เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 3
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 3
ในคุกอันกว้างใหญ่ ฉันถึงกับพูดไม่ออกกับกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียนและภาพอันน่าสยดสยองที่อยู่ตรงหน้า
สิ่งที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้คือซากศพของปีศาจที่ถูกโจมตีโดยเหล่าผู้กล้าที่เข้ามาในปราสาท ส่วนสิ่งที่พบที่นี่….
ล้วนแล้วแต่เป็นซากศพของมนุษย์
“อึก….”
ไม่มีผู้คุม แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะฆ่านักโทษทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่สนามรบ ฉันรู้สึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา แต่ก็ได้กลั้นเอาไว้
ศพส่วนใหญ่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างน่าสยดสยอง เป็นสภาพที่แหลกเหลวจนไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาเผชิญกับอะไรมา
ฉันไม่มีเวลามามัวลังเล แต่มือและเท้าของฉันมันหยุดสั่นไม่ได้เลย
แน่นอนว่ามีความแตกต่างระหว่างการเขียนกับการเห็นด้วยตนเอง ศพที่ฉีกขาดเช่นนั้นยากที่จะมอง
มีเลือดและอุจจาระกระจายอยู่ไปทุกที่
มีศพที่อยู่นอกประตูห้องขังที่เปิดอยู่ บางทีอาจเป็นพวกที่พยายามหลบหนี
มันดูแย่มากจนฉันไม่อยากมองดูเลย
ฉันล่ะอยากจะสาปแช่งตัวเองจริงๆ
นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังมองหา
“ไอ้บ้าเอ้ย… ให้ตายเถอะ….”
บาปที่ฉันทำในชาติที่แล้วนั้นใหญ่หลวงขนาดไหนกัน?
ถึงขั้นต้องมาเปลื้องผ้าของศพที่มีสภาพไม่น่าจดจำเพียงเพื่อความอยู่รอด?
ฉันถอดเสื้อผ้าหรูหราเพื่อหยิบผ้าขี้ริ้วมาสวม ฉันถอดผ้าขี้ริ้วออกจากสิ่งที่ควรเรียกว่าเศษเนื้อมากกว่าศพ ช่างความภาคภูมิใจที่ไม่จำเป็นนั้นไป ก่อน ฉันถอดชุดชั้นในออกและกลิ้งไปมาบนพื้นสกปรกขณะที่สวมผ้าขี้ริ้ว
ความรู้สึกที่มีเลือดเหนียวๆบนใบหน้านั้นมันแย่มาก
ฉันยังไม่มีโอกาสส่องกระจก แต่มันคงดูแย่มาก ในที่สุดฉันก็ทนไม่ได้อีกต่อไปและเริ่มคุกเข่าลง
“อ้วกกก!”
ถึงฉันเปิดจะปากแต่ก็ไม่มีอะไรออกมา ขณะที่ได้ยินเสียงตะโกนจากข้างนอกซึ่งดูเหมือนดังก้องมาแต่ไกล
ด้วยสิ่งนี้ การเตรียมการของฉันก็เสร็จสิ้นลง
ฉันสามารถเข้าไปที่มุมของห้องขังและขังตัวเองไว้ หรือไม่ก็แสร้งทำเป็นว่าฉันสามารถหลบหนีได้
จากนี้ไป สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือภาวนาอย่าให้ใครมองผ่านเวทมนตร์พรางตัวของฉันได้
ฉันควรจะอธิษฐานถึงใครกันดี?
ฉันเดินไปรอบ ๆ ห้องขังด้วยอารมณ์อันสังเวช ห้องขังซึ่งก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนแทบระเบิด บัดนี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยนอกจากซากศพ
พวกเขาต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?
หรือนั่นคือสิ่งที่ปีศาจเป็น?
และ
-ร้องไห้. สะอื้น สะอื้น….
ฉันได้ยินเสียงใครบางคนร้องไห้ที่ไหนสักแห่ง
มีผู้รอดชีวิต
ฉันไม่รู้ว่าใคร แต่มีคนยังมีชีวิตอยู่ที่นี่สัญชาตญาณนำพาให้มุ่งไปทึ่นั่น ความกลัวเพิ่มขึ้น แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะไปดู ร่างกายของฉันเคลื่อนไหวเร็วกว่าที่ฉันคิด
เหนือสิ่งอื่นใด ฉันคิดว่าฉันควรช่วยใครก็ตามที่ยังมีชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้ฉันโล่งใจเพราะมันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฉันยังเป็นคนปกติอยู่
“เอ่อ ใคร….. มีใครอยู่แถวนี้มั้ย…?”
– ฮึก…. ร้องไห้. ร้องไห้…….
มันเป็นเสียงร้องที่เงียบเชียบ ไร้ซึ่งพลัง ราวกับเสียงร้องของสัตว์ตัวเล็กๆ
ฉันผ่านสถานที่น่าสยดสยองสองสามแห่งที่อยู่ภายในห้องขัง
“ร้องไห้…. ฮึก…. ฮือออ….”
ในไม่ช้าฉันก็เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งร้องไห้ด้วยเสียงแหบแห้ง กอดบางสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์
ฉันพอเดาได้คร่าวๆว่าสถานการณ์นี้เป็นอย่างไร
ยังมีศพและเนื้อจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ทั่ว
ฉันเกลียดที่คาดเดาแบบนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากซากศพแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีห้าคนในนั้น ไม่รวมสาวร้องไห้ เธอร้องไห้ขณะกอดศพรูปร่างไม่แน่นอน ราวกับว่าเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันอยู่ต่อหน้าเธอ
ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าศพนั้นตายยังไง หรือเด็กคนนี้รอดชีวิตมาได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ฉันบอกได้ก็คือศพที่หญิงสาวถืออยู่นี้น่าจะเป็นคนสำคัญของเธอ
“เฮ้ ใจเย็นๆนะ….”
“…แก๊ง! แก๊ง!”
หลังจากที่ฉันเคาะกรง ผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นและมองมาที่ฉัน
แม้ว่าเธอจะเต็มไปด้วยเลือด แต่ฉันก็บอกได้ว่าเธอมีผมสีบลอนด์และดวงตาสีทอง เธอผอมมาก
หญิงสาวมองมาที่ฉันตกใจและถอยหนี
“ห๊ะ! คะ คะ ใครกันน่ะ……”
“อ่า ไม่ต้องกังวลไป! ฉะ…ฉันก็เป็นคนที่ติดอยู่ที่นี่เหมือนกัน!”
หญิงสาวพึมพำพูดลอยๆ ราวกับว่าเธอสูญเสียสติของเธอ
“ฉะ …… ฉันจะพาคุณออกไป ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
ดวงตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความกลัวและความโศกเศร้า ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่างขณะที่เธอมองมาที่ฉัน คนในผ้าขี้ริ้วเช่นเดียวกับเธอ
ผู้หญิงคนนั้นมองที่ตา แขน และขาของฉัน
เธอกำลังมองมาที่ฉันอย่างหวาดกลัว เป็นภาพที่บาดตาบาดใจเหล่านี้ซึ่งฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน จากนั้นหญิงสาวก็พยักหน้าช้าๆตอบ
เธอตัวสั่น แต่เหมือนว่าเธอเลือกที่จะเชื่อฉัน อาจเพราะเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อใจฉัน เมื่อจู่ๆ เธอพบฉันในสถานการณ์ที่เข้าใจยากนี้
เธอเชื่อว่าฉันอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอ เพราะฉันได้รับผลกระทบจากภาพเหล่านี้ สิ่งนี้เป็นไปได้เพราะฉันไม่ใช่เจ้าชายปีศาจไปถึงจิตใจ
“เฮ้ รู้มั้ยว่ากุญแจอยู่ที่ไหน? ฉันจะไขเข้าไปไป”
“น่าจะ…… ที่ นั่น……”
เด็กสาวชี้ไปที่อีกด้านของคุกโดยไม่พูดอะไร
เป็นความจริงที่ฉันรู้สึกจำเป็นต้องช่วยเด็กคนนี้
อย่างไรก็ตาม มันก็จริงเช่นกันที่ฉันมีความคิดเชิงคำนวณว่าโอกาสรอดชีวิตของฉันจะเพิ่มขึ้นหากผู้รอดชีวิตคนอื่นสามารถให้การได้ว่าฉันก็ถูกจองจำที่นี่เช่นกัน
* * *
ฉันไม่รู้ว่าอันไหนคือกุญแจที่ถูกต้อง ดังนั้นฉันจึงนำพวงกุญแจทั้งหมดที่หาได้จากห้องทำงานของผู้คุมที่อยู่ท้ายห้องขัง ในขณะที่ฉันกำลังลองทุกดอกเด็กผู้หญิงคนนั้นก็เอาแต่ร้องไห้
เธอแค่ร้องไห้ ราวกับว่าเธอหมดหวังไปแล้ว
“ได้ยินเสียงข้างนอกนั่นมั้ย”
” อืม….”
มีเสียงตะโกนของมนุษย์ ฉันไม่สามารถลงรายละเอียดได้ แต่ฉันอยากจะบอกเธอว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
“เราจะไม่เป็นไร”
สงครามครั้งนี้ได้รับชัยชนะโดยมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยคำพูดที่มั่นใจของฉัน เด็กหญิงยังคงร้องไห้ได้พยักหน้า การค้นหากุญแจที่ใช่คงใช้เวลานาน ฉันสงสัยว่าจำเป็นต้องเปิดประตูจริงๆมั้ย แต่ตอนนี้ฉันต้องการพาเธอออกจากที่น่าสังเวชนี้
“มันอันตรายที่จะออกไปด้านนอก แต่…. มาเปิดไว้ก่อน แม้ไม่อยากออกไปไหนก็ตาม”
“อืม อืม……”
เสียงของหญิงสาวสั่นอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าเธอจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้หลังจากพบกับมนุษย์ที่มีชีวิตเหมือนเธอ
ถึงกระนั้น ฉันในฐานะผู้ใหญ่ควรทำให้เธอสบายใจ
“ใจเย็น ๆ…. เราจะรอด คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อได้”
นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะพูดกับตัวเอง
คุณต้องออกจากสถานการณ์นี้และเอาตัวรอด
ฉันต้อง ฉันพึมพำ “ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ เรารอดได้แน่” กับตัวเอง ราวกับกำลังสะกดจิตตัวเอง
แค่มองเธอฉันก็บอกได้เลยว่าเธอผอมมาก ฉันนึกไม่ออกเลยว่าเธอจะต้องหิวโหยขนาดไหน
อ่า
พอคิดดูแล้ว
“รอ เดี๋ยวนึงนะ”
“หืม? ฮะ?”
ฉันวิ่งไปที่ไหนสักแห่งแทนที่จะพยายามเปิดประตูต่อ ดูเหมือนเธอจะเรียกฉัน แต่ฉันวิ่งราวกับสายลมและคุ้ยเสื้อผ้าที่ฉันถอดทิ้งไว้
จากนั้นฉันก็กลับมาพร้อมกับของที่ฉันนำมาจากที่นั่น
“ดูนี่สิ ฉันเจอเจ้านี้ในที่ที่มีกุญแจอยู่”
ฉันไม่จำเป็นต้องบอกความจริงกับเธอ ฉันเลยโกหกเธอเล็กน้อยและยื่นบิสกิตให้เธอ มันเป็นบิสกิตที่ฉันมีในกระเป๋าของฉัน ที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฉันโยนมันทิ้งไปพร้อมกับเสื้อผ้าของฉัน
“เธอคงจะหิว กินนี่ซะ”
ทันใดนั้นหญิงสาวก็เห็นบิสกิตขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งทำให้เธอเบิกตากว้าง ใช่ สิ่งต่าง ๆ เป็นเรื่องน่าเศร้าและน่าหดหู่ใจ แต่คุณคงรู้สึกหิวอย่างบ้าคลั่งด้วย เด็กผู้หญิงคนนั้นจ้องมองมาที่ฉันอย่างเหม่อลอยซึ่งให้บิสกิตทั้งหมดแก่เธอ
“ค คะ…… คุณ?”
“ฉันไม่เป็นไร กินก่อนสิ”
ฉันเริ่มคลำหากุญแจอีกครั้ง หญิงสาวจ้องมองอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าเธอกำลังตัดสินใจว่าจะกินมันดีหรือไม่ และเวลาผ่านไป
-หมับ!
พร้อมกับเสียงนั้น มีบางอย่างดันเข้าปากฉัน ในขณะที่ฉันยังคงสาละวนกับการหากุญแจที่ถูก
“คุณก็ด้วย…… คุณก็ต้องกินด้วย”
เด็กหญิงร้องไห้และยื่นบิสกิตให้ฉันครึ่งหนึ่ง เธอต้องใช้ความมุ่งมั่นแค่ไหนในการหักมันและให้ฉันครึ่งหนึ่ง?
ฉันรู้สึกสะเทือนอารมณ์ด้วยเหตุผลบางอย่าง
ต้องมาเจอแบบนี้เพื่อชดใช้บาปที่เราได้ทำลงไปด้วยเหรอ? ฉันชดใช้ด้วยการตายหลังจากอ่านความคิดเห็นที่รุนแรงยังไม่พออีกเหรอ?
ตาของเริ่มแฉะ เมื่อฉันเริ่มรู้สึกขุ่นเคืองโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ขอบคุณ”
หญิงสาวเริ่มร้องไห้อีกครั้งหลังจากที่เธอกัดเข้าไปในบิสกิต ไม่รู้ว่าร้องไห้เพราะอร่อยหรือเพราะเศร้า อาหารมีรสชาติเป็นอย่างไรหลังจากที่ทนหิวมานาน?
ไม่รู้สิ แต่ฉันคิดว่าฉันพอจะรู้ว่าทำไมเธอถึงร้องไห้
-แกร๊ก!
ทันทีที่ฉันกัดบิสกิตเข้าไป ประตูเหล็กก็เปิดออก
* * *
กรงเปิดแล้ว แต่เธอไม่ออกมา บางทีเธออาจไม่ต้องการทิ้งร่างที่เธอถือไว้ข้างหลัง อย่างไรก็ตามการออกไปข้างนอกนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดี มันอาจจะยังคงเป็นอันตราย
เป็นการดีที่สุดที่จะรอที่นี่
ดังนั้น แทนที่จะเปิดห้องขังเพื่อให้ใครออกมา ฉันกลับทำเรื่องประหลาดด้วยการเดินเข้าไปในห้องขัง
“ราชาปีศาจ……. จะตายมั้ย……?”
“แน่นอน”
ฉันคิดว่าเขาตายไปแล้ว
ฉันไม่สะทกสะท้านกับการตายของพ่อผู้ให้กำเนิดที่ไม่รู้จัก หญิงสาวตัวสั่นและพึมพำสิ่งต่าง ๆ ในขณะที่น้ำตาไหล ศีรษะของเธอจมอยู่ในหัวเข่าของเธอ
“อาร์โทเรียส บอกว่าเขาจะมาช่วยเรา……”
โชคไม่ดีที่ราชาปีศาจอาจลากอาร์โทเรียสตายไปด้วย เขาไม่สามารถช่วยเราได้ แต่ฝ่ายมนุษย์น่าจะมาที่นี่
“ใช่ จะมีคนมาช่วยเรา”
นี่ไม่ใช่แค่การคาดเดา แต่เป็นความจริง อย่างไรก็ตาม กองทัพจะมาช่วยผมหรือไม่นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฉันหมายถึงฉันไม่ใช่เป็นราชาปีศาจซะหน่อย
“ฉันไม่ได้ยินพวกเขาแล้ว”
หญิงสาวตัวสั่น เมื่อเสียงที่ดังมาตลอดหยุดลง เมื่อคิดว่ากองทัพมนุษย์พ่ายแพ้ เด็กสาวก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉันเอื้อมมือไปโอบไหล่เธอ
“ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะดีเอง”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ผู้หญิงคนนั้นดูแปลกใจที่ฉันพูดแบบนั้น
“คุณ…. คุณดูใจเย็นมาก….”
คำพูดเหล่านี้ดูน่าขนลุกและทำให้ฉันแข็งทื่อเล็กน้อย
“ไม่หรอก ฉัน ฉัน…… ก็กลัวมากเหมือนกัน”
ฉันคิดว่าเป็นเพราะฉันอยู่ใกล้เด็ก ดังนั้นฉันจึงพูดเกินจริงไปเล็กน้อย แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ฉันกลัวจนแทบบ้า คุณคงสบายดี แต่ฉันอาจจะโดนตัดหัวในไม่ช้า
ถึงกระนั้น เด็กสาวก็ไม่สงสัยในความใจเย็นของฉัน
“ชื่อของคุณ…. คือ?”
หญิงสาวถามชื่อของฉัน
ฉันชื่อวาเลียร์ จูเนียร์ เนื่องจากราชาปีศาจวาเลียร์ตายไปแล้ว ตอนนี้ชื่อของฉันต้องเป็นวาเลียร์ ฉันบอกชื่อเธอไม่ได้ นั่นมันเหมือนกับว่าฉันกำลังขอให้ตัวเองฆ่าตัวตาย เพราะแม้แต่มนุษย์ธรรมดาก็จะถูกขว้างด้วยก้อนหินหากพวกเขาตั้งชื่อตัวเองตามราชาปีศาจ
“นั่นสินะ ดูสิ……. ฉันจำไม่ได้….”
ในท้ายที่สุด ฉันได้ให้ข้อแก้ตัวแรกที่นึกขึ้นได้กับเธอ
“ก็…… ฉันไม่รู้ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย ฉันเป็นใคร ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่…… ทุกอย่างเลย”
นั่นเป็นข้อแก้ตัวที่สะดวกที่สุดที่ฉันคิดได้
ความจำเสื่อม
ฉันตัดสินใจที่จะดำเนินต่อไปโดยมีฉากที่สูญเสียความทรงจำหลังจากการทรมานอย่างไร้ความปรานีที่ไม่มีวันจบสิ้นเหล่านี้
ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีวันที่ฉันใช้แนวคิดที่สิ้นคิดแบบนี้
“ฮึก……. เราจะทำยังไงดี……”
ผู้หญิงคนนั้นกอดฉันราวกับว่าเธอรู้สึกเสียใจกับเรื่องของฉัน
ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะเธอเชื่ออย่างรวดเร็ว หญิงสาวโอบฉันไว้ในอ้อมแขนอันเรียวยาวของเธอ แต่เธอก็ให้กำลังใจฉันเล็กน้อยเช่นกัน
“ถ้าฉันออกไปจากที่นี่ได้…… ถ้าฉันออกไปได้…… คุณความทรงจำของคุณกลับมาแน่นอน…… ฉันสัญญา”
หืม?
ยังไงนะ?
– ครืด ครืด
ก่อนที่ฉันจะคิดเสร็จ ฉันได้ยินเสียงใครบางคนวิ่งมาแต่ไกล ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ฉันได้ยิน
– ที่นี่น่าจะเป็นคุก!
– พวกเขาตายหมดแล้ว!
นั่นเป็นเสียงของมนุษย์อย่างแน่นอน คนที่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอัศวินหรือทหารรีบวิ่งไปตรวจสอบห้องขังและในที่สุดก็ได้พบกับเรา
“พระเจ้า ผู้รอดชีวิต! พวกเรามีผู้รอดชีวิต!”
เสียงอุทานที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์จากผู้ที่พบเราดังไปทั่วเรือนจำ
น้ำตาคลอเบ้าในดวงตาของเด็กสาว และหัวใจของฉันก็เริ่มเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งด้วยความกลัว ความตื่นเต้น และความโล่งใจ
จากนั้นอัศวินวัยกลางคนก็เดินตามเสียงตะโกนและก้าวมาตรงหน้าเราในที่สุด ทันทีที่เขาเห็นหญิงสาว ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว
“โอ้ …… ฝ่าบาท เจ้าหญิง….”
เดี๋ยว…..
ว่าไงนะ?
ถ้ามีติดขัดตรงไหนเรื่องคำแปลสามารถชี้แนะได้เลยติดต่อพูดคุยกับผู้แปลได้ที่เพจ Lemon FT ได้เลยนะครับ