เจ้าชายปีศาจไปสถานศึกษา - ตอนที่ 13
The Demon Prince goes to the Academy
ตอนที่ 13
โลกนี้มีเวทมนตร์
ฉันตั้งค่าไปแค่นั้น ฉันไม่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร ไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่จะรู้ว่าเวทมนตร์ทำงานอย่างไรหรือแสดงออกมาอย่างไร
เวทมนตร์ทำงานอย่างไร สูตรเวทมนตร์คืออะไร และมานาคืออะไร…?
ใครมันจะไปอยากอ่านเรื่องแบบนั้นในนิยายแฟนตาซีกันล่ะ?
อย่างแรกเลย อะไรคือความแตกต่างระหว่างการอธิบายว่าเวทมนตร์ทำงานอย่างไร หรือมังกรเพลิงสีดำหลับอยู่ในแขนขวาได้อย่างไร มันเป็นเพียงการตั้งค่า
ก็เหมือนที่ไม่มีการอธิบายรายละเอียดของวรยุทธโบราณในนิยายต่อสู้ แต่ผู้อ่านก็จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงแค่อ่านบรรทัดนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกร่วม
อย่างไรก็ตาม มีหลักการและวิธีการที่ล้มล้างสามัญสำนึกดังกล่าว
ระบบเวทมนตร์ของปีศาจและมนุษย์นั้นแตกต่างกัน พวกเขาใช้เวทมนตร์ชนิดเดียวกัน แต่ด้วยวิธีที่ต่างกัน มันเหมือนกับว่ารถจักรไอน้ำและรถไฟสมัยใหม่วิ่งบนรางแบบเดียวกัน
ดังนั้น คัมภีร์ที่จารึกด้วยเวทมนตร์แห่งปีศาจจึงสามารถเทเลพอร์ตระยะไกลเป็นพิเศษได้ ในขณะที่ม้วนคัมภีร์ที่มีเวทมนตร์ของมนุษย์ไม่สามารถทำได้
เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะแยกแยะระหว่างเวทมนตร์ของมนุษย์และปีศาจได้เพียงแค่ดูที่สูตร มันเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รู้และขาดความเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำที่นี่
พ่อค้าคนอื่นๆ จำสูตรเวทมนตร์ของปีศาจไม่ได้ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ใช่จอมเวทย์ พวกเขาจึงคิดว่าม้วนหนังสือเป็นของปลอม อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงคนนี้ที่เป็นทั้งเจ้าของร้านเครื่องมือเวทมนตร์และอาจเป็นจอมเวทย์รู้ว่าคัมภีร์ของฉันทำงานกับระบบอื่น
“จะไม่บอกกันเหรอ?ได้โปรดล่ะ?”
ฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรกับฉัน
ฉันจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยคะแนนความสำเร็จของฉันได้มั้ย?
ฉันต้องทำให้ผู้หญิงคนนี้คิดว่าคัมภีร์ของฉันไม่มีนัยสำคัญ
[เพื่อกระตุ้นกิจกรรมนี้ ต้องใช้แต้มความสำเร็จ 3,000 แต้ม]
อีกครั้ง ที่ฉันต้องการคะแนนมากกว่าที่ฉันมี ฉันหมายความว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะพบม้วนคัมภีร์ปีศาจในใจกลางของเมืองหลวงของจักรวรรดิ ดังนั้นนั่นจะบ่อนทำลายความเป็นอย่างมาก
ในที่สุดฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดปากพูดออกมา
“นั่น…. เอิ่ม…. ทะ… ที่ ปราสาทของ… ราชาปีศาจ….”
“……ว่าไงนะ?”
ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบอกความจริงกับเธอ
“ฉันได้มาจากปราสาทของราชาปีศาจ…….”
ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำพูดของฉัน
“เธอหมายความว่ายังไง? เธอเอาคัมภีร์พวกนี้มาจากปราสาทของราชาปีศาจงั้นเหรอ?”
ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้วราวกับว่าเธอไม่เข้าใจคำพูดของฉัน อย่างไรก็ตาม ม้วนคัมภีร์ปีศาจเหล่านี้ทำให้สิ่งที่ฉันพูดนั้นเชื่อได้
ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง เรื่องราวยาวนานของการที่ฉันถูกจองจำพร้อมกับเจ้าหญิงในปราสาทของราาปีศาจและวิธีที่เราใช้ม้วนกระดาษเทเลพอร์ตเพื่อหลบหนีจากที่นั่น จากนั้นฉันบอกเธอว่าหลังจากมาถึงเมืองหลวง ฉันพบว่าตัวเองอยู่คนเดียวไม่มีเงินและต้องหาที่อยู่อาศัย ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะขายคัมภีร์เหล่านี้
ฉันยังบอกอีกว่าฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใครเพราะฉันสูญเสียความทรงจำ
“โอ้พระเจ้า…. นี่มันไร้สาระมาก…… เธอต้องการให้ฉันเชื่ออย่างนั้นเหรอ? เจ้าหญิงได้รับการช่วยเหลือแล้ว?”
เธอยิ่งขมวดคิ้วด้วยความตกตะลึง เธอมองตาฉันแล้วถอนหายใจ
“เธอโกหก ถ้าเธอช่วยเจ้าหญิงไว้จริงๆ เธอจะได้รับตำแหน่งขุนนางหรืออะไรก็ตาม ทำไมเธออยู่คนเดียวกันล่ะ?”
นั่นเป็นเรื่องปกติ ราคาของการช่วยชีวิตเจ้าหญิงนั้นเหนือจินตนาการ ถึงขนาดที่มันไร้สาระถ้าจะปฏิเสธมันและเลือกเดินเตร็ดเตร่อยู่คนเดียว
คำอธิบายเชิงตรรกะเพียงอย่างเดียวคือฉันไม่ได้ช่วยเธอ
อย่างไรก็ตาม ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ‘การตั้งค่าเพิ่มเติม’ นั่นคือการหาข้อแก้ตัว
การตั้งค่าเหล่านี้เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการตั้งค่า ฉันแค่จัดเรียงบางคำใหม่
นั่นคือความหมายของการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแก้ตัว!
“…. ตอนที่เราหลบหนี อัศวินของดยุคซาเลเรียนเสียชีวิตจำนวนมาก ฉันอาจได้รับรางวัล แต่ฉันคิดว่าเจ้าชายเบอร์ทัสต้องพยายามฆ่าฉันแน่……”
“อา ฉันเข้าใจแล้ว…… การตอบโต้…… ใช่…… ฉันเดาว่าสมเหตุสมผลแล้ว…… มันคงจะยากสำหรับเจ้าหญิงที่จะปกป้องคุณ…… แน่นอน……”
ฉันใช้ข้ออ้างที่ฉันวางแผนจะมอบให้เจ้าหญิงหากบังเอิญเธอบังเอิญเจอฉันในที่อื่น รางวัลคงจะดี แต่แน่นอนว่ามันไม่มีค่าเท่ากับชีวิตของฉันเอง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข้อแก้ตัว แม้ว่าจะเป็นข้อที่เข้าใจได้ ฉันยังหวังให้ไดรัสปลอดภัยด้วย ฉันแน่ใจว่าพวกเขาจะวางแผนที่จะจัดการเขาเช่นกัน
เธอจ้องมาที่ฉัน
“เรื่องราวของเธอซับซ้อนเกินไปที่จะแต่งขึ้นทันที”
ดูเหมือนว่าข้อสงสัยสุดท้ายของเธอจะได้รับการไขแล้ว
เธอดูเหมือนจะเชื่อเรื่องราวของฉัน ด้วยของไร้สาระในมือของเธอ ดูเหมือนว่าเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นของฉัน
เธอถอนหายใจอีกครั้ง
“หมายความว่าราชาปีศาจ……ตายแล้ว…?”
“ใช่”
แสงประหลาดส่องประกายในดวงตาของเธอเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน เธอดูโล่งใจ แต่ฉันไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความเศร้าหรือความสุขที่เธอรู้สึกจริงๆ เธอเงียบไปนาน ในที่สุดเธอก็มองฉันด้วยสายตาเศร้าสร้อย
“ใช่ นั่นเป็นความโล่งใจ มันต้องลำบากสำหรับเจ้าหญิงน้อยและเธอมากแน่ๆ”
เธอโอบแขนรอบตัวฉันและตบหลังฉันราวกับสงสารฉัน
ไม่ ฉันไม่ได้ถูกทรมานจริงๆ
“ฉันจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ… ดังนั้นฉันโอเคดี”
เรื่องนั้นใช้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ได้พอสมควร
“ฉันดีใจที่เธอไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความทรงจำที่เลวร้ายแบบนั้น ขอบคุณพระเจ้า”
เธอคอยตบหลังฉัน บอกฉันว่าการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความทรงจำเหล่านี้คงจะดีกว่า และมันจะเจ็บปวดเกินกว่าจะจดจำมัน อะไร ทำไมเธอใจดีกับฉันจัง ยังไงก็ตาม ฉันค่อนข้างหิวและมีบางสิ่งที่ต้องจัดการทางจิตใจ ดังนั้นฉันเลยอยากจะออกไปแล้ว คุณรู้มั้ย
“ขอฉันดูเธอสักครู่นะนิ่งๆไว้….”
“อะไร?”
“มีคนจำนวนมากที่มีปัญหาด้านความจำหลังจากถูกทรมานอย่างหนัก แต่เธอถูกขังอยู่ในสถานที่ที่น่ากลัว เช่น ปราสาทของราชาปีศาจ ใช่มั้ยล่ะ?”
ไม่ เดิมทีที่นั่นเป็นบ้านอันแสนอบอุ่นของฉัน แต่ปัญหาคือปาร์ตี้ของผู้กล้าเพิ่งตัดสินใจมาเยี่ยมเรา
“บางทีอาจมีคำสาปอยู่บนร่างกายของเธอ ดังนั้นฉัน….”
เธอมองฉันด้วยสายตาอบอุ่น
“ฉันจะลองร่ายคาถาธรรมดาใส่คุณ หากคุณสูญเสียความทรงจำเพราะคำสาป ความทรงจำของคุณอาจจะกลับคืนมา แต่คาถานี้ไม่สามารถลบคำสาปที่แรงเกินไปได้…”
เธอต้องการช่วยเหลือ
“เอ่อ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน!”
[ปัดเป่า]
คาถาได้ถูกร่ายไปแล้ว
“…….?”
เธอมองมาที่ฉันราวกับว่าเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขา และสีผิวที่แตกต่างจากมนุษย์เล็กน้อยปรากฎขึ้น
ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร เธอไม่สามารถยอมรับมันได้
“โอ้”
คำแนะนำของนักเขียน
จากนี้ไปฉันจะเรียกมันว่าไอ้เลว
“…. ฝ่าบาท…?”
อย่างไรก็ตาม คำพูดที่ออกมาจากปากของเธอทำให้ฉันเปลี่ยนความคิดไปอย่างสิ้นเชิง
* * *
ฝ่าบาท
แน่นอนฉันรู้ว่านั่นคือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่าเจ้าชาย
แต่ทำไมในที่แบบนี้ถึงมีคนจำฉันได้?
แน่นอน ฉันรู้ว่ามันหมายถึงอะไร มันยากที่จะยอมรับ เจ้าของร้านคุกเข่าลงตรงหน้าฉันทันที
“ฉัน ฉัน…. เอเลริสแห่งทีมแทรกซึมเมืองหลวงการ์เดียมของกองทัพปีศาจขอต้อนรับองค์ชาย”
“เอ่อ เอ่อ….”
เป็นเรื่องดีรึเปล่า? นี่เป็นเรื่องดีใช่มั้ย? ความคิดของฉันกำลังทำงานหนักเกินไปเพื่อพยายามตีความสถานการณ์นี้และวิธีที่ฉันควรปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าฉันซึ่งแน่นอนว่าเป็นปีศาจ
อย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่อันตรายใช่ไหม?
“ฉันว่าจะดีกว่าถ้าคุณมาทางนี้ก่อน”
เธอสลับกับมองมาที่ฉันและทางเข้าร้าน แล้วพาฉันเข้าไปในโกดังที่อยู่ข้างหลังเธอ ถ้าลูกค้าเข้ามาในขณะที่เรายืนอยู่หน้าทางเข้าแบบนั้น พวกเขาจะค้นพบทันทีว่าร้านนี้มีปีศาจอยู่
เธอร่ายคาถาและในไม่ช้ารูปลักษณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เฮ้ คุณจำฉันไม่ได้เหรอ”
เขี้ยวสองซี่โผล่ออกมาจากระหว่างริมฝีปากสีแดงของเธอเล็กน้อย
ตาแดงและผิวซีด
ฉันเหมือนจะรู้ว่าเธอเป็นอะไร
“อ่า แวมไพร์…?”
“ใช่ ฉันชื่อ เอเลริส แห่งวันอังคาร จาก บ้านแห่งเจ็ดราตรี”
บ้านแห่งเจ็ดราตรีเป็นที่แบบไหนกัน? ฉันไม่เคยเขียนอะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เธอดูเป็นห่วงฉัน เธอเอามือมาลูบหน้าฉันอย่างระมัดระวังในขณะที่ฉันยังมึนงงอยู่
“เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่า…… คุณสูญเสียความทรงจำไปแล้วจริง ๆ…?”
“อา อืม… โอ้ ฉันว่า… ฉันจำไม่ค่อยได้ ยกเว้นความจริงที่ว่าฉันเป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรปีศาจ….”
ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดตามตรง เพราะฉันคิดว่ามันจะดีกว่าร้อยเท่า ที่แกล้งว่ามีความทรงจำปลอมๆ ที่ฉันไม่มี
มีแสงประหลาดในดวงตาของเธออีกครั้ง ฉันไม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไง
“การออกจากปราสาทและมาที่นี่ด้วยตัวคนเดียวในสถานการณ์เช่นนี้….”
เธอจับมือฉันอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนเธอกำลังจะร้องไห้
“ช่างโชคดีจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ฉันรู้สึกว่าฉันต้องขอบคุณพระเจ้า”
ดูเหมือนแวมไพร์จะคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ไร้เหตุผล ถึงขนาดที่เธอรู้สึกขอบคุณต่อพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันคิดว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะคำแนะนำของนักเขียน มันอาจจะเหมาะสมกว่าที่จะขอบคุณปีศาจ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ไร้สาระสำหรับเอเลริส แต่สำหรับฉันแล้ว มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ไปที่ร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์
เอเลริสอาจจำคัมภีร์ปีศาจได้เพราะเธอเป็นจอมเวทย์แต่เป็นไปได้สูงที่เธอจำได้เพราะเธอเองก็เป็นปีศาจ
ดังนั้น การไปร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์เพื่อขายม้วนกระดาษจึงเป็นเพียงพื้นผิว แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่เบื้องหลังคำแนะนำนี้
ข้อความที่ซ่อนอยู่ในนั้นคือการตามหาสายลับปีศาจที่แทรกซึมเข้าไปในการ์เดียมและขอความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม ถ้าฉันถูกจอมเวทย์ที่เป็นมนุษย์จับได้และบังเอิญรู้ว่าม้วนกระดาษนั้นสร้างโดยปีศาจ ฉันอาจจะอยู่ในสถานะที่ยากลำบากกว่านี้ ผลลัพธ์อาจค่อนข้างอันตราย แต่ในที่สุดฉันก็ได้พบกับสายลับปีศาจจริงๆ
เดี๋ยวก่อนนะ
พอลองคิดดูคำแนะนำที่คลุมเครือได้บอกใบ้ถึงสิ่งที่คล้ายกัน
[คำแนะนำที่คลุมเครือของนักเขียน]
[ผู้คนจำนวนมากถูกลักพาตัวไปที่ปราสาทของราชาปีศาจได้อย่างไร?]
ไม่ใช่ ‘ทำไม’ แต่เป็น ‘อย่างไร’
ฉันเขียนว่าคนเหล่านั้นถูกลักพาตัวโดยสายลับจากแดนปีศาจที่แทรกซึมเข้าไปในแดนมนุษย์ คำแนะนำที่คลุมเครือเป็นข้อความละเอียดอ่อนสำหรับฉันในการตามหาสายลับ เนื่องจากพวกเขาจะยังคงอยู่ในอาณาจักรมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น เพราะฉันหลงทางและหิวมาก
ถ้าฉันเข้าใจคำแนะนำที่คลุมเครือ ฉันจะได้เบาะแสว่าฉันจะต้องหาตัวสายลับปีศาจในการ์เดียมถ้าฉันเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง มันคงปลอดภัยอย่างแน่นอน
คำแนะนำที่ชัดเจนของนักเขียนค่อนข้างเสี่ยงแต่ใช้ง่าย และคำแนะนำที่คลุมเครือของนักเขียนพยายามบอกเป็นนัยว่าฉันควรทำอย่างไร
คำแนะนำที่คลุมเครือนั้นค่อนข้างปลอดภัยและคำแนะนำที่ชัดเจนนั้นมีความเสี่ยง
“เอิ่ม…. มีจอมเวทย์ที่เป็นมนุษย์ที่สามารถจดจำคัมภีร์ของอาณาจักรปีศาจได้อยู่มั้ย?”
ฉันพูดอย่างไม่เป็นทางการ แต่เอเลริสดูเหมือนจะไม่สนใจ
“มีบางคนที่ศึกษาแม้กระทั่งเวทมนตร์ของปีศาจ ฉันดีใจที่คุณมาหาฉันก่อนที่จะเจอพวกเขา”
ความเย็นยะเยือกแล่นผ่านสันหลังเมื่อคิดว่ามันจะเป็นหายนะขนาดไหนถ้าคนอื่นจำม้วนคัมภีร์เหล่านี้ได้ก่อนที่ฉันจะพบกับเอเลริส นั่นอาจจะเป็นการฆ่าตัวตายได้
เธอกลับเข้าไปในร้านของเธออีกครั้ง ล็อคประตู และพาฉันขึ้นไปชั้นบน
“จากนี้ไปฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
พูดจบเธอก็พาฉันไปนั่งที่โซฟา
ในไม่ช้าเธอก็เริ่มจัดห้องรกๆ
เดี๋ยวก่อน เธอเป็นแวมไพร์
แล้วทำไมห้องนี้ถึงสว่างดีจัง? มันไม่ใช่อพาร์ทเมนต์ขนาดใหญ่ แต่มีแสงแดดส่องเข้ามา?
“เฮ้ แบบนี้ไม่อันตรายสำหรับแวมไพร์เหรอ?”
เธอมองมาที่ฉันและพยักหน้า
“ฉันเป็นลอร์ดแวมไพร์ แสงระดับแค่นี้ฉันรับได้ แต่ว่ามันไม่ดีต่อร่างกายของฉันอยู่ดี”
ไม่ ฉันเห็นว่าคุณสะดุ้งเล็กน้อยทุกครั้งที่มีแสงกระทบคุณขณะที่คุณยืดผ้าปูโต๊ะออก คุณไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?
“นี่เป็นส่วนเสริมของร้านค้า ดังนั้นฉันจึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ฉันยังอยากจะอยู่ในที่ดีดีอย่างเช่น ห้องกึ่งใต้ดินที่แสงแดดไม่ส่องตลอดทั้งปี แต่งบประมาณของฉันค่อนข้างจำกัด….”
…ช่างน่าเศร้า
ฉันไม่รู้แน่ชัดว่าลอร์ดแวมไพร์คืออะไร แต่นี่ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าเกินไปสำหรับแวมไพร์ระดับสูงเหรอ?
ฉันเข้าใจดีว่าสภาพแวดล้อมแบบนั้นจะเป็นเหมือนความฝันสำหรับแวมไพร์ แต่แค่ได้ยินเธอพูดว่าเธออยากอยู่ในห้องกึ่งใต้ดินก็น่าเศร้าเกินไปแล้ว แวมไพร์กังวลเรื่องค่าเช่า….
“เอ่อ จะไม่ง่ายกล่าหรอถ้าคุณแค่ทำให้เจ้าของบ้านเป็นญาติของคุณ”
ลองคิดดูสิ มันจะไม่ง่ายเลยเหรอที่แวมไพร์จะรวย? นั่นไม่ใช่สามัญสำนึกเหรอ?
“ฉันก็มีความคิดคล้ายๆ กัน แต่เพื่อสร้างเครือญาติ ฉันก็ต้องรับความเสี่ยงมากเกินไป ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างญาติในขณะที่ปลอมตัวเป็นคนธรรมดา”
แน่นอนว่าเอเลริสเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแวมไพร์ที่เธอสร้างขึ้นจะแข็งแกร่งเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าผู้ชายธรรมดาที่หลบแดดกะทันหันจะถูกพิจารณาว่าน่าสงสัย
แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับแวมไพร์ชั้นสูงแห่งรัตติกาลที่จะกลมกลืนกับสังคมมนุษย์?
หลังจากทำความสะอาดพอสมควรเอเลริสก็มองมาที่ฉัน
“คุณคงจะหิวมาก ขอฉันเตรียมอาหารหน่อย”
“ฮะ? เอ่อ….”
แวมไพร์ไม่ดื่มเลือดเหรอ? ที่นี่มีวัตถุดิบธรรมดาด้วยเหรอ?
ราวกับรู้ถึงความกังวลของฉันเอเลริสสวมเสื้อคลุมมีฮู้ด
“ฉันจะออกไปข้างนอกสักพัก”
“ไม่ มันจะไม่ลำบากคุณหรอ”
“ฉันไม่เป็นไร”
เป็นเพราะฉัน แวมไพร์ตนนี้ถึงต้องออกไปซื้อของตอนกลางวันแสกๆ ฉันรู้สึกตะลึงที่เธอพูดเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ
ขอบคุณมากและขอโทษที่ฉันงุ่นง่านและทำอะไรไม่ถูก!
หลังจากเธอรีบซื้อของให้ฉันกินเธอก็ดูหมดแรงมาก นั่นทำฉันน้ำตาจะไหลเลยทีเดียว