เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 71
บทที่ 71 : ดาบนี่ดูสกปรกนิดหน่อย
พลังงานปีศาจผุดออกมาจากคริสตัลสีดำบนด้ามดาบ นามว่า ‘ตาปีศาจ’
พลังงานสีดำแฝงความมุ่งร้ายนี้เป็นดั่งควันโขมง ลอยลงมาจากใบดาบก่อนจะกลายเป็นอสรพิษดวงตาสีแดงเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน นัยน์ตาอันแสนละโมบกำลังจดจ้องชำแรกตรงไปยังเจ้าของร้านหนังสือ
แม้โจเซฟจะรู้ว่าเจ้าของร้านหนังสือนั้นทรงพลังมาก เขาก็ยังเกร็งสุดขีดอยู่ดีที่เห็นหลินเจี๋ยไม่ลงมือทำอะไรเลยทั้งที่พลังงานอันชั่วร้ายนั่นกำลังจะกลืนกินอีกฝ่าย
ช่วงเวลาที่อาณาจักรโบราณยังคงอยู่ มีการกล่าวขานไว้ว่าราชาเอลฟ์แคนเดลานั้นเป็นตัวตนซึ่งต่อสู้กับเทพได้อย่างสูสี
ไม่ใช่ระดับเหนือนภา แต่เป็นตัวตนศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
ในเอกสารโบราณที่สูญหายและเสียหาย มักจะบันทึกถึงเขาในทิศทางเดียวกันเสมอ ‘ด้วยอสูรกริฟฟินข้างกาย แคนเดลาได้รับการสนับสนุนจากทั่วทั้งอาณาจักร และได้ครอบครองเส้นแสงแลเปลวเพลิงดั่งสุริยา มุ่งหน้าปะทะกับตัวตนทรงพลังซึ่งนำพาความมืดอนธการมาให้’
เขาเป็นผู้ยืนหยัดในช่วงเวลาที่ไร้แสงสว่าง เป็นเพียงคนเดียวที่หาญกล้าบังอาจท้าทายพระเจ้าซึ่งถือนามต้องห้าม
ทว่าช่างโชคร้ายนัก ทุกอย่างจบลงด้วยความล้มเหลว
แต่ถึงอย่างนั้น พลังเพียงเสี้ยวเดียวที่เหลือไว้ก็ยังแข็งแกร่งถึงปานนั้น
หลังความตายของแคนเดลา ความขุ่นเคืองใจได้อัดแน่นในวิญญาณจนประสานเข้ากับดาบเล่มนั้น และสร้างคำสาปอันแสนน่ากลัวนี่ขึ้นมา
แม้จะมีการชำระล้างและบัพติศมา [1] มาหลายศตวรรษแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด
มิหนำซ้ำ สิ่งมีชีวิตที่มาแตะต้องดาบปีศาจนี้จะถูกมันสาปเสียอีก
แม้แต่อัศวินแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่แห่งหอพิธีกรรมต้องห้ามซึ่งผ่านการฝึกฝนมาอย่างหฤโหด ยังกลายเป็นบ้าจากคำสาปและสิ้นชีพลงในที่สุด
เจ้าของร้านหนังสือคนนี้แข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา ทว่าคำสาปของดาบปีศาจนั้นเป็นอะไรที่แม้แต่ระดับเหนือนภายังอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่อย่างนั้นหอพิธีกรรมต้องห้ามคงไม่ใช้กำลังคนในการผนึกคำสาปอันทรงพลังนี้หรอก
สายตาของโจเซฟเหลือบมองตามพลังงานรูปร่างอสรพิษที่กำลังเลื้อยลงไป หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำหนักกว่าเดิม
นี่ไม่ใช่แค่ความประหม่าอย่างเดียว แต่ยังเป็นความคาดหวังและความตื่นเต้นราวกับตนกำลังเป็นสักขีพยานในการสู้รบระหว่างสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ในช่วงหลายศตวรรษ ซึ่งถูกตีกรอบสังเวียนให้อยู่ในร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งนี้ก็มิปาน
เขาสาบานว่าตนไม่เคยรู้สึกถึงอารมณ์อ่อนไหวเช่นนี้มาก่อน แม้จะเป็นช่วงเวลาดีอกดีใจที่สุดหรืออันตรายที่สุดก็ตาม
โจเซฟกำหมัดแน่น ตาจ้องไม่กะพริบเมื่อพลังงานชั่วร้ายเหยียดตัวขึ้น ในขณะเดียวกัน เจ้าของร้านหนังสือยังคงไม่ขยับตัวเช่นเดิมพลางสังเกตรายละเอียดของดาบยาวเล่มนั้น
ชั่วพริบตาเดียว งูตัวนั้นที่ปลายดาบก็พุ่งตัวไปจนเกือบจะถึงมือของหลินเจี๋ย
เขาที่กำลังพินิจมองดาบอันเปล่งประกายพลันเลื่อนสายตามาให้ความสนใจกับคำบนคมดาบ คิ้วของเขาผูกแน่นเป็นปมเมื่อพยายามจะมองมันให้ชัดขึ้น
กุหลาบแดงบนเคาน์เตอร์สั่นไหว เผยให้เห็นลูกตาหนึ่งโผล่ออกมา มันจ้องมองดาบปีศาจด้วยสายตาหวาดระแวงก่อนผลุบลงไปในกลีบดอกอีกครั้ง
โจเซฟถึงกับลืมหายใจโดยไม่รู้ตัว
แต่ในตอนนั้นเอง เบื้องหลังเจ้าของร้านหนังสือได้มีเงามืดซึ่งดำเข้มยิ่งกว่าปรากฏออกมาจากชั้นวางหนังสือที่แสงสาดส่องไปไม่ค่อยถึง
ความมืดไร้รูปร่างบิดเบี้ยวแล้วจึงค่อย ๆ แผ่ขยายออกไป โจเซฟไม่อาจรู้ได้ว่ามันคือสิ่งใด แต่เขาสัมผัสได้ว่าสัญชาตญาณของตนกำลังพรั่นพรึง
ความมืดนั้นครอบครองช่องว่างของชั้นวางหนังสือด้านหลังเจ้าของร้านจนสูงขึ้นมาถึงสามเมตร กระนั้นก็ยังไม่หยุดโตอีก
โจเซฟรู้สึกมึนหัวเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ไอ้ที่กระตุกอยู่รอบ ๆ ความมืดนั่นมันลูกตาหรือแขนขาวะนั่น?
ก่อนที่เขาจะมีเวลามาสงสัย โจเซฟพบว่าเงานั้นได้เคลื่อนไปอยู่ใกล้ ๆ เจ้าของร้านหนังสือและยืดไม้เลื้อยบาง ๆ สีดำสนิทซึ่งมีดวงตาเล็กจ้อยล้อมรับ
นั่นเป็นภาพอันน่าสยดสยองเกินจินตนาการสำหรับคนธรรมดา
ในส่วนที่แสงและความมืดประจบกัน เจ้าของร้านหนังสือยืนถือดาบสุดคมอยู่ด้านที่มีแสง ส่วนด้านหลังเขาคือความมืดอันพรรณนาไม่ได้ มีเพียงไม้เลื้อยบาง ๆ ยื่นออกมาจากความมืดจนเผยให้เห็นรูปร่างแสนอัปลักษณ์
โจเซฟขนหัวลุกเมื่อเห็นไม้เลื้อยนั้นเลื้อยไปสัมผัสคริสตัล ‘ตาปีศาจ’ ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปข้างใน
การจู่โจมของพลังงานชั่วร้ายพลันหยุดชะงัก เหล่าอสรพิษตัวสั่นระริกก่อนกลับไปเป็นร่างควันสีดำและถูกดูดกลับเข้าไปใน ‘ตาปีศาจ’
ข้างในคริสตัลซึ่งผ่านการเจียระไนเป็นอย่างดี มีพลังงานอันชั่วร้ายโสมมเดือดปุด ๆ อยู่
ทว่าครั้งนี้ มันไม่ได้ตื่นตัวกระฉับกระเฉงอีกต่อไปแล้ว แต่กลับหวาดกลัวและหวั่นเกรงแทนเสียอย่างนั้น
หากให้พูดภาษาชาวบ้าน นี่ก็ไม่ต่างกับซีนหนังสยองขวัญที่เหยื่อถูกนักล่าจับได้และกำลังดีดดิ้นก่อนจะสิ้นลมไปสักเท่าไร
โจเซฟได้ยินเสียงกรีดร้องหวีดแรงผ่านอีเธอร์ได้เลยทีเดียว
เขามองพลังงานชั่วร้ายนั้นดิ้นพล่านอยู่ภายใน ‘ตาปีศาจ’ ก่อนค่อย ๆ อ่อนแอลงจนสิ้นพลังราวกับถูกกลืนกินไปจนหมด โจเซฟถึงกับแอบรู้สึกสงสารมันขึ้นมานิดหน่อย
เมื่อ ‘กินจนอิ่มแล้ว’ ไม้เลื้อยก็ถอนตัวกลับไปในความมืดอีกครั้ง
ชั่วพริบตาหนึ่ง โจเซฟรู้สึกเหมือนเห็นดวงตามากมายในความมืดซึ่งเหมือนกับดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้ายามค่ำคืนกำลังขยับเล็กน้อย
และในอึดใจต่อมา ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติ
ความมืดในชั้นวางหนังสือกลับกลายเป็นเงาที่เกิดจากแสง
ความจริงแล้ว ขณะที่หลินเจี๋ยกำลังสังเกตรายละเอียดของดาบเล่มนี้อยู่ เขารู้สึกเหมือนดาบครึ่งล่างดำมืดขึ้นมาเล็กน้อย
ในขณะเดียวกัน เขาคิดว่าตนอาจจะสายตาสั้นลง ดาบนี่ดูสกปรกนิดหน่อย
หลินเจี๋ยรู้สึกทะแม่ง ๆ แล้วจึงเปลี่ยนมุมดาบ และพบว่าดาบเล่มนั้นกลับส่องแสงสว่างยิ่งกว่าเดิม ราวกับมีอะไรมาเติมแสงให้มันอีกชั้นหนึ่ง
สีดำ ๆ ที่เขานึกว่าเป็นฝุ่นก็หายไปแล้วด้วย
ยามก้มมองด้ามดาบ เขารู้สึกเหมือนคริสตัลสีดำที่ฝังอยู่ดูจะสุกใสขึ้นกว่าเดิม
“เอ๋?”
หลินเจี๋ยหยุดตรวจทานดาบ เขารู้สึกเหมือนว่าการมองดาบจากมุมต่าง ๆ จะสร้างเอฟเฟกต์ที่แตกต่างกันไป จึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นอย่างใคร่รู้ “น่าสนใจจัง”
เขาคลี่ยิ้มอีกครั้งพร้อมเอ่ยชม “คุณโจเซฟครับ ดาบของคุณน่าสนใจจริง ๆ เลยนะครับเนี่ย ชั่วแวบหนึ่งผมนึกว่ามันสกปรกเสียอีก ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของงานฝีมือด้วย”
สีหน้าอันไม่แปรเปลี่ยนของเจ้าของร้านหนังสือทำให้โจเซฟหลุดจากภวังค์ ก่อนจะเข้าสู่ความไม่อยากเชื่อและความสงสัยอีกครั้ง
‘นี่…นี่เรื่องจริงดิ?’
‘ไอ้คำสาปไร้ทางแก้ที่เป็นตัวปัญหาให้หอพิธีกรรมต้องห้ามมาโคตรนานจนมันฆ่าอัศวินแห่งแสงตายไปเป็นเบือ ดันหายไปทันทีง่าย ๆ งี้เลยเหรอ?!!!’
‘แถมเจ้าของร้านยังเยาะเย้ยมันอีกว่าเจ้าคำสาป ‘สกปรก’ นี่เป็นส่วนหนึ่งของงานฝีมือ นี่จะสื่อว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยรึไง?’
หลินเจี๋ยวางดาบลงบนเคาน์เตอร์แล้วพูดต่อ “ภาษาที่สลักอยู่ดูจะเป็นภาษาอาซีร์โบราณนะครับ คุณพอจะรู้ความหมายไหม”
โจเซฟส่ายหัวอย่างเหม่อลอยเมื่อเขาฟื้นคืนจากความช็อกด้วยความลำเค็ญ เขาทำตัวให้ใจเย็นลงแล้วตอบ “ภาษานี้หายไปนานแล้วครับ ถ้าต้องการละก็ ผมจะช่วยคุณหาเอกสารจำเป็นให้เอง”
หลินเจี๋ยเริงร่า “ถ้าอย่างนั้น ผมต้องขอบคุณคุณแล้วสิ”
เขาเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้โจเซฟแล้วว่าต่อ “ผมไม่มีอะไรเป็นของตอบแทนซะด้วย แต่ถ้าคุณอยากอ่านหนังสือละก็ ผมให้คุณฟรีเล่มหนึ่งเลยนะครับ สนใจมาลองเลือกสักเล่มไหม”
โจเซฟเหลือบมองชั้นหนังสืออันมืดมิดแล้วหน้าถอดสีลงไป “ไม่เป็นไรหรอกครับ ขอบคุณมาก แต่อยากให้คุณแนะนำให้ผมสักเล่มมากกว่า…”
[1]บัพติศมา คือ พิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน หรือศีลล้างบาป เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาคริสต์