เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 29
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 29
นักเรียนส่วนใหญ่มีความถนัดและความสามารถเฉพาะตัว ดังนั้นไม่ต้องบอกก็ได้ว่าต้องเรียนอะไร หน้าที่ของครูคือการดูรายชื่อหลักสูตรที่นักเรียนเลือกและให้คำแนะนำไม่กี่คำ
อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของเขา นี่คงเป็นครั้งแรกที่มีนักเรียนอย่างฉัน นักเรียนประหลาดที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่ได้เก่งอะไรเลย
“คุณสามารถทำอะไรก็ได้ภายในหลักสูตรที่วิหารรองรับ แต่ถ้าคุณพยายามทำทุกอย่าง คุณจะไม่สำเร็จอะไรเลย”
ดังนั้น คุณเอพินเฮาเซอร์จึงพาฉันไปที่ห้องทำงานของอาจารย์เผื่อว่าฉันจะโลภมากเกินไปและพยายามทำอะไรไร้สาระ เพื่อป้องกันสถานการณ์อย่างการฉันที่พยายามเรียนรู้ทุกอย่างแต่กลับไม่ได้อะไรเลย
ช่างเป็นครูที่ดี
“ความถนัดและพรสวรรค์ไม่ได้เป็นตัวกำหนดเสมอไปว่าเหมาะสมกับสิ่งนั้นหรือไม่ ฉันเคยเห็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์แต่เกลียดเวทมนตร์อย่างยิ่ง และก็มีคนที่มีพรสวรรค์ด้านการใช้ดาบเป็นเลิศ แต่จะสลบไสลทันทีที่ดาบชี้มาที่พวกเขา”
พรสวรรค์ในการฟันดาบไม่ได้ให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้โดยอัตโนมัติ และพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ไม่ได้ทำให้ผู้คนมีความปรารถนาที่จะค้นคว้าและวิจัยเวทมนตร์โดยอัตโนมัติ
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าจุดบอดของพรสวรรค์
คุณเอพินเฮาเซอร์ได้บอกฉันถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในส่วนเริ่มต้น
ในท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือความคิดของตัวเอง ความสนใจในสิ่งนั้น หากมีใครถูกบังคับให้ฝึกในสาขาใดสาขาหนึ่งเพราะมีคนพบพรสวรรค์ในตัวคุณตั้งแต่เนิ่นๆ เขาอาจรู้สึกรังเกียจพรสวรรค์นั้นและอาจจบลงด้วยการตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
การมีพรสวรรค์ในการใช้ดาบจะมีประโยชน์อะไรหากคุณกลัวความรุนแรง
นั่นคือสิ่งที่เขาหมายถึง
“อย่างน้อยคุณก็ดีกว่าพวกนั้น คุณไม่จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ทำอะไรเพราะคุณไม่มีพรสวรรค์ที่เป็นข้อจำกัดของคุณ คุณสามารถทำทุกอย่างที่คุณต้องการได้”
ในที่สุดเขาก็ถามฉันว่าฉันต้องการทำอะไร ฉันตัดสินใจเมื่อวานนี้
“ฉันต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติ”
“…….”
เป็นครั้งแรกในวันนี้ ที่ใบหน้าของเขาแสดงอารมณ์บางอย่างออกมา
เห็นได้ชัดว่าเขาสงสารฉัน
เขาดูโปรไฟล์ของฉันและนิ่งไปชั่วขณะ
“ฉันได้ยินมาว่าคุณมีความถนัดมากมายจนจำเป็นต้องตัดออกให้เหลือแค่บรรทัดเดียว”
พวกเขาไม่สามารถเขียนความถนัดทั้งหมดของฉันลงบนกระดาษได้ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาสรุปเป็นบรรทัดเดียว: ‘มีความถนัดในทุกด้าน’ หากพวกเขาพยายามจัดทำเอกสารทั้งหมดจริงๆ พวกเขาจะสิ้นเปลืองกระดาษจำนวนมาก
“คุณมีความสามารถพลังเหนือธรรมชาติด้วยเหรอ?”
“อาจจะครับ?”
บางทีฉันอาจจะเคยหรืออาจจะไม่มี ฉันไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังได้จริงๆ
“เอาเป็นว่าคุณคิดแล้ว คุณวางแผนจะปลุกพลังเหนือธรรมชาติเช่นนั้นอย่างไร?”
“…ด้วยการพยายามให้ถึงที่สุด?”
ฉันไม่สามารถบอกเขาได้ตรงๆ ว่าฉันสามารถใช้คะแนนความสำเร็จเพื่อปลุกพวกเขาได้ ดังนั้นฉันจึงพูดแบบนั้น แต่นั่นทำให้เขามองฉันราวกับว่าฉันกำลังพยายามทำลายก้อนหินด้วยไข่
“ไม่มีอะไรที่คุณอยากจะโฟกัสนอกเหนือจากพลังเหนือธรรมชาติเหรอ? พูดง่ายๆ ก็คือคนที่ไม่มีความสามารถเหนือธรรมชาติไม่สามารถเข้าร่วมการบรรยายพิเศษเหล่านั้นได้”
“ฉันเข้าไม่ได้เหรอ?”
“……มันแตกต่างออกไปเล็กน้อยสำหรับนักเรียนของรอยัลคลาส แต่อาจารย์ที่รับผิดชอบจะพบว่ามันแปลกมาก อาจมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไล่คุณออกมา”
ฉันพยักหน้าและบอกเขาว่าฉันจะรับผิดชอบเองหากฉันถูกไล่ออกมา
เขาทนเครียดเป็นเวลานานและในที่สุดก็เริ่มเขียนบางอย่างลงบนกระดาษ
“สมัครคลาสนี้เดี๋ยวฉันจะแจ้งอาจารย์ให้”
ดูเหมือนเขาจะคิดว่าฉันควรรู้ด้วยตัวเองว่าฉันพยายามทำอะไรไร้สาระ
“แต่ฉันจะให้แค่บรรยายเดียว”
เขาเขียนสิ่งนี้และสิ่งนั้นโดยบอกว่าเขาจะไม่แนะนำการบรรยายเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติอื่นใดให้ฉัน
หลังจากเขียนบางสิ่งลงในพริบตาเขาก็ส่งกระดาษให้ฉัน
“นี่คือกำหนดการของคุณสำหรับภาคการศึกษานี้ ถ้าคุณใส่อย่างอื่นลงไปฉันจะไม่ยอมรับ”
เห็นได้ชัดว่าเขาจัดตารางเวลาให้ฉันแทน
“นี่คือการบรรยายอะไร?”
“แทนที่จะมุ่งความสนใจไปที่เรื่องนั้นเพียงอย่างเดียว ฉันอยากให้คุณทำแบบนี้ คุณจะสามารถหาสิ่งที่เหมาะสมได้”
เขาบอกฉันว่าฉันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการในตอนแรก
เมื่อเขารู้ว่าฉันอยากจะมุ่งเน้นไปที่บางสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างพลังเหนือธรรมชาติ เขาขอให้ฉันเลือกสิ่งที่ฉันอยากทำนอกเหนือจากนั้น ดังนั้น แทนที่จะใช้ภาคการศึกษานี้ไปกับพลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว เขาบอกฉันว่าฉันควรลองวิชาอื่นด้วยเพื่อหาสิ่งที่ฉันชอบ เป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นไปไม่ได้ที่จะปลุกพลังเหนือธรรมชาติด้วยความพยายาม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นั่นคือการตัดสินที่ถูกต้องที่นี่ ดังนั้นฉันจึงไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
* * *
การเข้าร่วมชั้นเรียนพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดไม่ใช่ความคิดที่ดี อันที่จริง มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเรียนทั้งภาคการศึกษาด้วยการบรรยายเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว และฉันก็อยากจะดูว่าการบรรยายของแต่ละวิชาเอกที่ฉันอธิบายเพียงคร่าว ๆ ในนิยายของฉัน
ดังนั้นฉันจึงกลับไปที่ห้องเรียนของคลาส A ซึ่งไม่มีครูอยู่ ที่นั่นฉันพบเด็กเกือบทุกคน ยกเว้นสองสามคน รวมตัวกันรอบกระดานข่าว
ทันทีที่ฉันเดินผ่านประตูทุกสายตาก็หันมาที่ฉัน
“……”
“……”
ทำไมพวกเขาถึงจ้องมองมาที่ฉันแบบนั้น?
สายตาจากคนที่รวมตัวกันรอบกระดานข่าวนั้นดูอบอุ่น แทนที่จะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง การจ้องมองของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความไม่เข้าใจ
“เฮ้ นายไม่มีพรสวรรค์เลยเหรอ?”
เลขที่ 10 เคเยอร์ วอยเดน เป็นคนพูดคำเหล่านี้ ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงไปเบียดเสียดกันบนกระดานข่าวแบบนั้น
คุณเอพินฮาวเซอร์ ติดประวัตินักเรียนแต่ละคนบนกระดานข่าว โดยตั้งใจให้รู้จักความสามารถของกันและกันเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าควรระวังอะไรบ้าง
แน่นอนว่าความสามารถอันล้นเหลือของเอลเลนไม่ได้ถูกเขียนลงไปทั้งหมด ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก
อาจมีเด็กบางคนที่สงสัยว่าความสามารถพิเศษของคนอื่นๆ มีอะไรบ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงพบว่าอันดับที่ 11 ล่างสุดมีเพียงความถนัดและไม่มีพรสวรรค์
พวกเขาจึงพบว่ามันแปลก
“ใช่ แล้วไง”
มันเป็นความจริง ดังนั้นฉันจึงไม่มีอะไรจะพูดกับเขาอีก ฉันเพิ่งกลับไปที่ที่นั่งของฉันและนั่งลง ที่นั่งของฉันอยู่ทางซ้ายสุดในแถวที่สองใกล้หน้าต่าง เนื่องจากโต๊ะถูกจัดเรียงตามลำดับตัวเลข ห้องเรียนกว้างขวาง จึงไม่มีความจำเป็นที่เราจะใช้โต๊ะร่วมกัน ฉันมีโต๊ะตัวใหญ่นี้เป็นของตัวเอง
ฉันพยายามกำจัดพวกมัน แต่สายตาแปลกๆ เหล่านี้ดูเหมือนจะตามฉันมา เบอร์ทัสก็มองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้าของเขา
“ไม่เดี๋ยวก่อน มันจะสมเหตุสมผลได้ยังไง”
เคเยอร์มาหาฉันที่นั่งราวกับว่าเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย
“นี่คือรอยัลคลาสสถานที่ที่ทุกคนไม่สามารถเข้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์ก็ตาม นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ที่ที่ซึ่งต้องมีพรสวรรค์เป็นพิเศษ? แถมยังอยู่ในคลาส A? อย่างน้อยนายก็ควรจะอยู่ในคลาส B ไม่ใช่เหรอ?”
ฉันตั้งค่าให้เขาเป็นคนที่มีบุคลิกก้าวร้าว แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะมาหาฉันแบบนั้นตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน
เคเยอร์ไม่เข้าใจจริงๆ และสำหรับเขา การดำรงอยู่ของฉันดูไร้สาระ ดูเหมือนเขาจะโกรธมาก ฉันควรตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างไร เขาพร้อมที่จะคว้าคอเสื้อของฉันและไม่มีใครอยากจะหยุดเขา
เบอร์ทัสดูเหมือนจะแค่เฝ้าดูสถานการณ์
“ฉันไม่เข้าใจอย่างจริงจัง? คนอย่างนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“นี่ นาย”
“…..…อะไร?”
ฉันอยากจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ พูดตามตรง ฉันอายุเท่าไหร่ถึงแสดงอาการเกินเหตุเหมือนเด็กมารังแกฉัน
ฉันไม่ได้ต้องการที่จะโดดเด่น
ฉันไม่ได้ตั้งใจ
แต่แล้วไงล่ะ
“อย่ามายุ่งกับฉัน สงสัยมากก็ไปถามสำนักงานรับสมัครเอาเองดิ”
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาฉัน ฉันจึงตะคอกกลับไปเล็กน้อย
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉันไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ สีหน้าของเคเยอร์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“หมอนี่ เมื่อกี้นี้…. มันอะไรกัน…. นายกล้าดียังไงทั้งที่ไม่มีพรสวรรค์และ….”
“ทำไมนายถึงถามฉันเกี่ยวกับการตัดสินใจของสำนักงานรับสมัคร? นายคิดว่าฉันติดสินบนเข้ามาเหรอ? ฮะ? ฉันมาที่นี่เพราะพวกเขาส่งฉันมาที่นี่ แล้วนายล่ะ นายคิดว่านายเป็นใคร? และคุณหมายถึงอะไรกับ ‘กล้าดียังไว’? นายเป็นผู้ตรวจสอบการรับสมัครหรือหัวหน้าสำนักงานรับสมัครงั้นเหรอ?”
“ไม่ นี่….”
“ฮะ นายเป็นหัวหน้าสำนักงานรับสมัครหรือเปล่า”
“นั่นไม่ใช่….”
“ฮะ นายเป็นหัวหน้าสำนักงานรับสมัครหรือเปล่าล่ะ? ไอเวรเอ้ย! ใช่หรือไม่ใช่ฮะ?”
– เสียงดัง!
เขาตกใจเมื่อฉันลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินเข้าไปหาเขา เขาเริ่มถอยทีละก้าว
“เป็นหรือไม่เป็นหื้ม? อะไรทำให้นายใช้เวลาคิดนานจัง? ฮะ?”
“ไม่…. ฉันไม่ได้เป็น”
“แล้วทำไมนายต้องมายุ่งเรื่องนี้ด้วย”
เขากลัวมากจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน
“เฮ้ นายเลขที่ 10 ผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านปริมาณเวทมนตร์ที่มากมาย แต่ไม่สามารถรู้สึกถึงมานาได้แม้แต่นิดเดียว”
“อาา….”
ไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์เพื่อที่จะเป็นอันตพาล คุณหลีกเลี่ยงขี้เพราะกลัวมันหรือเปล่า? ไม่ คุณหลีกเลี่ยงเพราะมันสกปรก ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนน่ากลัวไม่ได้ ฉันจึงต้องกลายเป็นคนสกปรก เพื่อไม่ให้ใครมายุ่งกับฉัน
ผู้ชายคนนั้นที่อยู่ตรงหน้าฉันไม่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ
“ทำไมเราไม่ดีดีกันไว้ล่ะ?”
“จะไม่ตอบเหรอ?”
เมื่อฉันลืมตาและจ้องไปที่เขา ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับแผ่นกระดาษ จากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย
“อา….”
ฉันตบแก้มไอ้ตัวแสบนั่นแล้วนั่งลง บรรยากาศรอบ ๆ เพื่อนร่วมชั้นของฉันดูฉากนั้นรู้สึกหนาวขึ้นมา
เหนื่อยจริงๆ
เหมือนว่าฉันจะถูกตราหน้าว่าไอ้อันตพาลที่ไม่มีแม้แต่ความสามารถด้วยซ้ำ
แต่ฉันไม่ผิดนะ ฉันถูกส่งมาที่นี่โดยสำนักงานรับสมัครรู้มั้ย?
หลังจากนั้น
จริงๆ ฉันไม่ได้อยากโดดเด่นเลย แต่มันกลับโดดเด่นเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ
ฉันเริ่มมองเห็นอนาคตที่มืดมนสำหรับชีวิตวัยเรียนของฉัน
* * *
ต้องขอบคุณเลขที่ 10 ที่ทำให้สิ่งต่างๆ พลิกผันในขณะที่เขาพยายามจะหาเรื่องกับฉัน พวกเขาต้องตกใจที่เห็นคนบ้าๆ บอๆ ทำตัวอันตพาล ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยที่เขาไม่มีพรสวรรค์
พวกเขาเพิ่งได้ยินจากอาจารย์ว่าอาจถูกฆ่าตายได้หากพวกเขาใช้ความสามารถของพวกเขา ดังนั้นคนบ้าๆ บอๆ เท่านั้นจึงจะกล้าทำอะไรแบบนั้น หากเขาไม่เป็นเช่นนั้นแสดงว่าเขาไม่รู้อะไรเลย อะไรแบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกแน่นอนในอนาคต
คลาส B เป็นคลาสที่เป็นมิตรมาก บางครั้งใคร ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากที่นั่น แต่คลาส A กลับเงียบกริบ นอกจากเสียงปากกาขยับ การบรรยายของอาจารย์และคำถามที่ถามเป็นระยะๆ ก็ปราศจากเสียงหัวเราะโดยสิ้นเชิง
เดิมทีสถานที่นี้ควรจะเป็นที่ชุมนุมของคนประเภทนั้นเท่านั้น แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อคิดว่าบรรยากาศสยองขวัญที่ฉันสร้างขึ้นโดยไม่มีเหตุผลมีส่วนในเรื่องนี้
ให้ตายเถอะ ฉันโกรธเด็กคนหนึ่งอย่างจริงจัง ฉันเป็นมนุษย์ประเภทที่เลวร้ายที่สุด
ฉันนั่งอยู่ในชั้นเรียนด้วยความรู้สึกอับอาย
ชั้นเรียนก็เหมือนชั้นเรียนทั่วไปที่ทุกคนต้องเรียน
ตัวอย่างเช่น วิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ คณิตศาสตร์ วรรณคดี และจริยธรรม ครูแต่ละคนรับผิดชอบวิชาที่แตกต่างกัน บางทีอาจถูกกำหนดว่าครูประจำชั้นไม่ได้ดูแลวิชาใดๆเลย
ในช่วงพักสั้น ๆ ระหว่างคาบเรียนจนถึงช่วงเลิกเรียน ดูเหมือนเด็ก ๆ จะคุยกันและทำความรู้จักกันอย่างช้า ๆ
– คุณมีความสามารถด้านเวทมนตร์มั้ย? คุณจะเรียนวิชาอะไร
-อืม…. ฉันยังไม่แน่ใจเลย
– ถ้างั้นลองถามครูเราซิว่าจะเอายังไง?
-อืม? นั่นน่าจะ…. ดี….
-รอยัลคลาสดูเหมือนจะมีการบรรยายพิเศษที่แตกต่างจากคลาสทั่วไป บางทีเราอาจจะได้ฟังบรรยายแค่สองคนก็ได้
-โอ้…. จริงเหรอ
เด็กที่มีความสามารถใกล้เคียงกันดูเหมือนจะต้องการสมัครเรียนในชั้นเรียนเดียวกัน ในวันที่คุณสมัครเรียนด้วยตัวเอง คุณต้องไปฟังการบรรยายร่วมกับนักเรียนทั่วไป พวกเขาจึงอยากได้คนที่เขารู้จักมาเป็นไม้ค้ำยันทางจิตใจเพิ่มอีกหนึ่งคน
ดังนั้นในวันอังคาร วันพุธ และวันศุกร์ ผู้ที่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้จะเข้าร่วมชั้นเรียนการต่อสู้ ผู้ที่มีพรสวรรค์ในเวทมนตร์จะเข้าเรียนในชั้นเรียนเวทมนตร์ และผู้ที่มีความสามารถเหนือธรรมชาติจะเข้าร่วมชั้นเรียนสำหรับผู้ใช้ความสามารถเหนือธรรมชาติ ในกรณีของผู้ที่มีพรสวรรค์ในพลังศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามักจะเข้าร่วมการบรรยายการต่อสู้ เนื่องจากพวกเขามักมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้อีกแบบ
ดังนั้น ทุกคนจึงคุยกันว่าจะสมัครอะไรดี คนอื่นๆ คิดไปเอง นั่นคือวิธีที่เวลาในชั้นเรียนผ่านไป
เวลาอาหารกลางวัน
เนื่องจากมีเพียงประมาณ 100 คนในรอยัลคลาสจึงรับประทานอาหารกลางวันในร้านอาหารขนาดใหญ่ทุกปี ไม่จำเป็นต้องยืนต่อแถวโดยมีจานอยู่ในมือ และใคร ๆ ก็หยิบอะไรก็ได้ที่อยากกิน
เป็นเรื่องปกติที่นักเรียนรุ่นพี่จะปะปนกันในฝูงชน แต่โซนถูกแบ่งโดยปริยาย บางที่นั่งถูกจองไว้สำหรับปีแรก บางที่นั่งสำหรับปีที่สองเป็นต้น แน่นอนว่าทั้งคลาส A และ B ผสมกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกินในที่เดียวกัน
คลาส A รวมตัวกันรอบๆเบอร์ทัสและรับประทานอาหาร เขาดูเป็นคนนิสัยดี บางทีเขาอาจจะมีผู้ติดตามบ้างแล้ว
คลาส B ก็ไม่ต่างกัน
-เฮ้ ชาร์ลอตต์ ลองนี่สิ มันอร่อยมาก
-อา…. อา ไม่ ขอบคุณ ฉันไม่ชอบของที่มันๆ
คลาส B มีศูนย์กลางอยู่ที่ชาร์ลอตต์ แต่เหตุผลดูเหมือนจะแตกต่างออกไป
– คุณต้องกินให้มากเพื่อสุขภาพที่ดี!
– คุณไม่ชอบผักเหรอ?
เธอถูกลักพาตัวไปที่ปราสาทของราชาปีศาจและเข้าไปในวิหารหลังจากกลับมาได้ไม่นาน ดูเหมือนว่าทุกคนจะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของชาร์ลอตต์ ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่รุ่นพี่ของเธอก็ยังมองเจ้าหญิงด้วยความสงสาร
พวกเขาโห่ร้องให้ดูแลชาร์ลอตต์โดยมีลุดวิกอยู่แถวหน้า ในขณะที่ชาร์ลอตต์ดูเหมือนจะลำบากในการจัดการกับสถานการณ์นี้
ฉันจัดคลาส B ให้มีบรรยากาศที่เป็นมิตร แต่ถึงแม้จะมีชาร์ลอตต์เพิ่มเข้ามา บรรยากาศก็ยังคงเป็นมิตร และเหตุผลก็คือลุดวิกนั่นเอง เขาเป็นตัวละครประเภทตัวเอกของมังงะทั่วไปที่มีบุคลิกที่มองโลกในแง่ดี เป็นมิตร และเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
ฉันไม่ได้ติดต่อกับคนแบบนั้นมากนัก แต่ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ชอบคนแบบนั้นจริงๆ
แม้ว่าจะมีที่นั่งว่างมากมาย แต่คลาส A ก็มารวมตัวกันรอบๆ เบอร์ทัส และคลาส B ก็มารวมตัวกันรอบๆ ชาร์ลอตต์
แล้วก็มีห้าคนนั่งกินข้าวคนเดียวเหมือนพยายามรักษาระยะห่าง รวมทั้งตัวผม ที่มีเรื่องเมื่อเช้านี้ด้วย
A-2 เอลเลน อาร์โทเรียส
A-5 คลิฟฟ์แมน
A-11 ฉันเอง
B-2 หลุยส์ อังค์ตัน
B-3 สการ์เล็ต
ทุกคนเป็นคนนอกหรือคนเก็บตัวที่พยายามรักษาระยะห่างงั้นเหรอ?
คนนอกทั้งหมดรวมถึงฉันกำลังกินอย่างเงียบ ๆ
-ฉันรู้สึกปวดท้องแล้ว….
เสียงที่เศร้าโศกของชาร์ลอตต์ฟังดูซาบซึ้งอย่างน่าประหลาด
เพจผู้แปล Lemon FT ถึงจะไม่ค่อยได้โพสต์อะไรแต่ก็ขอฝากไว้ก่อน