เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 91
แค่ทำความสะอาดกับจดบันทึก… เป็นงานง่าย ๆ เหรอ
เด็กสาวถึงกับตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ยามเหลือบมองตู้หนังสือรอบด้าน
เธอสัมผัสได้ถึงออร่าที่หนาแน่นและน่าพรั่นพรึง กับแค่นอนอยู่บนเก้าอี้นี่ มันช่างยากจะหยั่งถึงนักหากจะให้จินตนาการว่าหนังสือ ชั้นวาง ไปจนถึงทั่วทั้งร้านหนังสือนี้คืออะไร?
เธอไม่บังอาจจะปิดตาด้วยซ้ำเพราะสิ่งที่เพิ่งเห็น สัมผัสอันชวนหนาวไปถึงไขสันหลังนั่นคงจะมีมากกว่าเดิมหากเธอหลุบตาลง
ถึงตอนนั้น ภาพรอบด้านในความมืดคงไม่ได้เป็นแค่ร้านหนังสือสุดโทรมแสนน่าเอ็นดูแน่
สัญชาตญาณของเธอมันร่ำร้องว่าไม่อยากจะไปทำปฏิกิริยาอะไรกับมันเลยสักนิด แค่คิด เลือดในตัวของเธอก็เย็นเฉียบแล้ว
ทว่า… หากเธอไม่ตกลงละก็…
การเผชิญหน้ากับการตามล่าของสมาคมแห่งสัจธรรมจะถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด บางทีเธออาจจะโชคดีพอที่จะหลบหนีเงื้อมมือพวกเขา แต่วันคืนหลังจากนั้นก็จะตามมาด้วยความไม่แน่นอนอยู่ดี
นอกจากสิ่งที่เธอลอบฟังจากสมัยอยู่ในห้องทดลองแล้ว ความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกของตัวเธอเองจัดเป็นศูนย์
แต่ต่อให้หนีการไล่ล่าได้สำเร็จ บางที… ชีวิตของเธออาจดิ้นรนได้อีกแค่ไม่กี่วันก่อนถึงจุดจบ
และหากให้คิดแง่ร้ายกว่านี้อีก เด็กสาวอาจไม่ได้เดินออกจากร้านหนังสือเลยก็ได้ถ้าเลือกจะปฏิเสธไป
ในฐานะมนุษย์เทียมที่เพิ่งจะหลบหนีจากชีวิตภายในของเหลวยื้อชีพ และยังไม่เคยเจอประสบการณ์อันซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน สมองของเด็กสาวก็เหมือนจะประมวลผลไม่ทัน
เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว ไม่ใช่ว่าภยันตรายจากทั้งสองทางถือว่าพอกันเลยหรอกหรือ
พอกันเสียจนการเลือกจะอยู่ที่นี่ถือว่าดีกว่าเสียอีก
ได้รับตัวตนใหม่ ได้ที่อยู่ด้วย แต่สิ่งที่ต้องจ่ายดัน…
“ผมไม่บังคับเธอนะถ้าเธอไม่เต็มใจ และผมจะไม่ยุ่งด้วยถ้าเธอมีแผนอื่นแล้ว”
ไม่เห็นต้องบีบกันขนาดนั้นเลยนะคะ
หลินเจี๋ยเห็นความประหม่าและความลังเลของเด็กสาว ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืนและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ไม่ต้องคิดมากไปหรอกครับ ไว้แผลหายก่อนค่อยว่ากันก็ได้…”
“ผมจะรับเธอไว้อยู่จนกว่าแผลจะหายดีนะ หลังจากนั้นจะอยู่หรือจะไปก็เลือกเอาตามสบายเลยครับ”
เขาช่วยพยุงตัวเด็กสาวขึ้นมานั่ง จัดการวางมือของเธอลงบนไหล่เขาเป็นการสื่อให้เธอขึ้นมาขี่หลัง
“แค่ว่าตัวตนใหม่กับเรื่องวุ่นวายที่อาจตามมาหลังจากนั้นเธอต้องจัดการเองนะครับ เพราะยังไงซะ ผมก็เป็นแค่เจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ไม่ใช่พนักงานการกุศล”
การช่วยเหลือตราบใดที่ยังอยู่ในขอบเขต หรือการให้คำปรึกษาลูกค้า ทั้งคู่ต่างเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อฟูมฟักความสัมพันธ์และความเชื่อใจ
ต่อให้ไม่มีความคิดในการซื้อหนังสือเลย แค่การคุยกันเรื่อยเปื่อยก็ทำให้พวกเขาใคร่ครวญแล้วว่าจะซื้อดีหรือไม่
พูดอีกอย่างคือ ทั้งคู่ต่างถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนคุณค่าอย่างเท่าเทียม
ทว่าเด็กสาวที่เขาเพิ่งเก็บมาได้นั้นไม่เหมือนกัน เธอไม่ใช่ลูกค้าที่ยั่งยืน เผลอ ๆ อาจจะนำพาความวุ่นวายที่ยากจะคิดเข้ามาด้วยก็ได้
แม้ว่าหลินเจี๋ยจะเป็นคนใจดี แต่เขาจะไปยื่นมือช่วยคนอื่นซี้ซั้วก็ไม่ได้เช่นกัน
เด็กสาวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะวางมือทั้งสองลงบนไหล่ของหลินเจี๋ย และปีนขึ้นหลังของเขาอย่างทุลักทุเล
หลินเจี๋ยกระชับขาเรียว ๆ ของเด็กสาวไว้ พยายามเลี่ยงแตะต้องแผลของเธอพลางเดินขึ้นบันไดไป
“ผมไม่มีห้องว่างซะด้วยสิ ตอนนี้ใช้เตียงของผมไปก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมไปนอนบนเก้าอี้เอนเอง ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อเตียงใหม่ให้”
เด็กสาวจ้องมองหลังหัวของชายหนุ่มตาไม่กะพริบ อุณหภูมิร่างกายของผู้ชายกดเข้ามายังผิวหนังถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่อย่างยิ่งสำหรับเธอ
ใกล้จัง ร้อนด้วย… ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นเลย
เมื่อเข้ามาในห้องนอน หลินเจี๋ยพลันสัมผัสได้ว่าร่างกายของเด็กสาวเกร็งขึ้นมา มือที่เกาะไหล่เขาอยู่ก็แน่นขึ้นมาเล็กน้อย
“มีอะไรเหรอครับ”
หลินเจี๋ยหันไปมองและพบว่าสายตาของเด็กสาวไปอยู่ที่ตาข่ายดักฝันบนหัวเตียง เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็คลี่ยิ้มออกมา “สวยใช่ไหมล่ะครับ เป็นของขวัญจากลูกค้าเก่าแก่ผมน่ะ เป็นของขึ้นชื่อในท้องถิ่นที่จะทำให้คนนอนหลับฝันดีครับ เรียกว่าตาข่ายดักฝัน และดูจะได้ผลดีเสียด้วย”
ฝันดีเหรอ?
นี่พูดถึงเจ้าหยากไย่ที่แผ่ออร่าไม่ต่างจากนักล่าในห้วงอเวจีอะนะ?
สมัยที่เธอยังเป็นหมายเลข 277 อยู่ เธอได้เห็นใยแมงมุมพร้อมออร่าแบบเดียวกันนี้ในห้องทดลองมาก่อน ซึ่งมันถูกเก็บไว้พร้อมกับติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยหลายต่อหลายชั้นด้วยกัน
จากรายงานตอนนั้น มันมาจากนักล่าในห้วงอเวจี สัตว์มายาที่สามารถถักทอแดนนิมิตขนาดเล็กและครอบครองพลังในการลากสิ่งมีชีวิตเข้ามาในความฝันอันน่าหวาดผวาและล่อลวงเพื่อฆ่าให้ตายอย่างช้า ๆ
และตอนนี้ มันกลับถูกเอามาทำเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์บางอย่างเสียอย่างนั้น
เจ้า ‘ลูกค้าเก่า’ นั่น… เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกันแน่คะ!?
แต่นะ… ว่าก็ว่าเถอะ เจ้าอุปกรณ์แปลก ๆ นี่จะทำให้คนฝันดีได้ยังไงกัน ประสิทธิผลของมันวัดกันแบบไหนเหรอคะ!?
ความคิดนี้ของเด็กสาวแล่นไปมาในหัว ดาบซึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะนั้นก็ดึงดูดความสนใจของเธอเข้า
ในตอนนั้นเองที่หลินเจี๋ยอธิบาย “ดาบนั่นเองก็เป็นของฝากจากลูกค้าคนหนึ่งเหมือนกันครับ เป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ตระกูลหนึ่ง และมันมีค่ามากครับ”
เทียบกับตาข่ายดักฝันนั่น ออร่าของดาบเล่มนี้ดูจะสำรวมและโอฬารกว่ามาก แค่ความตระการตาของมันก็เปรียบได้กับเปลวเพลิงขาวพิสุทธิ์ลุกโชติช่วงซึ่งมีความอันตรายพอ ๆ กัน
ดาบเล่มนี้ดูจะถูกวางไว้เฉย ๆ บนโต๊ะ ราวกับเจ้าของห้องนอนนี้คืออัศวินมือฉมังผู้ชำนาญศาสตร์ในการสังหาร
แม้ยามหลับนอน อาวุธของเขาก็จะอยู่ข้างกาย พร้อมจะชักออกมาบั่นหัวศัตรูทุกคนที่บังอาจเข้ามา
มันดูเหมือนเขาจะให้เธอมานอนในห้องนอนเขา แต่ความจริงแล้วเป็นคำเตือนต่างหาก…
หลินเจี๋ยสัมผัสได้ว่าเด็กสาวดูจะเกร็งกว่าเดิมหลังได้ยินคำอธิบาย และมั่นใจว่าเธออาจจะเสียขวัญจากสภาพแวดล้อมใหม่
เขาวางเธอลงบนเตียง แล้วหยิบเสื้อสำรองจากตู้มามอบให้เธอ
“เย็นไว้ครับ ไม่มีคนที่ไหนมาทำร้ายเธอหรอก ถ้ากลัวอะไรแค่ตะโกนเรียกหาผมก็พอ”
เด็กสาวหยิบเสื้อมาพลางคิดในใจว่าที่นี่ก็ไม่มี ‘คน’ จริง ๆ นั่นแหละ…
เธอเงยหน้าถามทะลุกลางปล้องขึ้นมา “คะ… คือว่าอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์ร้อนขนาดนี้กันทุกคนเลยเหรอคะ”
เธอขอมองชายตรงหน้าเป็นมนุษย์ไปก่อนก็แล้วกัน
“ร้อนเหรอครับ” หลินเจี๋ยหลุดขำพลางยื่นมือไปอิงหน้าผากเธอ “เธอแค่ตัวเย็นเพราะเสียเลือดมากไปเท่านั้นเองครับ อย่าลืมห่มผ้าตอนกลางคืนนะ
“ของพวกนี้มีแต่ผมเท่านั้นที่ใช้ พยายามทำใจให้ชินหน่อยก็แล้วกันนะครับ” หลินเจี๋ยเอ่ยพลางดึงผ้าห่มจากด้านข้าง
เด็กสาวล้มตัวลงนอนหลังเปลี่ยนเสื้อใหม่ และจัดการห่มผ้าอย่างว่าง่าย
ดวงตาสีทึมของเธอจ้องมองหลินเจี๋ย ราวกับเป็นลูกเจี๊ยบที่พยายามจดจำสิ่งมีชีวิตแรกไว้ติดสมอง
หลินเจี๋ยเก็บดาบไปเพื่อไม่ให้เด็กรู้สึกกลัว แล้วจึงจำอะไรบางอย่างได้เลยหันกลับไปถาม “ในเมื่อตอนนี้เธอไม่มีชื่อแล้ว ก็ลองตั้งชื่อใหม่หน่อยไหมครับ”
เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก
“มีชื่อที่คิดไว้ไหมครับ ถ้าไม่มีละก็ ผมช่วยเธอคิดใหม่ได้นะ”
หลินเจี๋ยจ้องมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง เมฆครึ้มครอบคลุมนอร์ซินถึงหนึ่งเดือนได้กระจายตัวออกไปแล้ว ดวงจันทร์สุกสว่างจึงเผยให้เห็นออกมา
“มูเอน (มูน – ดวงจันทร์) เป็นไงบ้างครับ งั้นจากวันนี้ไป เธอมีชื่อเรียกว่ามูเอนก็แล้วกัน”