เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 51
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 51
แฮเรียตร้องไห้ซะแล้ว
ฉันสามารถรับมือกับคนที่รังแกได้นะ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะรับมือกับเด็กที่ร้องไห้ยังไง
ฉันพาแฮเรียตที่กำลังร้องไห้อยู่ที่โถงทางเดินไปที่ห้องอาหารและยื่นมาการองที่ฉันมีให้เธอ
นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย
วิธีที่ฉันใช้พยายามเอาใจเด็กที่กำลังร้องไห้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกคนชราทำกัน ดังนั้นฉันจึงค่อนข้างอายเลยนะ
“ฉันไม่มีทางกินของที่นายให้หรอกนะ! พวกมันสกปรก!”
“นี่ไม่ใช่ของฉัน รุ่นพี่ให้ฉันมา”
“นายสัมผัสมันไปแล้ว! ดังนั้นมันสกปรก! ทิ้งมันไปเลย ยังไงฉันก็ไม่กินมันเด็ดขาด!”
แฮเรียตกำลังร้องไห้อย่างขมขื่น ฉันควรทำยังไงดี เหตุการณ์นี่มันเหมือนกับคุณตาที่แกล้งหลานมากไปเพราะน่ารักเกินไปจนเผลอทำหลานร้องไห้ ก็มันสนุกมากอ่ะ แม้ว่าฉันจะรังแกเธอมากเกินไปหน่อยก็เถอะ
แบบเดียวกับที่คนแก่ไปหยิกแก้มเด็กเพราะความน่ารัก
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ฉันผิดเต็มๆ
ฉันเป็นคนผิดเอง
“…. ฉันเสียใจ ความผิดฉันเอง โอเค ฉันขอโทษ อย่าร้องไห้เลยนะ ตกลงนะ?”
“หุบปากไปเลย! นายมักจะล้อฉัน แกล้งฉัน และรังแกฉัน! ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นกับฉันมาก่อน แม้แต่พ่อแม่และพี่ชายของฉันก็ไม่เคย แล้วทำไมนายถึงทำกับฉันอย่างนี้ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรนายสักหน่อย!”
-สะอื้น!
ฉันถอนหายใจเมื่อเห็นแฮเรียตยังคงร้องไห้ต่อไป
“เธอก็ล้อฉันที่เป็นขอทานเหมือนกันนี่นา”
“ก็นายเป็นขอทานใช่มั้ยล่ะ! แล้วทำไมนายถึงล้อฉันว่างี่เง่าล่ะ!”
อา ฉันไม่ควรแหย่เธอไปมากกว่านี้ ถ้าฉันพูดว่า “ที่ฉันเรียกเธอว่าคนงี่เง่าเพราะเธองี่เง่าจริง ๆ” มันจะยิ่งทำให้เธอร้องไห้มากขึ้น ดังนั้นฉันจึงปิดปากเงียบไว้
อ่าใช่
ฉันพึ่งนึกวิธีอื่นได้
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ว่าฉันแกล้งเธอโดยไม่มีเหตุผลสักหน่อย ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่มั้ยล่ะ ว่าเธอน่ะน่ารัก”
“สะอื้น… ฮึก?”
มีปฏิกิริยาจากเรื่องนั้น เธอมองฉันราวกับว่าฉันกำลังพูดเรื่องไร้สาระ
มันเป็นความจริงที่เธอรับมือยาก แต่บางครั้งเธอก็น่ารักเช่นกันล่ะนะ
“ลองคิดดูสิ ฉันไม่เคยเรียกเธอว่าไอ้บ้าหรืออะไรเลยนะ ฉันแค่บอกว่าเธอน่ารัก เรียกว่าน่ารักนี่นับเป็นคำชมนะ แล้วฉันแกล้งเธอหรือไง? เธอเรียกฉันว่าขอทาน แต่ฉันก็ยังชมเธอว่าน่ารักเลย ฉันล้อเธอตอนไหน ที่ชมเธอว่าน่ารัก นี่นับว่าฉันแกล้งเธอเหรอ?”
“นายบีบแก้มฉันและหัวเราะเยาะฉัน!”
“ไม่ ฉันแค่คิดว่าเธอจะดูน่ารักกว่านี้ถ้าฉันทำแบบนั้น มันดูน่ารักมากเลยล่ะ รู้มั้ย?”
“……สะอื้น!”
เธอจ้องมาที่ฉันในขณะที่สะอึกสะอื้น เธอดูเหมือนจะกำลังคิดอยู่ ฉันจึงพูดชักจูงอีกสองสามข้อดังนี้:
“เธอคงไม่อวดอ้างสถานะของเธอเพียงเพราะว่าเด็กชั้นต่ำอย่างฉันแตะต้องร่างกายของเธอหรอกใช่มั้ย? เราไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นกันเหรอ? ฉันไม่รู้หรอกว่าหลังจากเราเรียนจบแล้วจะเป็นไง แต่ตอนนี้เราทั้งคู่เป็นแค่นักเรียนวิหารเราเท่าเทียมกันใช่มั้ยล่ะ”
ฉันกำลังจะพูดอย่างนั้น แต่ยัยคนนี้กำลังพึมพำอะไรบางอย่าง
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจ้องมองมาที่ฉัน
“……อย่ามาแตะต้องฉันด้วยมือสกปรกนั่นอีก”
ตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?
“โอเคๆ ฉันผิดไปแล้วล่ะ ฉันขอโทษจริงๆ ตอนนี้กินเจ้านี่และผ่อนคลายสักหน่อยนะ?”
สีหน้าของเธอดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยในขณะที่ฉันพูดคำขอโทษไปเรื่อยๆ
คนพาลที่ดูเหมือนไม่เคยขอโทษใครเลยกำลังทำการขอโทษอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นทัศนคติของเธอจึงดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ถ้าเจอคนเป็นแบบเธอ การขอโทษเป็นเรื่องที่ควรทำล่ะนะ? นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก
“ฉันยังไม่เคยลองเลย แต่น่าจะอร่อยดี กินซะนะ”
ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยสบายใจนักที่ฉันเอาแต่ดันมาการองเข้าไปหาเธอ
“อา…. ฉันไม่ต้องการ…. ก็ได้ๆ ฉันจะกินมัน! ฉันกำลังกินมันแล้ว! นายทำตัวเป็นเหมือนคุณยายของฉันเลย! น่ารำคาญ!”
ในท้ายที่สุด แฮเรียตหยิบมาการองและคร่ำครวญราวกับว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกินมัน
ที่ทำอยู่นี่ทำให้ฉันดูเหมือนชายชราจริงๆ ถึงจริงๆแล้วฉันยังไม่แก่ขนาดนั้น แต่ฉันก็ไม่รู้วิธีอื่นในการปลอบคนที่กำลังร้องไห้แล้วอ่ะ….
“ก่อนหน้านี้….”
หลังจากกินมาการองแล้ว เธอก็พูดโดยไม่หันมามองฉัน
“หือ ก่อนหน้านี้อะไรเหรอ?”
“ตอนโดนซ้อมนายไม่เจ็บเหรอ?”
“มันเจ็บโคตรเลยล่ะ”
ถึงฉันจะหายแล้ว แต่ตอนนั้นมันเจ็บมากจริงๆ แน่นอนว่ามันคงจะเจ็บอีกหากมีใครไปซ้ำ ทำไมเธอถึงถามอะไรแบบนั้นกัน?
“ทำไมนายถึงต่อสู้ต่อล่ะถ้ามันเจ็บมากขนาดนั้น? ทำไมไม่ยอมแพ้ไปซะ ถ้านายไม่โชคดีปลุกพลังเหนือธรรมชาติได้ นายแพ้แน่ๆ”
“ก็ถูกของเธอล่ะนะ”
“แล้วทำไมนายไม่ยอมแพ้ล่ะ? นายบอกว่ามันเจ็บหนิ”
แฮเรียตดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงลุกขึ้นมาเพื่อที่จะถูกทุบตีครั้งแล้วครั้งเล่า แน่นอน ฉันสู้ต่อเพราะฉันรู้ว่าฉันมีพลังเหนือธรรมชาติ
“เธอเคยรู้สึกมั้ยว่าไม่อยากยอมให้กับไอ้สารเลวพวกนี้ แม้ว่ามันจะทำให้เธอตายก็ตามน่ะ”
“……?”
“เขาเป็นคนสารเลวแบบนั้นสำหรับฉัน”
เขาแทรกแซงดวลของคนอื่นด้วยข้ออ้างว่าต้องการสั่งสอนรุ่นน้อง และแม้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะเพิ่งอยู่ปี 1 เขาก็ยังทุบเขาจนแหลกคามือไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร มันไม่มีเกียรติหรือน่าชื่นชมเลยสักนิด
ฉันแค่ไม่อยากแพ้ให้กับไอ้สารเลวแบบนั้น
นั่นคือคำอธิบายที่ฉันบอกเธอ มันก็มีความจริงอยู่บ้างเล็กน้อยล่ะนะ แฮเรียตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและพูดขึ้น
“นายจะตายก่อนวัยอันควร”
“แต่ฉันก็ยังไม่ตายนี่นา”
ถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องร้อง “ฮึ่ม!” อีกครั้งสำหรับคำตอบที่แปลกประหลาดของฉัน
“……จริงๆ แล้ว”
แฮเรียตที่กำลังเคี้ยวมาการองอยู่พักหนึ่งไม่ได้ให้คำตอบตามที่คาดไว้
“….นายนิดนึง”
อะไรนิดนึง?
“…….นิดนึง”
แฮเรียตพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ฮึ่ม! ไม่รู้สิ เจ้าโง่!”
และหลังจากเพิ่มอีก “ฮึ่ม!” ในประโยคของเธอ เธอก็หายไปจากสายตาของฉันอย่างรวดเร็ว
บางครั้งการมีตัวละครที่อ่านทางได้ง่ายก็ดีเหมือนกัน
* * *
เพียงเพราะฉันชนะการดวลนั้น ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบลงแล้ว ความสามารถเหนือธรรมชาติของฉันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และฉันต้องคุ้นเคยกับการใช้มันกับฉัน การแนะนำตนเองเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เป้าหมายที่แท้จริงของฉันคือ เวทย์มนต์คำพูด
ฉันเดินไปที่โรงยิม เมื่อไปถึงที่นั่น ฉันพบกับ NPC ที่มักจะปรากฏตัวที่นี่ คลิฟแมนและเอลเลน
ฉันยังไม่เคยคุยกับคลิฟแมน แต่ฉันคุ้นเคยกับเขา เพราะฉันพบเขาที่นี่ในโรงยิมเสมอ
เอลเลนกำลังแกว่งดาบของเธอ แต่หยุดเมื่อเห็นฉัน ฉันสงสัยว่าเธอมีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า แต่เธอแค่จ้องมาที่ฉัน
ฉันควรคุยโวเกี่ยวกับชัยชนะของฉันมั้ย? หรือฉันควรจะขอบคุณเธอที่เสนอจะเป็นแชมป์เปี้ยนให้ฉัน? ฉันกำลังคิดอยู่ว่าควรจะบอกเธอยังไงดี….
เอลเลนชี้คางไปที่บางสิ่ง
มันเป็นตะกร้าที่เต็มไปด้วยดาบฝึกหัด
“นั่นไม่ใช่วิธีที่นายควรใช้ต่อสู้”
เธอกำลังเตรียมตัวสำหรับบทเรียนอื่นสินะ?
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาแสดงความยินดีกับชัยชนะของฉัน โม้เกี่ยวกับความสามารถเหนือธรรมชาติของฉัน หรือขอบคุณเธอสำหรับการฝึกฝน
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ยังเหมือนเดิมเสมอ จิตใจที่วุ่นวายเล็กน้อยของฉันจึงสงบลง ฉันชนะ แต่ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งยืนยันว่าฉันยังมีหนทางอีกยาวไกล
หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล
ฉันยิ้มในขณะที่คว้าดาบฝึกหัด
“นี่ เกมมันอาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยนะ”
เหมือนดั่งนรก
ฉันถูกทุบตีอย่างรุนแรง
* * *
ในวันจันทร์
ฉันไม่ได้หยุดการฝึกของฉัน
ฉันตื่นแต่เช้าและฝึกความแข็งแกร่งกับเอเดรียนา เธอยังบอกด้วยว่าเธอจะไม่ช่วยฉันด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเธออีกต่อไปแล้ว เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบในการเพิ่มความแข็งแกร่งของฉัน
นั่นคือตอนที่ฉันรู้ว่าการออกกำลังกายมันดีแค่ไหนเมื่อมีความช่วยเหลือจากเธอ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย
หลังจากนั้นกิจวัตรของฉันก็เหมือนเดิม ฉันทำอาหารกับเอลเลนและกินเล็กน้อยก่อนอาหารเช้า จากนั้นกินอาหารเช้าและเข้าชั้นเรียน
ฉันไม่ได้รับการเติมพลังจากเวทย์ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ดังนั้นฉันจึงไม่จำเป็นต้องกินมากขนาดนั้นอีก แต่ฉันออกกำลังกายไปพอสมควร ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจกินอะไรเล็กน้อยระหว่างมื้ออาหารต่อไป แม้ว่าจะไม่มากเท่าแต่ก่อน
เอลเลนยังคงวุ่นวายกับฉันไปรอบๆ โรงยิมอาจจะมากกว่าเดิมนิดหน่อย ในขณะที่ฉันเริ่มไม่กล้าที่จะแก้แค้นเธอในห้องอาหาร
“ว้าว”
เบอร์ทัสซึ่งกลับมาที่วิหารและตรงไปที่ห้องเรียนในวันจันทร์ รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้ยินเกี่ยวกับผลการดวลจากนักเรียนคนอื่นๆ คนที่อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้เขาฟังไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเคเยอร์
“ไรน์ฮาร์ท คาดไม่ถึงเลยนะเนี่ย?”
ทันทีที่เบอร์ทัสได้ยินคำอธิบายจากเขา เขาก็หันมาหาฉัน
“อ่า อืม”
“แม้ว่าจะมีคนบอกว่านายมีความถนัดที่ไร้ขีดจำกัด แต่ความจริงแล้วก็มีพลังเหนือธรรมชาติรวมอยู่ในนั้นด้วย”
ราวกับขอโทษที่ประเมินศักยภาพของฉันต่ำไป เบอร์ทัสยิ้มอย่างอ่อนโยน ในบรรดาคนที่ค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจที่ฉันสามารถปลุกพลังเหนือธรรมชาติได้ คนที่รู้สึกอึดอัดที่สุดคือ ไฮน์ริช ฟอน ชวาร์ซ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยขู่ว่าจะย่างฉันด้วยพลังของเขา
เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่มองมาทางฉัน ราวกับว่าเขาไม่ยอมรับฉันที่ปลุกพลังเหนือธรรมชาติได้ด้วยวิธีที่ไร้สาระ
“จริง ๆ แล้ว เขาค่อนข้างโชคดีทีเดียว….”
เคเยอร์พึมพำอย่างเขินอายข้างๆ เบอร์ทัสแต่เบอร์ทัสไม่ได้สนใจเขา
“งั้นเองเหรอ? ฉันคิดว่ามันน่าทึ่งมากที่เขายังคงต่อสู้ในสถานะที่เขาเป็นอยู่ตอนนั้นมากกว่าพลังเหนือธรรมชาติของเขาซะอีก”
“อย่างนั้นเหรอ….”
เคเยอร์บอกเขาก่อนว่าฉันถูกบดขยี้อย่างหนักก่อนที่จะปลุกความสามารถของฉันขึ้นมาและชนะการต่อสู้ ในตอนท้ายเขาอธิบายว่าฉันเป็นคนที่โชคดี
อย่างไรก็ตาม เบอร์ทัสดูเหมือนจะให้คุณค่าสูงกับความจริงที่ว่าฉันยังคงสู้ต่อไปในขณะที่หมดหนทางมากกว่าการชนะด้วยพลังเหนือธรรมชาติของฉัน
เบอร์ทัสไม่ได้สนใจพรสวรรค์ของรอยัลคลาสเป็นพิเศษตั้งแต่แรก แม้ว่าพวกเขาจะโดดเด่น แต่สุดท้าย พวกเขาก็เป็นแค่เด็ก ดังนั้น ในขณะที่เขารู้สึกประหลาดใจที่ฉันสามารถปลุกความสามารถของตัวเองได้ แต่จริงๆ แล้วเขารู้สึกประทับใจกับความจริงที่ว่าฉันยังคงลุกขึ้นสู้ แม้ว่าฉันจะถูกปี 3 นั้นบดขยี้อย่างหนักครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม
เขาสนใจในความฉลาดและความแข็งแกร่งทางจิตใจมากกว่าพรสวรรค์และพละกำลัง
เขารู้ว่าไม่ว่าทักษะที่มีจะยอดเยี่ยมเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์หากไม่มีสมองที่จะใช้มัน และแม้ว่าเขาจะฉลาดพอ มันก็จะยิ่งไร้ประโยชน์หากไม่มีทักษะ ความเข้มแข็งทางจิตใจที่จะเผชิญกับภยันตรายที่อยู่เบื้องหน้า
เดี๋ยวนะ นี่ฉันดีขึ้นเรื่อย ๆ ในสายตาเขาเลยไม่ใช่เหรอ? เอิ่ม นี่ฉันโดนล้างสมองเหรอ? การได้รับความสนใจมากขนาดนี้จากตัวละครสองหน้าที่ฉันสร้างมันค่อนข้างเป็นปัญหานะ? ฉันจะไม่ยอมเป็นคนโง่ที่จะถูกหลอกทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาจะหลอกฉันแน่นอน
ฉันซึ่งเป็นผู้สร้างจะถูกการสร้างของตัวเองชักจูงได้ยังไง ฉันคงไม่น่าสมเพชขนาดนั้นหรอก?
ในตอนที่ฉันกำลังจะตกอยู่ในภวังค์
– เสียงดัง!
มีคนเปิดประตูและเข้าไปในห้องเรียน
นั่นคือ อาร์ท เดอ การ์ติส ซึ่งเป็นคู่ดวลที่แท้จริงของการต่อสู้
เขามาถึงสถานที่เดียวกับที่เขาเสนอท้าการต่อสู้ครั้งนี้ แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นผู้แพ้การดวลก็ตาม แน่นอนว่าการแสดงออกของเขาก็ดูไร้ชีวิตชีวา ทุกคนเฝ้าดูสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ ขณะที่เขาเดินเข้ามาหาฉันและก้มศีรษะลง
“ฉันแพ้การดวล ดังนั้นฉันจะยอมรับความผิดของฉัน ไรน์ฮาร์ทในอนาคตฉันจะไม่ดำเนินการใดๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลหรือการล่วงละเมิดทางวาจาต่อรุ่นน้องของฉัน ฉันเสียใจ ฉันเสียใจอย่างสุดซึ้งในความผิดของฉัน”
“…….”
เห็นเขาขอโทษ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ
แชมป์ก็คือแชมป์หลังจากการดว ราคาของการแพ้การดวลไม่ได้พุ่งไปที่แชมป์เปี้ยน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องมารับผิดชอบ
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม มานาร์ตันที่กระทืบฉันจริง ๆ ถึงไม่มาขอโทษฉัน เพราะเขาเป็นแค่แชมป์
เขาควรจะมาจากเหตุผลทางศีลธรรม แต่เขาไม่มาเพราะความหยิ่งผยองของเขา เขาคงบ่นกับอาร์ทว่าไม่มีเหตุผลที่จะไป หรือบางทีอาร์ทเขาอาจไม่ได้ขอให้เขามาด้วยซ้ำ
“อ่า พอแล้วล่ะ”
“ฉันเสียใจ”
อาร์ทที่เงยหน้ามองผมแล้วขอโทษอีกครั้ง
การแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนมาก
เขาถูกบังคับให้เลือกแชมป์เปี้ยนเพราะเขาไม่สามารถเอาชนะแรงกดดันของรุ่นพี่ได้ และจากนั้นเขาก็มาที่นี่คนเดียวโดยไม่ได้พามายาร์ตันมาด้วย ดูเหมือนเขาจะรู้สึกผิดกับเรื่องพวกนี้
เหมือนอย่างที่เอเดรียน่าและเรดิน่าพูดอาร์ทไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้น
จากสิ่งที่ฉันสามารถบอกได้ เรดิน่าอาจเป็นที่รักเพื่อนร่วมชั้นปีที่สองของเธอทุกคน ฉันได้แต่จินตนาการว่ามันยากแค่ไหนที่เธอถูกรุ่นพี่บังคับให้ไปสั่งสอนรุ่นน้อง
แน่นอนว่าปี 3 ต้องสั่งให้เธอไปคนเดียว พวกเขาต้องเลือกเรดินาโดยตั้งใจ เพราะรู้ว่าเธอไม่สามารถพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจใครได้ นี่จึงไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าการกลั่นแกล้ง
ในที่สุดเธอก็ทำเรื่องนี้คนเดียวด้วยความเสียใจที่ต้องทำบางอย่างที่เธอเกลียดมาก แต่กลับมาหลังจากถูกนักศึกษาปี 1 ดูถูกอย่างรุนแรง ฉันเป็นคนที่รุนแรงกับเธอมาก
ในมุมมองของอาร์ท มันคงเพียงพอแล้วที่เขาจะโกรธ ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นแค่เด็ก ฉันได้แสดงความโกรธอันน่าเกลียดและเยาะเย้ยเด็กเหล่านี้ไปมากแล้ว แต่ฉันไม่อยากทำตัวงี่เง่าจนเกลียดเด็กพวกนี้จริงๆ ไม่เหมือนชายอย่างมายาร์ตันที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง
อาร์ทมีเหตุผลสมควรที่จะโกรธ
ฉันจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีนัก แต่ฉันก็อยากจะจัดการกับมันด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ฉันทำสิ่งเลวร้ายกับพวกเขามามากเช่นกัน
“ฉันเข้าใจ ฉันทำเรื่องแย่ๆมามากเหมือนกัน ขอโทษด้วยครับรุ่นพี่”
ทุกคนรวมทั้งอาร์ทแปลกใจกับคำพูดของฉัน อาร์ทมองผมอยู่พักหนึ่งก่อนจะเบะปากด้วยความลำบากใจ
“เมื่อเห็นนายอดทนแบบนั้น ฉันตระหนักว่าที่ฉันทำน่าละอายใจเพียงใด”
คนไร้ความสามารถและโง่เขลาอย่างฉันสามารถยืนหยัดต่อสู้กับรุ่นพี่ได้ ในขณะที่เขาไม่สามารถเอาชนะข้อเรียกร้องที่ไม่มีเหตุผลของรุ่นพี่ของเขาได้ และจำต้องสละจุดประลองให้กับหนึ่งในนั้น และท้ายที่สุดเขาต้องเห็นฉันชนะ
เขาตระหนักหรือไม่ว่าอาจต้องใช้พลังเพื่อเอาชนะความอยุติธรรม ดูเหมือนเขาจะเสียใจที่ไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับความอยุติธรรมนี้ได้ในที่สุด
พูดจบอาร์ทก็เดินกลับไป
ฉันรู้สึกจำเป็นต้องขอโทษเรดิน่าด้วยเช่นกันในภายหลัง
หลังจากนั้นไม่นานคุณเอพินเฮาเซอร์ก็เข้ามาในห้องเรียน
“ทุกคนควรรู้ว่าจะมีกิจกรรมบางอย่างเริ่มตั้งแต่วันจันทร์หน้าใช่มั้ย?”
-ใช่!
ในที่สุดมันก็มาถึง
เหตุการณ์หลักของเนื้อเรื่องส่วนเริ่มต้น เทศกาลแห่งชัยชนะ
เพจผู้แปล Lemon FT