงตัวแข็งทื่อและพูดติดอ่างแน่ๆ
แต่นี่ก็ไม่ได้ผลสำหรับฉันเลย
นักเรียนวิหารทุกคนเป็นเหมือนเด็กน้อยสำหรับฉัน!
ฉันไปเอาตะกร้าแซนวิชมาจากโรงยิมและเข้าไปในห้องของเอลเลน
ทันทีที่เราเข้าไปในห้องของเธอ เธอก็ตรงไปที่ห้องอาบน้ำ
-ฉ่าาาา(เสียงน้ำ)
ฉันได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัว ขณะที่ฉันวางแซนวิชไว้บนโต๊ะและนั่งลงบนเก้าอี้
ไม่ต่างจากห้องของฉันมากนัก แม้ว่าห้องจะมีกลิ่นแตกต่างกันเล็กน้อย แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่กลิ่นของเครื่องสำอางหรืออะไร
ห้องพักสะอาด เพราะเธอไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่มากนัก
ดูเหมือนจะไม่มีของส่วนตัวของเธออยู่ในนี้มากนัก ห้องของฉันก็ค่อนข้างโล่งเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดนี้ ฉันไม่มีของใช้ส่วนตัวนอกจากเสื้อผ้าและหนังสือเรียน
ส่วนนี่ แทนที่จะเป็นของใช้ส่วนตัว ห้องนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์การฝึก ซึ่งน่าจะมีไว้สำหรับฝึกความแข็งแกร่ง มันถูกติดตั้งตามคำขอของเอลเลน ห้องส่วนตัวของเรากว้างขวาง ดังนั้นจึงมีพื้นที่เพียงพอสำหรับอุปกรณ์ฝึกต่างๆ ฉันมีบางอย่างที่คล้ายกันในห้องของฉัน องค์ประกอบรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมแล้วเหมือนกัน
โดยรวมแล้วมันเป็นห้องที่ดี สิ่งเดียวที่ทำให้คิดว่านี่คือห้องของเด็กผู้หญิงก็คือกลิ่นที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเอลเลนจะมีทรัพย์สินเพียงเล็กน้อย แต่เธอก็มีอยู่บ้าง
ที่มุมหนึ่งของห้อง สถานที่ที่คนอื่นอาจมีโต๊ะวิจัยเวทมนตร์หรืออะไรแบบนั้น มีหีบอยู่ มันเป็นหีบที่ค่อนข้างยาวแตกต่างจากหีบทั่วไป
ตัวหนีบมีสีดำและถูกผนึกอย่างแน่นหนา มันไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น มันเลยดูเหมือนง่ายต่อการพกพา มันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมยาว
แม้ว่าฉันไม่ควร แต่ฉันรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น
นี่เป็นสิ่งเดียวที่เอลเลน อาร์โทเรียสนำมาที่วิหาร
หลังจากรอไม่นาน เอลเลนก็ออกมาจากห้องอาบน้ำ เธอเสยผมที่เปียกและตัวสั่นเล็กน้อย
เธอสวมชุดฝึกและรองเท้าแตะ
พอมาคิดดู เธอมักจะเลือกใส่อยู่แค่สองอย่าง ฉันเองก็เช่นกัน
ชุดนักเรียนกับชุดฝึก
เธอนั่งอีกฝั่งของโต๊ะ หันหน้ามาทางฉัน
“รีบกินแล้วรีบไปนอนกันเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว”
“อืม”
เราเริ่มกินและเงียบราวกับว่าทุกอย่างถูกพูดไปแล้ว พูดตามตรง เวลาที่ฉันนอนเป็นเวลาที่ฉันมีความสุขที่สุดในช่วงนี้ เพราะกิจวัตรประจำวันของฉันเกี่ยวข้องกับการทรมานร่างกายของฉัน
คงไม่มีอะไรบางอย่าง เช่น จู่ๆ อาจารย์ก็พรวดพราดเข้ามาใช่มั้ย ถ้ามีใครเข้ามา อาจจะเข้าใจผิดว่าทำไมเราสองคนถึงอยู่ห้องเดียวกัน และอาจมีข่าวลือแปลกๆ อย่างไรก็ตาม รอยัลคลาสของวิหารในตอนนี้แทบจะไม่มีนักเรียนหรืออาจารย์อยู่เลย ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีอะไร
เรากินแซนวิชของเราอย่างเงียบ ๆ
กว่าจะกินหมดก็ใช้เวลาพอสมควร เพราะทำเยอะมาก
-ตู้ม(เสียงฟ้าร้อง)
ฟ้าร้องดังก้องนอกหน้าต่าง ตามด้วยเสียงฝนที่ตกลงมา เอลเลนหยุดกินแซนด์วิชของเธอและมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เป็นอะไรน่ะ?”
“เปล่า”
เอลเลนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยและเคี้ยวแซนวิชของเธอต่อไป
การได้เห็นเธอแตกต่างไปจากปกติก็ทำให้ฉันเป็นห่วงเล็กน้อย ฉันเขียนช่วงเวลาเทศกาลจากมุมมองของลุดวิกเท่านั้น ไม่เคยเขียนจากมุมมองเอลเลนมาก่อน
ดังนั้นฉันจึงไม่รู้รายละเอียดว่าตอนนี้เอลเลนรู้สึกยังไง
ไม่รู้ว่าเธอเศร้าใจขนาดไหน เอลเลนจ้องมองสายฝนที่โปรยปรายและฟ้าแลบเป็นครั้งคราว เธอกลัวพายุฝนฟ้าคะนองหรือเธอว่าชอบมัน? ฉันก็ไม่รู้ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่คิดว่าเธอจะกลัว
เอลเลนพูดเกี่ยวกับตัวเองไม่เก่ง
ยกเว้นในกรณีที่วัตถุที่ซ่อนอยู่ในหีบถูกเปิดออก ตัวตนของเอลเลน มีคนที่รู้แค่เบอร์ทัสและครูเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ไรน์ฮาร์ท”
“……ว่า?”
ฉันตกใจเล็กน้อยที่เธอพูดกับฉัน
เอลเลนมองมาที่ฉัน
นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อฉันด้วย
“ขอบคุณนะ”
นั่นคือทั้งหมดที่เธอพูดกับฉัน ในขณะที่สายตาของเธอจับจ้องมาที่ฉัน เธอไม่ยิ้มเลย แถมยังดูไม่หยิ่งอีกด้วย เธอแสดงท่าทางที่ดูเหมือนมีอะไรจะพูดระหว่างเรา
ฉันรู้สึกว่าฉันค่อยๆ มีความชำนาญมากขึ้นในการอ่านการแสดงออกของเธอ
ฉันยังไม่แน่ใจ แต่ความสามารถนั้นของฉันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน
“บางครั้งผู้คนก็ต้องระบายมันออกมาบ้าง จะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลก็ได้ มันเป็นเรื่องปกติ”
เอลเลนจ้องมาที่ฉันจริงจัง
“แต่ถ้าเธอไม่พูดถึงมัน มันจะกัดกินเธอจากข้างในอยู่แบบนี้”
มันไม่ดีที่จะทนทุกข์อยู่เงียบๆ แม้ว่าเอลเลนจะมีบุคลิกโผงผาง แต่เธอก็มีความคิดและความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน เหมือนกับที่ตอนแรกเธอดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่เธอก็โกรธได้และลงเอยด้วยการสอนวิชาดาบให้ฉัน
แค่ความโกรธนิดเดียวยังทำให้ฉันบ้าคลั่งได้เลย แล้วเองเลนที่รักษาความสงบของเธอมาตลอดจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ
เมื่อมองย้อนกลับไป เอลเลนกับฉันเป็นขั้วตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง และจากประสบการณ์ของฉัน คนที่ตรงข้ามกันมักจะเข้ากันได้ดีกว่าคนที่เหมือนกัน
ฉันพูดมากและอารมณ์ร้อน
เอลเลนพูดน้อยและมีอารมณ์สงบ
ในความคิดของฉัน การผสมผสานนั้นเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ ถ้าคนช่างพูดสองคนมาเจอกัน พวกเขาคงคุยกันจนตาย ถ้าคนเงียบสองคนมาเจอกัน พวกเขาก็จะนิ่งอยู่แบบนั้น
เธออาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่ฉันสงสัยว่าเอลเลนคิดอะไรอยู่ตอนที่ฉันบอกเธอว่าไม่เป็นไรที่จะระบายมันออกมา
เธอแปลกใจมั้ยที่ฉันสังเกตเห็นว่าเธอรู้สึกหดหู่ใจอยู่?
เอลเลนที่เงียบมานาน ค่อยๆ อ้าปากในขณะที่จ้องมองพายุฝนฟ้าคะนองอย่างว่างเปล่า
“ถ้านายสามารถกอบกู้โลกโดยต้องแลกกับชีวิตของนาย นายคิดว่านายควรจะทำมั้ย”
มันฟังดูไร้สาระ
อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ความหมายเบื้องหลังคำถามนั้น
เอลเลนคิดว่าตายก็คือตายไม่ว่าจะตายเพื่ออะไรก็ตาม พี่ชายของเธอช่วยโลกไว้ แต่สุดท้ายก็ทิ้งเธอไว้เพียงคนเดียว ผู้คนชื่นชอบผู้กล้าอาร์โทเรียส แต่สุดท้าย สิ่งที่เอลเลนทำได้คือไว้อาลัยให้กับการตายของพี่ชายของเธอ
ดังนั้น แม้ว่าเอลเลนจะคิดถึงพี่ชายของเธอ แต่เธอก็รู้สึกไม่พอใจเขาเช่นกัน
เมื่อรู้อย่างนั้นฉันก็รู้ว่าจะพูดอะไร
“อืม…. ฉันคงไม่รู้จนกว่าเวลานั้นจะมาถึงหรอก”
ตราบใดที่ฉันไม่ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็ไม่มีความหมาย
คนที่บอกว่าเขาจะไม่มีวันทำอะไรแบบนั้น อาจจะจบลงด้วยการทำอย่างนั้นจริงๆ และคนที่บอกว่าต้องเลือกแบบนั้น อาจจะไม่ทำแบบนั้นก็ได้
“ฉันไม่มีวันตายแบบนั้นเด็ดขาด”
แม้ว่าเธอจะมีทางเลือกในการกอบกู้โลกทั้งใบโดยแลกกับชีวิตตัวเอง เอลเลนกล่าวว่า เธอจะไม่มีทางเลือกเช่นนั้น
เธอมีเพียงชีวิตเดียว และเธอบอกว่าเธอจะไม่มีวันยอมแพ้ แม้ว่านั่นจะหมายถึงจุดจบของโลกอย่างที่เรารู้ก็ตาม ฉันมองไปที่เอลเลนและพยักหน้า
“ก็คงจะเป็นแบบนั้น”
แต่ฉันรู้ว่าเอลเลน อาร์โทเรียสคนนี้จะเสี่ยงชีวิตของเธอเพื่อโลกในอนาคต
* * *
เอลเลนลุกขึ้นและเดินไปที่หีบ โดยไม่พูดอะไร เอลเลนเอาตะกร้าที่ใส่แซนวิชก่อนหน้านี้ออกแล้ววางหีบลงบนโต๊ะ
-คลิก คลิก
เอลเลนที่ปลดล็อคมันได้แสดงของข้างในให้ฉันดูโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“……มันคือดาบ ที่ดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียวแฮะ”
ข้างในเป็นดาบยาว มันมีสีไม่ฉูดฉาดเกินไป มันเป็นสีดำ ดูเรียบๆ แต่ว่ามันไม่ได้เพียงแค่ดาบธรรมดาๆ
นอกจากมีเส้นเรียบๆที่ดูเหมือนเส้นเลือดแล้ว ยังมีอักขระโบราณสลักอยู่
มันเป็นภาษาที่ฉันไม่ควรจะรู้ แต่ฉันรู้ว่ามันเขียนอะไร เช่นเดียวกับที่ฉันสามารถอ่านและพูดภาษาของโลกนี้ได้ ฉันก็สามารถอ่านได้แม้กระทั่งภาษานี้ ฉันยังสามารถออกเสียงได้
จริง ๆ แล้วฉันไม่เคยบรรยายว่าอักขระใดที่สลักบนดาบ ดังนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นพวกเขา
[ หล่อหลอมด้วยน้ำตา ]
ฉันไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ฉันรู้ดีว่านี่คือดาบประเภทไหน
ดาบของเอลเลน อาร์โทเรียส
และก่อนหน้านั้น มันคือดาบของผู้กล้า เรแกน อาร์โทเรียส
“ดาบนี้มีชื่อว่า คร่ำครวญ”
“…….”
นี่คือของที่เรแกน อาร์โทเรียส ทิ้งไว้ให้เอลเลน ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมในสงครามโลกปีศาจ
เป็นที่รู้กันว่าผู้กล้าอาร์โทเรียส มีดาบศักดิ์สิทธิ์สองเล่ม
ดาบของอัลส์เทพเจ้าแห่งสงครามอัลส์บริงเกอร์ และดาบของเมนซิสเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ คร่ำครวญ
อัลส์บริงเกอร์ซึ่ง เรแกน อาร์โทเรียสใช้ในการเอาชนะราชาปีศาจ กลายเป็นสมบัติของชาติ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าคร่ำครวญ อยู่ที่ไหน ยกเว้นคนที่รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของ เอลเลน อาร์โทเรียส ต่อมาเมื่อมีการเปิดเผยตัวตนของเอลเลนในนวนิยาย เบาะแสของคร่ำครวญก็ถูกทำให้ชัดเจนเช่นกัน
ตอนนี้เอลเลนเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอกับฉัน แม้ว่ามันจะยากสำหรับบางคนที่จะจำดาบได้เพียงแค่มองดู แต่ทุกคนก็รู้จักชื่อของมัน คร่ำครวญเป็นหนึ่งในสองสัญลักษณ์ที่แสดงถึงผู้กล้าอาร์โทเรียส
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอแข็งแกร่งขนาดนี้”
ความจริงแล้วฉันรู้ตัวตนที่แท้จริงของเธออยู่แล้ว ดังนั้นฉันจึงต้องแสดงท่าทีประหลาดใจ เอลเลนพอใจกับปฏิกิริยาของฉันมาก เธอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยสร้างรอยยิ้ม
ปกติเธอแทบจะไม่ยิ้มเลย มันเลยทำให้หัวใจของฉันรู้สึกเหมือนถูกพัดพาไป
[เอลเลน อาร์โทเรียสเปิดเผยตัวตนของเธอเร็วกว่าที่คาดไว้]
[ความสำเร็จ – ความจริงของเอลเลน]
[คุณได้รับ 500 คะแนนความสำเร็จ]
นอกจากนั้น ฉันยังได้คะแนนความสำเร็จอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย
เพจผู้แปล Lemon FT