เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 45
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 45
เหมือนกับฉันสามารถเข้าไปในวิหารได้ ซาร์เคการ์ก็สามารถทำได้ แม้ว่าวิหารจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยมากมายก็ตาม เขาเข้ามาห้องฉันในฐานะสาวใช้ในตอนกลางดึก….
พอมาคิดดูแล้วเคานต์อาร์กอน พอนธีอุส ที่เป็นฉากหน้าของซาร์เคการ์นั้นเป็นผู้ชาย
เพศจริงๆของซาร์เคการ์คือเพศไหนกันแน่นะ? หรือพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีเพศงั้นเหรอ?
“คุณเข้ามาในห้องฉันได้ยังไงน่ะ”
“มันไม่ยากเลยถ้าจะทำ”
ซาร์เคการ์มีกุญแจหลักที่สาวใช้ทุกคนมี น่าจะมีหลายวิธีที่ทำให้เขาได้เจ้านั่นมา ฉันควรจะคุยกับ ซาร์เคการ์เพราะมีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้สถานการณ์ของฉันซับซ้อน
“ในอนาคต แทนที่ฝ่าบาทจะมาหาข้า ข้าจะมาหาเอง”
ซาร์เคการ์เก่งเรื่องการปลอมแปลงตัวเอง ดังนั้นเป็นไปได้ที่เขาติดต่อฉันโดยไม่ถูกจับได้ อาจเป็นเพราะเวลาและสถานที่ ซาร์เคการ์ไม่ได้ขยายความคำพูดของเขาด้วยวาทศิลป์ที่ไร้ประโยชน์
“เรื่องแรก เกี่ยวกับความสามารถเหนือธรรมชาติของเจ้าหญิง”
“อ่า คุณสืบรู้หรือยังล่ะ”
ซาร์เคการ์ส่ายหัวกับคำพูดของฉัน
“ข้ามาที่นี่เพื่อรายงานสิ่งที่ข้าค้นพบเบื้องต้นก่อน แต่ว่าข้าสามารถสืบลึกกว่านี้ได้หากข้าลองเสี่ยงครั้งใหญ่ดู”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าความสามารถของเธอคืออะไร แต่เขาตัดสินใจว่าต้องรายงานสิ่งที่เขาพบในขั้นตอนนี้ให้ฉันทราบก่อน
“อย่างแรก แม้แต่ในราชวงศ์ การพูดถึงพลังเหนือธรรมชาติของเจ้าหญิงก็ยังเสียงแตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มของเจ้าชายเบอร์ทัสดูเหมือนจะไม่เชื่อ พวกเขาคิดว่าสาเหตุที่ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถเหนือธรรมชาติขององค์หญิงไม่ได้รับการเปิดเผยนั้นเป็นเพราะมันไม่มีอยู่จริง”
“หมายความว่าแม้แต่เบอร์ทัสก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าหญิงมีความสามารถอะไร”
“ใช่แล้ว ฝ่าบาท”
เจ้าชายไม่รู้ว่าเธอมีความสามารถอะไร นั่นอาจหมายความว่าชาร์ลอตต์อาจไม่ใช่ผู้ใช้พลังเหนือธรรมชาติจริงๆ นั่นก็เพิ่มความเป็นไปได้ที่การที่เธอเข้าร่วมคลาสพลังเหนือธรรมชาตินั้นเป็นเพียงการโกหกของเธอเพื่อเข้าเป็นสมาชิกของรอยัลคลาส
“นั่นหมายความว่าจักรพรรดิเป็นคนเดียวที่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับความสามารถของเจ้าหญิง……”
เป็นไปได้ว่าอาจารย์คาบพลังเหนือธรรมชาติที่พาชาร์ลอตต์ไปที่ห้องแยกจะรู้ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีโอกาสที่เธอไม่ได้ทำอะไรเลยในนั้น
แม้แต่เบอร์ทัสก็ไม่สามารถรู้ได้ด้วยอำนาจของเขาตอนนี้
“จากนั้นมีเพียงอีกสองคนที่อยู่เคียงข้างจักรพรรดิเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ครูประจำชั้นห้อง B คุณมัสแตงและครูที่ดูแลชาร์ลอตต์ในชั้นเรียนวิชาพลังเหนือธรรมชาติ”
“ฉันก็คิดว่างั้น”
พลังเหนือธรรมชาติของเจ้าหญิงนั้นเป็นความลับอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีใครปริปากพูดถึงเรื่องนี้ และทั้งสองคนเป็นคนที่ไม่สามารถแตะต้องได้ง่ายๆด้วย
พวกเขาเป็นอาจารย์ที่วิหาร และพวกเขาเป็นอาจารย์ที่รับผิดชอบการบรรยายเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติที่ต้องควบคุมนักเรียนที่มีความสามารถที่เป็นอันตรายและเป็นอาจารย์ประจำชั้นของรอยัลคลาสทั้งสองคนเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา
“แล้วคุณหมายถึงอะไรการลองเสี่ยงครั้งใหญ่”
“ก็ถ้ามีการแบ่งปันความลับเกิดขึ้น ฉันจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในนั้นได้ แต่ก็เป็นการยากที่จะหาความลับที่มีคนเพียงไม่กี่คนที่รู้”
คุณมัสแตงและอาจารย์พลังเหนือธรรมชาติต่างก็อาศัยอยู่ในวิหาร และพวกเขาทั้งสองไม่ใช่คนที่จะถูกชักจูงง่ายๆ พวกเขาดำรงตำแหน่งสำคัญในหมู่อาจารย์ของวิหาร
“อืม…. นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากแน่นอน ไม่รู้ว่าพลังของเธอคือของจริงหรือปลอม….”
เธออาจโกหกว่าเธอมีพลังเหนือธรรมชาติเพื่อที่จะแข็งกับเบอร์ทัสงั้นเหรอ? ถ้าเป็นงั้นจริง คำโกหกนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน? แล้วจักรพรรดิยอมให้เธอทำอย่างนั้นเหรอ
งั้นแม้กระทั่งอาจารย์ประจำชั้นปี 1 ของคลาส B คุณมัสแตง ก็รู้เรื่องการโกหกของราชวงศ์อิมพีเรียลด้วยสิ เพื่อที่จะไม่ถูกจับได้
แล้วถ้ามันเป็นของจริงล่ะ? ทำไมพวกเขาถึงต้องปิดบังความสามารถของเธอด้วย?
ฉันไม่ต้องคิดเยอะเลย
“ถ้าเธอมีความสามารถเหนือธรรมชาติจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยให้คนอื่นเห็นได้ง่ายๆ…. มันต้องเป็นความสามารถที่ค่อยข้างเป็นปัญหา”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เกียรติยศหรือศักดิ์ศรีของจักรพรรดิ
มันเป็นความสามารถที่อาจสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองอย่างนี้ได้ แล้วเธอมีความสามารถประเภทไหนกันล่ะ?
“เอาล่ะ ถ้ามันอันตรายเกินไปก็เิกยุ่งกับมันซะ ซักวันความจริงจะออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเองแหละ”
“ใช่พะยะค่ะฝ่าบาท นั่นเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด”
ซาร์เคการ์ตอบเช่นนั้น เราควรจะลืมเรื่องความสามารถของเจ้าหญิงไปก่อน
“ฉันมีเรื่องจะบอกคุณ”
“เกิดมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าฝ่าบาท”
ฉันกำลังจะดวลในสัปดาห์หน้า แต่ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรบอก เขาอาจจะโกรธและแสดงความภักดีที่เหลือล้นอย่างไร้ประโยชน์
“มันเกี่ยวกับเจ้าหญิงอีกแล้วเหรอ”
“ใช่”
“เจ้าหญิงกำลังตามหาฉัน”
ซาร์เคการ์ดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดถึงเมื่อสักครู่
* * *
เมื่อได้ยินเรื่องราวของฉัน สีหน้าของซาร์เคการ์กลายเป็นเคร่งขรึม
มันเป็นความจริงที่ว่านี่เป็นปัญหาร้ายแรงที่ไม่สามารถเทียบได้กับการดวลนั้น หากเราเคลื่อนไหวผิดเพียงครั้งเดียว ไม่เพียงแต่ฉันแต่รากฐานของกิจกรรมของเรา แก๊งโรตารี อาจพังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อฉันบอกเขาว่าแม้แต่ เบอร์ทัสก็เริ่มสนใจฉัน สีหน้าของซาร์เคการ์ก็ยิ่งจริงจังมากขึ้น
“วิหารเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินไปสำหรับฝ่าบาท ควรรีบออกไปจากที่นี้….”
“ต่อให้ฉันรอด พวกแก็งคงเละแน่ๆ”
ถ้าฉันหายไป ชาร์ลอตต์จะกวาดล้างแก๊งโรตารี เงินเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเราตอนนี้
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ตอนนี้แก๊งโรตารีกลายเป็นแหล่งเงินที่สำคัญที่สุดของเรา ในกรณีของฉัน ฉันไม่ต้องการเงินนั้นอีกต่อไป แต่ซาร์เคการ์ต้องการมันมาก
“ช่างเป็นอะไรที่ตลกซะจริง ที่เจ้าหญิงต้องกลายเป็นตัวปัญหาแบบนั้น ทั้งๆ ที่เธอควรจะเป็นหนี้บุญคุณ….”
นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรออกมาจากปากคุณ คุณลักพาตัวเธอมา ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันอาจจะเปิดเผยตัวได้อิสระกว่านี้
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
“ตอนนี้ฉันต้องทำบางสิ่งที่ไร้สาระอย่างการค้นหาตัวเอง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ฉันควรจะบอกเธอมั้ยว่าฉันตายที่ไหนสักแห่งแล้วสร้างหลักฐานบางอย่างขึ้น”
“คำตอบนั้นอาจทำให้เจ้าหญิงพอใจ มันจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด แต่…. เราไม่รู้ว่าเจ้าหญิงจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากนั้น”
“นั่นก็จริง….”
สมมติว่าฉันบอกชาร์ลอตต์ว่าวาเลียร์ตายแล้ว และแสดงหลักฐานปลอมบางอย่างให้เธอดู สมมติว่าพวกเขาจะใช้หลักฐานที่ถูกบิดเบือนตามที่ให้ไว้
มีความเป็นไปได้ที่เธอจะกำจัดฉันและพวกพ้องหลังจากที่เราหมดประโยชน์แล้ว? ดูเหมือนว่าจะเป็นแผนที่ไม่ดีเท่าไหร่
“ถ้าฉันแจ้งผลลัพธ์ เธอก็อาจจะกำจัดฉัน และถ้าฉันไม่ เธอก็จะกำจัดฉันอยู่ดีเพราะฉันไร้ประโยชน์อีก…”
ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในนรกแห่งภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าฉันจะทำหรือไม่ก็ตามก็จะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่เมื่อฉันคิดต่างออกไปเล็กน้อย หัวของฉันรู้สึกปลอดโปร่ง
“เอาล่ะ ค่อยๆ ทำไปล่ะกัน”
“ค่อยๆทำ?”
“ใช่ เธอจะไม่แตะต้องเราหากเราแสดงให้เห็นว่าเรามีความคืบหน้าอย่างเล็กน้อย”
ให้ตายเถอะ ฉันไม่อยากให้ชาร์ลอตต์เป็นศัตรู เพียงเพื่อปกปิดคำโกหกเล็กๆ น้อยๆ ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ฉันจะลงเอยด้วยการโกหกที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก
“หากเธอรู้สึกว่าเรากำลังดำเนินการสืบค้นเรื่องนี้อย่างจริงจัง เธอจะต้องปกป้องเรามากกว่าต้องการกำจัดเราแน่ๆ”
เบอร์ทัสจะแสดงความสนใจในตัวฉันต่อไปตราบเท่าที่เขาคิดว่าฉันมีประโยชน์ เขาไม่ต่างจากชาร์ลอตต์ในเรื่องนั้น ฉันต้องมีคืบหน้าในการตามหาวาเลียร์
ในระหว่างนี้ เธอก็จะยังคงไม่พอใจฉัน แต่จะไม่แตะต้องฉัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ตาม แต่เธอจะพยายามช่วยฉันหากฉันหรือแก๊งค์ตกอยู่ในอันตราย
ทั้งชาร์ลอตต์และเบอร์ทัสซ่อนตัวตนที่แท้จริงจากคนทั่วไป
นั่นคือสิ่งที่พวกเขามีเหมือนกัน ชาร์ลอตต์แสร้งทำเป็นเป็นคนขี้อายเล็กน้อยในห้องเรียนคลาส B แต่วิธีที่เธอแสดงและพูดกับฉันในวันนั้นไม่ได้ดูใจดีหรือขี้อายเลยแม้แต่น้อย
ราวกับว่าพวกเขาถูกสร้างมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ดังนั้น ไม่ว่าใครในพวกเขาจะได้เป็นจักรพรรดิก็คงจะเหมือนกัน
ถึงยังไง
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเลย แต่ลองคิดในแง่ดี
ฉันก็ไม่ต้องเลือกระหว่างเบอร์ทัสกับชาร์ลอตต์อีกต่อไป
“แบบนี้ฉันน่าจะใช้ทั้งสองฝั่งได้”
ซาร์เคการ์ยิ้มให้กับคำพูดของฉัน
“ข้าทึ่งกับการวิเคราะห์ของคุณ”
เลิกยิ้มน่าขนลุกกับใบหน้างามสง่านั่นสักทีได้มั้ย? มันทำให้ฉันขนลุก
* * *
เป้าหมายระยะสั้นของฉันคือการอยู่รอดในการต่อสู้ในสัปดาห์หน้า
เป้าหมายระยะยาวของฉันคือการพิสูจน์ว่าฉันมีประโยชน์ต่อชาร์ลอตต์ และซ่อนการกระทำของฉันไม่ให้เบอร์ทัสรู้
“หอบ…. หอบ…. หอบ….”
“ฉันไม่ได้คาดหวังว่านายจะดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งวัน แต่นี่มันจำเป็นต้องจริงจังกว่านี้อีก”
การฝึกร่างกาย
เอเดรียน่าทำให้ฉันฟื้นพละกำลังด้วยการใช้พลังศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่ฉันใกล้จะหมดแรง พาลาดินกำลังฝึกฝนราชาปีศาจคนต่อไปอย่างสุดใจ
เอเดรียน่าทำบาปอย่างต่อเนื่องด้วยการทำอย่างนั้นใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเอเดรียน่าตกนรก นั่นคงเป็นความผิดของฉันทั้งหมด
อย่างไรก็ตามเรายังคงทำตามกิจวัตรนั้น ในขั้นแรก เราต้องการสมรรถภาพทางกายในระดับหนึ่งจึงจะสามารถใช้วิชาดาบได้ ในแง่ของการออกกำลังกาย ตอนนี้ฉันกำลังลองท่าเบ๊นซ์เพลส แต่ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะทำแม้แต่ทีเดียว
แม้ว่าฉันคิดว่าฉันกำลังจะหมดสติ ฉันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกำหมัดแน่นอีกครั้ง ในขณะที่รู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆ ของร่างกายที่อ่อนล้าของฉันที่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
หลังจากการฝึกตอนเช้ากับเอเดรียน่าเธอก็แนะนำให้ฉันกินเยอะๆ ฉันกินบางอย่างก่อนอาหารเช้า ส่วนใหญ่ฉันกินข้าวกับเอลเลนซึ่งประจำอยู่ที่ห้องอาหาร เนื่องจากเธอร้องขอของว่างง่ายๆ ไม่นานคลังเก็บของก็ถูกเติมด้วยอาหารง่ายๆ ที่สามารถรับประทานได้อย่างรวดเร็ว..
หลังจากฟังการบรรยายแล้ว ฉันก็เริ่มการฝึกต่อจนถึงมื้อค่ำ
หลังอาหารเย็น ฉันจะฝึกและกินอะไรอีกครั้งก่อนเข้านอน
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็มาถึงจุดที่ฉันรู้สึกได้ว่าพลังกายของฉันพัฒนาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย บางทีอาจเป็นเพราะฉันเริ่มต้นด้วยระดับสมรรถภาพทางกายที่ต่ำมากและได้รับการสนับสนุนจากพลังศักดิ์สิทธิ์
เช้าวันพฤหัส
“ทำไมคุณไม่ฝึกฝนโดยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ล่ะ”
มันง่ายและรวดเร็ว แล้วทำไมเธอถึงไม่ใช้มันล่ะ? ฉันถามเธอว่ามีเหตุผลเฉพาะหรือไม่
“ถ้าใครเสพสารกระตุ้นทุกวัน มันคงไม่ดีต่อร่างกายนั่นแหละเหตุผล ความหิวไม่สามารถกู้คืนได้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ฉันไม่รู้ว่าใครจะมองว่าฉันพูดแบบนี้เป็นการดูหมิ่นมั้ย แต่มันไม่เป็นธรรมชาติที่จะเติบโตด้วยการสนับสนุนของพลังศักดิ์สิทธิ์”
พลังศักดิ์สิทธิ์ฟื้นฟูความแข็งแกร่ง แต่มันไม่ได้เติมเต็มสารอาหารที่ใช้ไป เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบของสารกระตุ้น นั่นคือเหตุผลที่เธอคอยเตือนฉันให้กินเยอะๆ
แล้วฉันล่ะ?
“นี่แค่ชั่วคราว เข้าใจมั้ย? หากนายไปถึงระดับหนึ่งแล้ว นายต้องฝึกด้วยตัวเอง”
“เข้าใจแล้ว”
ราวกับว่าเธอต้องการชี้แจงอะไรบางอย่าง เอเดรียน่าบอกฉัน ประมาณว่าเธอจะไม่เป็นขี้ข้าของฉันตลอดไปแน่ๆ
ฉันรู้น้อยมากเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝ่ายของคลาส B และลุดวิก แต่พวกเขาน่าจะทำได้ดี..
เดิมทีจะมีฉากหนึ่งที่พวกเขาขัดแย้งกับนักเรียนจากห้อง A ที่พยายามจะหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันทุกเรื่อง
ฉันดึงดูดความก้าวร้าวของคลาส A ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเวลามาสนใจเกี่ยวกับคลาส B
ฉันซึ่งเป็นวายร้ายยอดนิยม รับความเกลียดชังและความอาฆาตพยาบาทของพวกวายร้ายทั้งหมด ดังนั้นตัวละครหลักจึงไม่มี “ความก้าวร้าว” เหลืออยู่เลย
ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นงี้นะ
ถึงอย่างไร
ฉันยังคงฝึกฝนและฝึกฝนต่อไป
ฉันบังเอิญเจอเอลเลนบ่อยมาก กิจวัตรประจำวันของเราเกือบจะเหมือนกันทั้งหมด เราบังเอิญเจอกันในห้องอาหารและโรงยิมเป็นส่วนใหญ่
ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น
เมื่อฉันเห็นเธอกินทุกอย่างที่เธอคิดว่ากินได้ ฉันก็อยากจะให้เธอกินอาหารที่ฉันทำ แน่นอนฉันรับเครดิตทั้งหมดสำหรับเรื่องนั้น
“เธอโชคดีมากที่ได้มาที่วิหาร”
“ทำไม?”
“ด้วยปริมาณอาหารที่เธอกินทุกวัน เธอสามารถทำลายบ้านทั้งหลังได้”
เมื่อมองไปที่เอลเลนที่เพิ่งกลืนพาสต้าจำนวนมากที่ฉันเพิ่งทำไป ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย ฉันสงสัยจริงๆ ว่ามีหลุมดำอยู่ในท้องของเธอหรือเปล่า
เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน เอลเลนก็มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แล้วพูดออกมา
“ฉันไม่อยากมาที่นี่ซักหน่อย”
“……ฮะ?”
“วิหารบอกให้ฉันมา”
“อา…. ฉันเข้าใจละ”
ตอนนี้เธอกำลังเถียงกับฉันเพราะฉันบอกว่าเธอสามารถทำลายบ้านได้ใช่มั้ย? เดี๋ยวก่อนนะ เธอกำลังพูดถึงตัวเองงั้นเหรอ?
เธอไม่ค่อยได้บอกใครเกี่ยวกับตัวเธอเอง จึงไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของผู้กล้าคนนั้น ยกเว้นเจ้าชาย แต่นี่เธอกำลังบอกฉันว่าเธอถูกสั่งให้มาที่นี่ เพราะฉันแซวเธอที่กินอย่างกับหลุมดำ และเธอไม่อยากมาที่นี่
นั่นคือสิ่งที่เธอบอก
แน่นอน ฉันรู้เรื่องส่วนตัวของเธอ แต่ก็น่าแปลกใจที่เธอบอกฉันเกี่ยวกับตัวเองแบบนั้น
เธอพูดถูก ทันทีที่พวกเขารู้ว่าอาร์โทเรียสมีน้องสาว พวกเขาก็ขอร้องให้เธอมาที่วิหาร
“เธอโกรธงั้นเหรอ”
“เปล่า”
ชัดเจนสุดๆ
ฉันเป็นคนแรกที่ทำให้เอลเลนหน้าบูดบึ้งได้สำเร็จ
* * *
การฝึกหนักขึ้นในวันช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนระหว่างการบรรยายในวันธรรมดา ในทางตรงกันข้าม ฉันฝึกอย่างเข้มข้นมากขึ้นในเวลาว่าง
เอเดรียน่าอยู่นานกว่าปกติในวันนั้น ทำให้ฉันจำความรู้ทางทฤษฎีได้มากมาย ฝึกฝนฉันและบอกให้ฉันกินเยอะๆ
วันอาทิตย์
“อ๊ะ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
“…….”
ในครัว ฉันเฝ้าดูเอลเลนทำอาหารอย่างเคร่งครัด เธอเข้ามาในครัว บอกว่าครั้งนี้เธออยากจะทำเอง เพราะฉันคอยทำอาหารให้เธอ เธอคงเบื่อที่ฉันคอยดิสเครดิตตลอดเวลา
เมนูนี้สันนิษฐานว่าเป็นสตูว์เนื้อที่มีเนื้อสันในจำนวนมาก เมื่อฉันถามเธอว่าเธอรู้วิธีทำไหม เธอบอกว่าเธอทำกินบ่อยมากที่บ้าน
“เฮ้…. ทำแบบนี้ ฉันเพิ่งสอนเธอไปเองนะ”
“ได้ใส่เกลือรึเปล่า”
“อา มันสุกเกินไปแล้ว…. เคี้ยวแล้วมันจะปวดฟันเปล่าๆ นี่เธอจะฝึกกรามของเธอด้วยงั้นเหรอ”
“ต้องมีบางอย่างขาดหายไปแน่ในนั้น…. แต่ฉันไม่แน่ใจ”
“ใส่สมุนไพรตอนนี้เลย….”
.
.
.
“…….”
เอลเลนมองมาที่ฉันอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ฉันยังคงให้คำแนะนำกับเธอ
“…ฉันไม่คิดว่าคุณควรมองมาที่คนในขณะที่ถือมีดอยู่นะ”
เธอยังคงจ้องมองมาที่ฉันอยู่ดี
“…….”
ดูเหมือนว่าเธอโกรธ! เธอแค่มองมาที่ฉันอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ถือมีดทำครัว มันน่ากลัวมาก! เอลเลนมองมาที่ฉันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีสมาธิกับการทำอาหารอีกครั้ง
“ดูอารมณ์ของเธอสิ พร้อมที่จะเอามีดแทงฉันถ้าฉันพูดอีกสักคำ ใช่มั้ยล่ะ?”
แน่นอนว่าปากของฉันไม่เคยเข้าสู่โหมดเงียบ เธอมีรสชาติที่แตกต่างจาก แฮเรียตตัวน้อยน่ารัก เธอดูเหมือนจะไม่ตอบสนองเลย
พูดตามตรง ฉันรู้สึกเหมือนต้องยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะฉันคือคนที่โกรธแทนซะงั้น
เอลเลนทำอาหารเสร็จโดยไม่คำนึงถึงคำวิจารณ์ที่รุนแรงของฉัน จากนั้นเธอก็หยิบสตูว์จำนวนมากและวางลงบนโต๊ะ ไม่ว่าเธอจะบอกอะไรฉัน ฉันคิดว่าเธอต้องการทำให้ฉันโกรธจริงๆ
ฉันตักสตูว์ที่ทำเสร็จแล้วขึ้นมาหนึ่งชาม และเราต่างก็หยิบมาหนึ่งช้อนเต็ม
ฉันจ้องไปที่เอลเลน
“…….”
“…….”
ต้องล้อฉันเล่นแน่ๆ แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกับครั้งที่แล้ว
“เค็ม”
“ใช่”
เธอบอกว่าเธอกินมันที่บ้านบ่อย ๆ แต่ไม่ได้บอกว่าเธอทำมันเองล่ะนะ
ในที่สุดเธอก็กลับไปทำอาหารตามคำสั่งของฉัน จัดการทำสตูว์ที่ดีกว่าเดิม
“เธอคิดว่าไง ตอนนี้มันกินได้แล้วใช่มั้ยล่ะ?”
“อืม”
“แน่นอน เธอคิดว่าฉันเป็นใครกันล่ะ”
“…….”
ขณะที่ฉันสะกิดเธอจนถึงที่สุด ในที่สุดฉันก็เห็นรอยย่นปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเอลเลน ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำให้รูปปั้นหินนั้นโกรธได้
อ่า ฉันค่อนข้างซาดิสม์พอตัวนะเนี่ย
แล้วเย็นวันจันทร์
“นั่นไม่ได้ทำแบบนั้นซักหน่อย”
ฉันกวัดแกว่งดาบในโรงยิม เอลเลนพูดกับฉันอย่างเป็นกันเอง
“.…อะไร?”
“นายทำผิดแล้วนะแบบนั้นน่ะ”
เอลเลนเริ่มแก้แค้นที่ฉันได้วิจารณ์และหยาบคายใส่เธออย่างรุนแรง
ฝากเพจผู้แปล Lemon FT ด้วยเน้อ