เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 44
บทที่ 44 : ยืมดาบฆ่าคน
มอร์เฟย์พยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล
ร่างของเธอถูกอาบไปด้วยเลือด เสื้อคลุมแม่ชีแสนสง่าขาดวิ่นเสียจนเห็นเงารูปร่างส่วนเว้าส่วนโค้ง
หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ มองผลจากการทำลายล้าง ตลอดจนหลุมขนาดใหญ่ทั่วบริเวณนั้น
โลงศพสีดำซึ่งถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินปรากฏขึ้น ณ ใจกลางหลุมที่แท่นบูชาเคยตั้งอยู่ บนนั้นเต็มไปด้วยมือกระดูกยื่นพ้นออกมาราวกับกำลังต่อสู้เพื่อไขว่คว้าอัญมณีสีแดงซึ่งฝังอยู่ตรงกลางโลง
‘โลงศพบรรทมนิรันดร์กาล’
เป็นสื่อมนตรามีเอกลักษณ์ซึ่งถูกใช้โดยนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติ ‘สาธุคุณ’ มอร์เฟย์
ปกติแล้วสื่อมนตราของนักเวทส่วนใหญ่จะเป็นแค่ไอเทมธรรมดาที่คอยสนับสนุนหรือลดหลั่นขั้นตอน เพราะอย่างไรเสียพลังของมนตรานั้น ๆ ก็ขึ้นอยู่กับอีเธอร์ที่มอบให้และพลังการต่อสู้ของคนคนนั้นอยู่ดี
ตัวอย่างเช่น เมื่อร่ายมนตร์เพลิง นักเวทระดับต่ำมักจะใช้ดินปืนหรือซัลเฟอร์ ในขณะที่นักเวทระดับสูงแค่ต้องร่ายออกมาเท่านั้น
ดังนั้นความรู้สึกแรกพบของคนรอบข้างที่มีต่อนักเวทมนตร์ดำคือคนสวมชุดคลุมสีดำทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แถมยังพกแต่สื่อมนตราแปลก ๆ อย่างชนวนไฟเพื่อร่ายมนตราเพลิง
ของทุกอย่างที่ว่านั้นเป็นเพียงตัวเสริมที่ช่วยเพิ่มพลังเวทเพียงเล็กน้อย ทว่าของแบบนี้ไม่ได้สูงส่งหรือช่วยอะไรมากนัก
แต่หากพูดถึงสื่อมนตราซึ่งเต็มไปด้วยพลังประหลาดแล้วละก็ การใช้ของเหล่านี้ย่อมห่างไกลเกินกว่าจะเป็นเพียงตัวเสริม
ในขณะเดียวกัน โลงศพบรรทมนิรันดร์กาลนั้นถือเป็นสื่อ มนตราอันแกร่งกล้าสำหรับการ ‘ฟื้นคืนชีพ’ เป็นพลังต้องห้ามที่อันตรายมากเลยทีเดียว
มอร์เฟย์ได้ใช้โลงศพบรรทมนิรันดร์กาลชุบชีวิตชาร์ลส์ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของไวลด์ขึ้นมา แล้วจัดการเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นหุ่นเชิดของเธอเพื่อให้เข้าไปใกล้ชิดกับไวลด์และฆ่าเขาทิ้ง
นี่ไม่ใช่แผนที่ถูกคิดขึ้นมาในชั่วข้ามคืนแน่นอน
ทุกขั้นตอนของแผนการนี้ได้ก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่อูริ ศิษย์อีกคนของไวลด์ยังมีชีวิตอยู่
จากคำบอกเล่าของอูริ อาจารย์ของเขาโอ๋ชาร์ลส์ราวกับเป็นพ่อ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์ควรกระทำกับศิษย์แต่อย่างใด
และด้วยความที่อูริเป็นศิษย์มากพรสวรรค์กว่า เขาจึงฆ่าชาร์ลส์ด้วยความริษยาและทิ้งชื่อเสียงไป
แม้ว่าไวลด์จะเป็นนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติ แต่เขาเคยแพ้โจเซฟมาแล้ว หนำซ้ำยังมีความใจอ่อนของมนุษย์อยู่
ดังนั้นตัวเขาย่อมเป็นสารอาหารชั้นยอดของกระจกมนตรา
ในฐานะที่เป็นนักเวทมนตร์ดำระดับเดียวกัน มอร์เฟย์ย่อมเคยคุยกับไวลด์มาก่อน จากการตัดสินของเธอนั้น หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าไวลด์ผู้ไม่ยอมโผล่หัวออกมาเลยหลังจากการต่อสู้เมื่อสองปีก่อน ถือว่าไม่แข็งแกร่งแบบเมื่อก่อนอีกต่อไป
แต่น่าแปลก แม้ว่าเธอจะมีคตินี้ในใจ แถมยังดำเนินแผนด้วยความระมัดระวังถึงขั้นใช้จุดอ่อนของไวลด์ในการลอบสังหาร แต่แผนทั้งหมดกลับล้มเหลวไม่เป็นท่าเลยหรือ!?
ทุกอย่างอุตส่าห์เป็นไปด้วยดี
จนกระทั่งเมื่อกี้…
ไวลด์แค่ออกไปข้างนอกครึ่งชั่วโมง แต่พอกลับมาก็แทงชาร์ลส์ที่ตนมองเหมือนเป็นลูกได้หน้าตาเฉย
ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทำไมจู่ ๆ เขาถึงรู้ความจริงแล้วรวบรวมความกล้าได้มากขนาดนั้นกัน!
จากสภาพก่อนหน้านี้ เขาไม่น่าจะตัดสินใจได้รวดเร็วขนาดนั้นต่อให้รู้ความจริงก็เถอะ!
“ให้ตายสิ ไปกินอะไรมาล่ะนั่น”
มอร์เฟย์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลางโบกแขนอย่างจริงจังเพื่อรวบรวมอีเธอร์ไร้รูปร่างและอลหม่านเหล่านั้น
วิ้ว!
สายฝนจากสวรรค์หยุดลงที่นอกบาเรียที่ไม่สามารถมองเห็น สร้างปรากฏการณ์คล้ายน้ำตกอันแปลกประหลาด
ห้องที่ทรุดลงมาได้ประกอบตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง หลุมยักษ์บนพื้นเองก็กลับไปเป็นสภาพเดิม
ด้ายโลหิตพุ่งออกมาจากศพนักเวทมนตร์ดำที่โดนลูกหลงเพราะได้รับการชุบชีวิตจากโลงศพบรรทมนิรันดร์กาล กลายเป็นหุ่นเชิดตัวใหม่กลับมาลุกยืนขาสั่นกึก ๆ
นักเวทมนตร์ดำในเหตุการณ์ต่างชินชากับเรื่องพรรค์นี้เสียแล้ว พวกเขาหันไปก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดต่อ
นักเวทมนตร์ดำคนหนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชนและนั่งชันเข่า “มาดามมอร์เฟย์ครับ”
แค่ก ๆ
มอร์เฟย์ไอเล็กน้อยพร้อมปาดเลือดออกจากมุมปาก เธอเอ่ยถามเสียงเย็น “มีอะไร”
ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างกาย และการที่ตัวเธอสูญเสียวิญญาณไปเสี้ยวหนึ่งยิ่งทำให้หญิงสาวหงุดหงิด
คำสาปที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณถือว่ามีความเสี่ยงสูงลิ่วอย่างไม่มีข้อแม้ กระทั่งกับนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติ
แม้ว่าอีกฝ่ายจะแค่ซักถามและไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงอะไร มอร์เฟย์ก็ยังรู้สึกขายขี้หน้าสุดขีดกับเรื่องแค่นี้อยู่ดี
เพราะนี่ถือเป็นความพ่ายแพ้ในการปะทะกันแบบหนึ่ง
ทว่ามอร์เฟย์ยังเชื่อว่านี่ไม่เกี่ยวกับความแตกต่างด้านฝีมือ แต่เป็นผลย้อนกลับเพราะข้อมูลอันผิดพลาดต่างหาก
ปกติแล้วเธอเป็นคนทำงานอยู่เบื้องหลังโดยบีบจุดอ่อนของ ไวลด์เอาไว้เพื่อรอเล่นงานเขาทีเผลอ
แต่การเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของไวลด์ทำให้ตำแหน่งเปลี่ยนไป
ไวลด์เป็นคนที่จับมอร์เฟย์ทีเผลอได้ และเธอกลับกลายเป็นผู้เสียหายเสียเอง
นักเวทมนตร์ดำที่นั่งชันเข่าอยู่ตอบกลับด้วยความเคารพ “หัวหน้าหมาป่าข่าวเฮริสมาเยือนครับ เขาเอ่ยปากขอพบท่าน”
“เฮริสน่ะเหรอ” มอร์เฟย์ยกมือขึ้น ทำให้เลือดบนร่างกายและรอบตัวเธอกลายเป็นลูกแก้วโลหิตแวววับซึ่งหญิงสาวเก็บไว้ใต้เสื้อคลุม “เขามาที่นี่ทำไม”
ลูกน้องเธอตอบทันควัน “เขาบอกว่าเขารู้สาเหตุว่าทำไมคุณถึงล้มเหลวครับ”
รอยยิ้มขมขื่นของมอร์เฟย์นิ่งไป “…พาเขาเข้ามา”
“ครับมาดาม”
เฮริสโค้งให้มอร์เฟย์อย่างสุภาพก่อนกล่าว “มาดามมอร์เฟย์ครับ ช่างเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบคุณเป็นครั้งแรก…ตอนที่มาเยือนก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยได้พบมาดามเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่อย่างน้อยครั้งนี้คำขอของผมก็ได้เป็นจริงสักที”
มอร์เฟย์เปลี่ยนชุดนักบวชใหม่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนเธอจะเป็นนักเวทมนตร์ดำ มอร์เฟย์เองก็เคยเป็นนักบวชสังกัดโบสถ์แห่งโรคระบาด และมีความรับผิดชอบในการสวดส่งผู้ล่วงลับ หญิงสาวเพียงผันตัวมาเป็นนักเวทมนตร์ดำหลังจากได้รับโลงศพบรรทมนิรันดร์กาลพร้อมกับการสั่งสอนจากเจ้าของคนเก่าเท่านั้น
มอร์เฟย์เป็นคนเย่อหยิ่งและมองนักล่าที่ร่วมมือกับเธอด้วยความดูแคลน
คำขอของเฮริสที่อยากพบเธอหลายต่อหลายครั้งถูกปัดทิ้งหมด และเธอไม่เคยเผยตัวต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง
มอร์เฟย์รีบเข้าเรื่อง สายตาของเธอเต็มไปด้วยการคุกคามและการเค้นคำถาม “อะไรทำให้นายกล้าบอกว่ารู้สาเหตุที่ฉันล้มเหลวกัน…อีกอย่างนะ อะไรทำให้นายถึงกับวิ่งโร่มาจากเขตนักล่าก่อนจะเกิดเรื่องอีกล่ะ”
“ถ้าทำให้ฉันเชื่อไม่ได้ ฉันก็มีสิทธิที่จะสงสัยนายนะ”
แรงกดดันทางสายตาของระดับภัยพิบัติทำให้เฮริสเหงื่อแตกพลั่ก สีหน้าของเขาแข็งทื่อแต่ยังคงฝืนยิ้มออกมาได้บ้าง “โปรดยกโทษกับความตรงไปตรงมาของผมด้วย แต่ผมเชื่อว่าสาเหตุที่คุณพลาดมาจาก…ตัวคุณเองครับ”
“ฉันเนี่ยนะ?” มอร์เฟย์หรี่ตาลง
เฮริสว่าต่ออย่างใจเย็น “คุณยังจำ…รายงานการตายของอูริได้ไหมครับ”
มอร์เฟย์ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นมา “แน่นอนสิว่าจำได้ เนื้อหนังมังสาพวกนั้นเป็นสิ่งหลงเหลือจากปรสิตในแดนนิมิต ถึงมันจะฆ่าระดับสัตว์ประหลาดได้ก็เถอะ แต่มันก็มีวงจรชีวิตสั้นเสียจนไม่เรียกว่าเป็นภัยอะไรสักหน่อยนี่”
“คุณก็เลยสั่งให้ยกเลิกการตรวจสอบร้านหนังสือนั่น แล้วหันไปโฟกัสกับการปกป้องกระจกมนตราสินะครับ” เฮริสเผยแววตาเย็นชาออกมาพลางเอ่ยต่อ “แต่คุณรู้รึเปล่าว่าไวลด์ไปที่นั่นมาเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วน่ะ”
“สิ่งที่ทำให้ไวลด์เปลี่ยนไปจนแผนคุณพัง ก็คือเจ้าของร้านหนังสือคนนั้นนั่นแหละครับ”