เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 364 : ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน
บทที่ 364 : ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน
ร่างกาย? จิตวิญญาณ? เป็นของเรา?
นี่มันคือการสารภาพรักสายฟ้าแลบจริง ๆ ที่มาอย่างกะทันหันมาก
หลินเจี๋ยผงะไป
ทว่า…ในฐานะที่ปรึกษาวิชาชีวิตและยอดนักต้มซุปไก่เยียวยาจิตใจ เขาไม่เคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อน
ดังนั้นเจ้าของร้านหลินจึงพยายามเก็บสีหน้าสุดชีวิต เขาสงบใจตัวเองลงหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วคิดว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาน่าจะเป็นความจริง…
ในตอนแรก การที่เขาปฏิเสธคุณหนูจี้ดูเหมือนจะให้ผลตรงกันข้ามเมื่อเวลาผ่านไป ปกติแล้วเธอเก็บงำความรู้สึก ดังนั้นจึงดูเหมือนเรื่องจบไปแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเพราะเธออยู่ในบ้านของตัวเอง มีสภาพแวดล้อมที่สบายตัวสบายใจ อารมณ์ในใจของเธอจึงเด้งกลับออกมากะทันหัน
แต่มันจะเด้งกลับมาเป็นคำสารภาพตรง ๆ เลยไม่ได้!
หรือจะเป็น…เพราะเขากับจี้จือซู่เต้นรำด้วยกันอย่างใกล้ชิดก่อนหน้านี้ จี้จือซู่จึงคิดไปเองว่าเธอยังมีหวัง?
เจ้าของร้านหลินสูดหายใจลึก ๆ แล้วคิดว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธเธออย่างใจแข็งต่อไปได้ในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคุณหนูจี้ที่เคยมีแผลใจมาก่อนอาจจะมีอาการของโรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงเอาได้
เขาแย้มยิ้มธุรกิจแล้วตัดสินใจตามน้ำอย่างอัธยาศัยดี ถอนหายใจแล้วพูดด้วยเสียงหนักอึ้ง “ไม่สิครับ…คุณจะให้มันกับผมได้อย่างไร?”
จี้จือซู่ตั้งใจจะพูดขัด “ฉัน…”
หลินเจี๋ยขัดจังหวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและคำพูดที่เปี่ยมคุณธรรม “นี่เป็นการไม่เคารพตนเองมากไปแล้วครับ! ร่างกายและจิตวิญญาณของคุณควรเป็นของคุณ และเจตจำนงของคุณก็ควรมีอยู่เพื่ออุดมการณ์ของคุณ เข้าใจไหมครับ?”
จี้จือซู่ตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาดใส่
หลินเจี๋ยเห็นว่าคุณหนูจี้ถูกเขาทำให้ผงะไป ก็เข้าใจว่าซุปไก่ของเขาทำงานแล้ว
….ใช่แล้ว! เพื่อจัดการกับผู้ที่ตกอยู่ในห้วงรักลึกล้ำ เขาก็ควรใช้หลักจารีตและความชอบธรรมมาขัดความคิดของอีกฝ่ายเสีย ให้เธอพับมันเก็บไปเอง ให้ดวงตากลับมามองที่อาชีพ…ไม่ใช่ตัวคน
รู้กันทั่วไปว่าเก็บใส่กล่องทิ้ง
เขาพูดต่อ “ผมไม่อยากเห็นจี้จือซู่ที่ไร้วิญญาณ คุณควรพึ่งพาตัวเอง คิดด้วยตนเอง ต่อสู้เพื่ออนาคตของบริษัทโรลล์และสนับสนุนบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ ไม่เหมือนตอนนี้…คุณเชื่อผมได้ แต่ไม่ควรพึ่งพาผมนะครับ”
จี้จือซู่อ้าปากหวอมองหลินเจี๋ย เธอเกือบพูดออกมาแล้วว่าอุดมการณ์ของฉัน คุณก็เป็นคนให้มา…
แอ๊ด!
ประตูถูกผลักเปิดออก
จี้ป๋อหนงกระแอมสองทีขณะเปิดประตู แล้วบรรยากาศที่อึมครึมก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง
จี้จือซู่ถอนหายใจโล่งอก แม้ว่าพ่อของเธอจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่จี้ป๋อหนงก็ยังดีกว่าเธอหลายเท่าอยู่ดี
มีจี้ป๋อหนงอยู่ด้วย ทำให้เธอใจชื้นได้เสมอ
ตราบใดที่เขาไม่ถูกแรงกดดันทางธรรมชาติของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทำให้ช็อคไปก่อนน่ะนะ
จี้จือซู่พูดกับตัวเองในใจ
ที่จริงแล้ว จี้ป๋อหนงตื่นกลัวอำนาจในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับเหนือนภาของหลินเจี๋ยจนสติเกือบหลุดลอยแล้ว และตอนนี้เขาก็เดินเข้ามาอย่างประหม่าหลังจากจัดเสื้อผ้าหน้าผมเสร็จ
หลินเจี๋ยชะงักไปหลังเห็นจี้ป๋อหนง รอยยิ้มธุรกิจบนใบหน้าของเขาไม่ได้จางลง และเขาก็กระอักกระอ่วนในทันที
งานงอกแล้ว เราวู่วามเกินไป!
จี้ป๋อหนงได้ยินที่เขาพูดก่อนหน้านี้ด้วยหรือเปล่า?!
เขาดันไปพูดกับลูกสาวว่า ‘คุณเชื่อผมได้ แต่ไม่ควรพึ่งพาผม’ ต่อหน้าพ่อของเธอ ทัศนคติที่อีกฝ่ายจะประเมินเขาก็ขึ้นกับอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์…
อา…อนาคตขายหนังสือของตรู!
แต่ไม่เป็นไรหรอก!
ตราบใดที่หน้าด้านพอ ต่อให้ต้องหลอกคุณพ่อของอีกฝ่ายด้วยก็ต้องทำได้สิ!
หลินเจี๋ยรักษารอยยิ้มของเขาไว้ แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพยายามบ่ายเบี่ยง “ผมควรจะพูดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่เราพบกันครั้งแรก…แต่ตอนนี้ผมคงต้องพูดว่าไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณจี้”
แม้ว่าเขาจะลนลาน แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแทรกคำบ่น เขาตอบตกลงทานอาหารร่วมกัน แต่ไหงมันกลายเป็นการพบผู้ปกครองไปเสียได้ล่ะ? ดูเหมือนว่าคำเชิญของคุณหนูจี้จะเป็นของปลอม เจตนาจริง ๆ ของเธอคือการพาเขามาพบพ่อของเธอต่างหาก
เขากับจี้ป๋อหนงต่างก็เป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นเกรงว่ามองปราดเดียวเขาก็คงเข้าใจความคิดของจี้จือซู่ได้ จากการมองผ่าน ๆ เมื่อครู่ เขาไม่ได้สัมผัสถึงความมุ่งร้ายใด ๆ แต่ถึงอย่างไรจี้จือซู่ก็เป็นลูกสาวของเขาอยู่ดี จะแก้ตัวตอนนี้ทันหรือเปล่านะ?
หลินเจี๋ยมองจี้ป๋อหนงยิ้ม ๆ แล้วเตรียมสละเก้าอี้หัวโต๊ะ ในเมื่อเจ้าของคฤหาสน์ตัวจริงอยู่ที่นี่แล้ว แน่นอนว่าเก้าอี้ตัวนี้ย่อม…
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้คิดให้จบ เขาก็เห็นจี้ป๋อหนงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวอื่นอย่างไม่ลังเล และหลินเจี๋ยก็ยังไม่ทันได้ก้าวไปที่อื่นด้วยซ้ำ
จี้ป๋อหนงพูดอย่างเป็นธรรมชาติมาก “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ เจ้าของร้านหลิน”
หลินเจี๋ยหยุดอย่างเขิน ๆ…จี้ป๋อหนงคราวนี้เป็นอะไรไปอีกล่ะ? คุณไม่ใช่เจ้าของเครือบริษัทโรลล์หรืออย่างไร? ความทะนงในฐานะนายทุนของคุณล่ะครับ?
คุณปล่อยให้คนอื่นนั่งหัวโต๊ะแบบนี้ สมเหตุสมผลแล้วเหรอ?
“คุณหนูจี้ คุณเป็นผู้บริหารเครือบริษัทโรลล์ คุณพ่อของคุณหนูจี้ และเจ้าของคฤหาสน์ A16 หลังนี้ ในขณะที่ผมเป็นแค่เจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ ไร้พลังและไม่มีเงิน การจัดที่นั่งแบบนี้ดูจะไร้เหตุผลและไม่เหมาะสมไปหน่อยนะครับ…”
หลินเจี๋ยเอ่ยเตือนอย่างสุภาพ
อันที่จริง จี้ป๋อหนงแทบจะคุกเข่าอยู่รอมร่อแล้ว แต่โชคดีที่เขาคว้าที่วางแขนของเก้าอี้ไว้ได้ แต่จนตอนนี้ ฝ่ามือของเขายังคงชุ่มเหงื่อและร่างยังสั่นหน่อย ๆ อยู่เลย
ในฐานะคนธรรมดา ก็ต้องขอบคุณที่เขาอยู่ในตำแหน่งสูงมานานหลายปี เพราะเหตุนี้เขาจึงหยุดตัวเองไม่ให้แสดงความผิดปกติออกมาได้
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเจี๋ยแล้ว เขาก็ถอนหายใจโดยไม่รู้ตัวแล้วมองหลินเจี๋ยอย่างระมัดระวัง อดไม่ได้ที่จะคิดถึงความหมายที่คุณหลินจะสื่อ
หลังจากเห็นภาพที่เจ้าของร้านหลินกลืนกินผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับเหนือนภาสด ๆ เขาก็กลัวเสียจนทำอะไรไม่ถูก และลังเลว่าจะร่วมมือกับเจ้าของร้านหลินต่อไปดีไหม ตอนนี้ก็เกรงว่า…เจ้าของร้านหลินกำลังเตือนใจเขาอยู่
ฐานะทางโลกพวกนั้นดูจะยิ่งใหญ่ แต่ที่จริงพวกเขาก็เป็นแค่เครื่องมือสุดหรู ส่วนเจ้าของร้านหลิน แม้ว่าจะดูธรรมดา แต่ที่จริงแล้วก็เป็นตัวตนที่ทรงอำนาจอย่างยิ่ง
ความลังเลในใจเขาจะเป็นตัวกำหนดที่นั่งของเขาระหว่างคนธรรมดาและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
นี่คือโอกาสที่เจ้าของร้านหลินมอบให้เขา!
จี้ป๋อหนงสูดหายใจลึก ๆ ใช่แล้ว ถ้าเขาตัดสินใจนั่งลงที่หัวโต๊ะ มันก็หมายความด้วยว่าเขาเห็นด้วยกับฐานะทางโลกของเขา หากเขายังนั่งที่เดิม มันก็หมายถึง…เขายอมรับฐานะในโลกของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
เจ้าของร้านหลินคิดว่ามันไม่เหมาะสมเพราะเขาเห็นความลังเล และหยอกล้อเขาว่าเป็นมังกร
ประกอบกับสิ่งที่เขาพูดกับเสี่ยวซู่ก่อนหน้านี้ เขากำลังพูดว่าเรามองตนเองไม่ชัดเจนพอและยังมุ่งมั่นไม่มากพอ
หลินเจี๋ยมุมปากกระตุก มองสีหน้าอันเหลือเชื่อของจี้ป๋อหนง เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ จึงได้แต่บ่นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ได้สิ เราก็แค่สละที่นั่ง ทำไมคนชั้นสูงอย่างพวกคุณถึงต้องคิดอะไรหยุมหยิมขนาดนั้นด้วย?
จี้ป๋อหนงพลันพูดขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่ “เหมาะสมแล้วครับ ที่นั่งแบบนี้ไม่เหมาะสมไปกว่านี้ได้แล้ว”
หลินเจี๋ยถ่อมตัวอย่างมีชั้นเชิง “ไม่หรอก คุณไม่คิด…”
“ม…ไม่ ๆ” จี้ป๋อหนงโบกมือซ้ำ ๆ ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายของเจ้าของร้านหลินแล้ว เขาจะกล้านั่งหัวโต๊ะได้อย่างไร?
นี่คือบททดสอบของเจ้าของร้านหลินต่อเขานะ
ประโยคครึ่งแรกนั้นสื่อความไม่ให้เขาดูถูกตัวเอง ในขณะที่ครึ่งหลัง เจ้าของร้านหลินอยากให้จี้ป๋อหนงเข้าใจว่าเขาไม่ควรเอาจริงเอาจังกับตัวเองมากเกินไป ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรดูถูกตัวเองด้วย
ดังนั้นจี้ป๋อหนงจึงยิ่งไม่ยอมนั่งลงที่นั่น
“เจ้าของร้านหลินแบ่งปันหนังสือให้กับสาธารณชนโดยไม่มีความเห็นแก่ตัวเพื่อให้ผู้อ่านทุกคนได้เห็นหนึ่งหยดของความรู้มหาศาลที่คุณสั่งสมเป็นมหาสมุทรเอาไว้ คุณเป็นเหมือนบุพการีที่เกิดใหม่ของผู้อ่านทุกคนครับ”
จี้ป๋อหนงพูดจากก้นบึ้งของหัวใจ “ผมหมายความว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณร่วมมือกับบริษัทโรลล์ของเรา และยังเป็นเกียรติสำหรับทั้งเมืองนอร์ซินด้วยที่มีผู้มีความรู้เช่นคุณ ดังนั้นที่นั่งนี้…เหมาะสมอย่างสมบูรณ์แบบแล้วครับ”
เจ้าของร้านหลินชอบซ่อนตัวในเมืองและไม่ชอบให้คนอื่นมาพูดเน้นถึงการมีอยู่ของเขา ดังนั้นเขาต้องชมหนังสือแทน เรื่องนี้ไม่มีทางผิดพลาดไปได้…จี้ป๋อหนงหยิบผ้าขนหนูจากแขนเสื้อออกมาซับเหงื่อ
ยกยอกันเกินไปแล้วไหมนี่?
หลินเจี๋ยคิดในใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่การนั่งลงที่จุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหนังสือที่เขามีถือได้ว่ามีอยู่เพียงเล่มเดียวในนอร์ซิน ในฐานะผู้บริหารบริษัทโรลล์ มันก็ไม่ง่ายจริง ๆ ที่จะลดท่าทีของเขาแล้วกดตัวเองลง
ไม่อย่างนั้นจะพูดอะไรได้ ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อน…!
ทว่าหลินเจี๋ยมองจี้จือซู่ที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้าง ๆ เขา แล้วในที่สุดเรื่องที่เขายัดเยียดซุปไก่ให้ลูกสาวชาวบ้านก็จบลงจนได้…
“โอเคครับ…อย่างนั้นเราเข้าเรื่องกันเถอะ ผมเตรียมของขวัญไว้สำหรับวันเกิดของคุณหนูจี้วันนี้แล้วครับ”
หลินเจี๋ยเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา “แต่ในเมื่อคุณจี้ก็อยู่ที่นี่ด้วย เหมือนที่ผมพูดก่อนหน้านี้ ผมก็มีของขวัญให้คุณเช่นกันครับ”
ดวงตาของจี้ป๋อหนงเบิกกว้างขึ้น “นี่มัน…”
“นี่คือของขวัญของผมแด่ท่านประธานจี้ครับ” หลินเจี๋ยยิ้มแล้วส่ง ‘ความมั่งคั่งของประชาชาติ’ ในมือให้จี้ป๋อหนงตรงหน้า
‘ความมั่งคั่งของประชาชาติ’ หรือ ‘การสอบสวนธรรมชาติและสาเหตุแห่งความมั่งคั่งของประชาชาติ’ เป็นหนังสือเศรษฐศาสตร์ที่เขียนขึ้นเมื่อราว ๆ สิบปีก่อนโดยอดัม สมิธ นักเศรษฐศาสตร์และนักจริยปรัชญาชาวสกอต
ในฐานะผู้นำจักรวรรดิธุรกิจ ความยิ่งใหญ่ของเครือบริษัทโรลล์อาจจะอยู่ได้ไม่นาน ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว หนังสือเล่มนี้คือคำเตือนแก่เขา
หลินเจี๋ยค่อนข้างมั่นใจรสนิยมการเลือกหนังสือของเขา
การครอบงำทางธุรกิจที่ว่าเป็นเรื่องอายุสั้น และผู้คนก็เปลี่ยนไปมาได้ ก่อนหน้านี้จี้ป๋อหนงโอ้อวดตนและยกตนขึ้นสูง ส่วนหนึ่งคงเป็นการทำให้ตนเองรู้สึกยินดีเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิด และสุดท้ายเขาก็อายที่จะยกตัวเมื่อพูดต่อรองราคา
จากนั้น เราก็จะให้ของขวัญชิ้นนี้กับเขา ให้เขาจัดการเรื่องของเราต่อ แม้ว่าของขวัญชิ้นนี้จะถูกตกลงกันไว้ก่อนแล้วก็ตาม
ม่านตาของจี้ป๋อหนงหดตัว เขามองหนังสือบนโต๊ะอย่างตื่นตระหนกแล้วก้มหัวลงมองนิ่งที่หนังสือ หนังสือเล่มนี้จับร่างของจี้ป๋อหนงไว้แน่นราวกับเป็นมือที่มองไม่เห็น ตรึงสายตาของเขาไม่ให้ละไปไหนได้ และความอยากรู้อยากเห็นและโหยหาในใจของเขาก็พุ่งทะยานอย่างหยุดไม่ได้
แต่ในขณะเดียวกัน เนื่องจากสนามพลังแปลก ๆ ที่ปกคลุมหนังสือเล่มนี้ จี้ป๋อหนงที่เป็นเพียงคนธรรมดาก็ไม่สามารถจะเห็นกระทั่งปกหนังสือ
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเจ้าของร้านหลินจะให้หนังสือกับเขาหนึ่งเล่ม แล้วเขาก็จะใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติตามความฝัน แต่เขาก็ยังไม่สามารถรับมันมาได้อย่างใจเย็นอยู่ดี
หรือมันคงแปลกถ้าจะสามารถรับมันมาได้อย่างใจเย็น?
จี้ป๋อหนงมองหนังสือ สูดหายใจลึก ๆ แล้วบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง
เขาเตือนตัวเองไม่ให้หลุดการควบคุมอารมณ์ตรงหน้าเจ้าของร้านหลิน จากนั้นก็ปรับความคิด สายตาจดจ่อแล้วเอื้อมมือสั่น ๆ ของเขาออกไปรับหนังสือมา หมอกควันบังตาจางลง
แล้วในที่สุดเขาก็เห็นหน้าปกของหนังสือเล่มนี้ได้อย่างชัดเจน
จากนั้น เขาก็เห็นข้อความที่เขียนอย่างคลุมเครือบนหน้าปก…
‘ฝ่ามือสัมผัสแห่งความว่างเปล่า’