เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 26
บทที่ 26 : ด้วยพรมทั่งจากเข็ม และมงกุฎจากหิมะ
ท่าทีไม่แยแสของเฮริสแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ ในตอนนั้นเองที่หมาป่าเงินได้ทุ่มเขาลงกับพื้นและกระชากไหล่ของเขาจนขาด
เฮริสชักมีดสั้นออกมาแทงจัง ๆ ไปยังดวงตาของหมาป่าเงิน เกร็งร่างทั้งร่างในการหนีบอุ้งเท้าของมันไม่ให้ไปไหน “อูริ!” เขาคำราม
ชายหนุ่มถูกผลักไสด้วยคลื่นไฟฟ้าจนเซไปเล็กน้อย ศีรษะของเขามีเลือดไหลออกมา ทว่าสายตายังคงมั่นคงยามตะโกน “คาถามึนงง! แสงชั่วพริบตา!”
การร่ายเวทของเขาเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขานั้นระดับสูงกว่านักเวทสามคนก่อน ซึ่งสิ้นชีพด้วยวิธีไม่เป็นธรรมชาติก่อนหน้านี้
พลังของนักเวทมนตร์ดำนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถแรกเริ่มและการสร้างสรรค์ว่าคำอันเรียบง่ายคำหนึ่งจะส่งผลต่อความชำนาญของเวทมนตร์แขนงนั้นได้เช่นไร การร่ายมนตร์อันเรียบง่ายนั้นสื่อถึงระดับฝีมืออันสูงส่ง
ตัวอย่างเช่น อาจารย์ของไวลด์ นักเวทมนตร์ดำซึ่งเข้าใกล้ขอบระดับเหนือนภานั้นสามารถปล่อยเวทได้จากคำอันแสนปกติ
จี้จือซู่หอนออกมา จิตใจของเธอตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน และภาพที่เห็นกลับขาวโพลนจากการโดนแทง
ในฐานะลูกศิษย์ของไวลด์ อูริได้ลับฝีมือจากสนามรบหลายแห่ง อีกทั้งยังเป็นสายสนับสนุนอันยอดเยี่ยม
เฮริสใช้มือรัดอุ้งเท้าเสียแน่นเพื่อหักขาหน้าของหมาป่าเงิน จัดการดึงมีดสั้นออกมาแล้วพลิกตัวหมาป่ายักษ์ลงไปบนพื้น
“บ้าจริง!” จี้จือซู่รู้สึกเหมือนโลกพลิก กระดูกสันหลังคล้ายจะหักเข้าไปทุกที เธอสัมผัสได้ถึงภยันตรายที่คืบคลานเข้ามา
“เจตจำนงแห่งเหล็กกล้า!” เธอร่ายอีกครั้ง
วิญญาณรูปร่างคล้ายปลาหมึกบนท้องฟ้าซึ่งติดตามหญิงสาวมานานยืดหนวดเพื่อปิดจมูกและปากของเธอเพื่อปัดเป่าสถานะผิดปกติออกไป
จี้จือซู่ได้สติ และจากสายตาที่เห็นนั้นได้พบกับแสงประกายอันเย็นยะเยือกกำลังพุ่งเข้ามา
ขนบนตัวเธอลุกซู่ยามเธออ้าปากสุนัขของเธอขึ้นอย่างไว เอียงคอเล็กน้อยและกัดมีดสั้นเล่มนั้นที่กำลังพุ่งตรงมาหา
ฉัวะ!
มีดสั้นแทงทะลุแก้มไปและค้างอยู่ระหว่างซอกฟันและก้อนเนื้อ
นัยน์ตาอันเย็นชาของจี้จือซู่เต็มไปด้วยจิตอาฆาตขณะที่เธอสะบัดหัวเพื่อฉีกกระชากแขนของเฮริสก่อนเดินไปข้างหน้า เสียงกรอบแกรบของกระดูกแตกหักแล่นมาจากร่างของเขา
ตอนนั้นเองที่จี้จือซู่ยืดแขนออกและใช้กรงเล็บตรึงร่างของเฮริสไว้ทั้งสองข้าง
“มนตราเพลิง – สุริยาสูญสลาย!”
หลังจากถ่วงเวลามาเนิ่นนาน ในที่สุดอูริก็ร่ายมนตร์เสร็จเสียที
ดวงอาทิตย์ของปลอมเปล่งแสงขึ้นเหนือหัวจี้จือซู่และฉายลำแสงลงมายังตัวเธอ ผิวหนังของหญิงสาวเริ่มบวมเป่ง และกระตุกพร้อมเกิดควันไหม้ขึ้นมาในจุดที่แสงอาทิตย์สาดส่อง เป็นพลังอันน่าหวั่นเกรงจนจี้จือซู่รู้สึกราวกับร่างกายตัวเองจะบวม และระเบิดในไม่นานนี้เลยทีเดียว
โดยรวมแล้วถือว่าเป็นภาพที่เห็นแล้วอยากจะอาเจียนให้รู้แล้วรู้รอด
อันตราย! อันตรายสุด ๆ! ต้องหนีไป! นี่เป็นเพียงความคิดของจี้จือซู่เมื่อเธอเลือกจะทะยานขึ้นไปอีกครั้ง
ร่างกายของหญิงสาวไม่อาจฝืนกลับคืนร่างมนุษย์ระหว่างการหลบหนี
สวบ!
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหยุดอยู่ตรงไหน
“แฮ่ก…แฮ่ก…” อูริหอบแฮกพลางทำไม้ทำมือส่งสุริยาสูญสลายกลับคืนสู่เขตผนึก “คุณเฮริส… ไหวไหมครับ”
เขาลุกขึ้นยืน มองไปเบื้องหน้าและเห็นสภาพชวนแตกตื่น
หัวหน้าหมาป่าขาว เฮริสกำลังนอนอยู่บนพื้นโชกเลือดจนแทบเป็นแอ่ง และแขนข้างหนึ่งอยู่ห่างไปไกลหลายเมตร ดูอย่างไรก็เหมือนกำลังเหยียบอยู่บนประตูยมโลกชัด ๆ
“ไม่เป็นไร” ทว่าเสียงของชายคนนั้นกลับเยือกเย็นเหมือนเคย
แม้จะโซซัดโซเซ แต่เขาก็ลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด กล้ามเนื้อและผิวหนังต่างฟื้นฟูอย่างไว แขนที่โดนกัดจนไม่เหลือรูปร่างยังกลับมาเป็นรูปแบบเดิม แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ มีแขนอีกข้างงอกขึ้นมาจากรอยแผลบนร่างกายเขา
เฮริสเหลือบมองมันเล็กน้อย แล้วจึงกระชากแขนที่เกินมาออกไป
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ปกติกับนักล่าซึ่งมีเลือดเสียรวบรวมอยู่ในตัว…กลายพันธุ์กายภาพ!
หากเฮริสไม่ ‘ชำระล้าง’ ร่างกายตัวเองเป็นกิจวัตรละก็ เขาจะกลายเป็นตัวประหลาดมีหลายแขนหลากขาและหลายดวงตาในเวลาไม่นานแน่
“ดูท่าแล้วเจ้าคนที่อยู่ซอย 23 นั่นจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดไว้อีกนะ”
“หมายถึงคนที่ก้าวข้ามมิติกาลเวลาเหรอครับ”
“เปล่า” เฮริสส่ายหัว “หมายถึงการที่เธอใช้วิญญาณของรูเอนแล้วเข้าไปสู่เน็ตเวิร์กข่าวสาร เจาะจงตำแหน่งของพวกเรา แถมยังปลดคาถามึนงงของนายได้อีก พลังพวกนี้น่าสนใจออก”
ร่างเปียกปอนของทั้งคู่ต่างจ้องมองซากหักปรักพังด้วยน้ำมือพลังสุริยาสูญสลายของอูริไปสักพัก
“น่าเสียดายที่ฉันมีเรื่องด่วนกว่าต้องจัดการ อูริ นายไปดูซิ เขาสำคัญกว่าไวลด์เยอะ”
“ได้ครับ” อูริพยักหน้า
เฮริสแบมือออก เผยให้เห็นไข่ใบหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากอัญมณี
“เฮ้ อูริ นายว่านี่จะฟักออกมาเป็นตัวอะไร?” เฮริสพึมพำถามพลางมองมันด้วยสายตาหมกมุ่นอันแรงกล้า
“…สัตว์มายาครับ”
“ไม่ ไม่ใช่เลยสักนิด เป็นพระเจ้าต่างหาก พระเจ้าที่แท้จริง”
—
หลินเจี๋ยปิดร้านหนังสือ ล็อกประตูและขึงหน้าต่าง แล้วจึงเดินตรวจชั้นหนังสือทั้งหมดพร้อมจดลงในสมุดทะเบียนและสมุดบัญชี
เมื่อพอใจแล้ว ชายหนุ่มจึงหยิบตาข่ายดักฝันที่ไวลด์มอบให้และขึ้นไปข้างบนเพื่อเตรียมตัวนอน
แผนผังชั้นสองนั้นต่างจากชั้นล่างโดยสิ้นเชิง ชั้นแรกนั้นอัดแน่นไปด้วยหนังสือ ในขณะที่ชั้นสองเต็มไปด้วยสิ่งของซึ่งใช้ในชีวิตประจำวัน
นอกจากห้องอาบน้ำ ครัว และห้องนอนแล้ว ยังมีมุมเล็ก ๆ สำหรับการออกกำลังกายอีกด้วย
เนื่องจากเขาไม่ได้ออกไปไหนมาไหนเท่าไหร่ และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเฝ้าร้านหนังสือ หลินเจี๋ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจัดตารางออกกำลังกายให้ตัวเอง
แม้มันจะไม่ได้ท้าทายอะไร แต่เขาจะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นตัวขี้เกียจไม่ได้
ข้างนอกฝนยังตกไม่หยุด อีกทั้งยังมีน้ำฝนไหลซึมลงมาจากฝ้าเพดาน ชั้นสองทั้งชั้นจึงดูขมุกขมัว
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าตนปล่อยปละละเลยเกินไปถึงขั้นลืมซื้อสารดูดความชื้นกลิ่นมะนาวมาใช้ “เฮ้อ เดี๋ยวไปซื้อตอนฝนหยุดตกละกัน”
หลินเจี๋ยเปิดประตูห้องนอนซึ่งมีเพียงเตียง โต๊ะ และเก้าอี้ในพื้นที่คับแคบเท่านั้น
กองกระดาษซึ่งเต็มไปด้วยแหล่งอ้างอิงรีเสิร์ชกองอยู่บนโต๊ะ ทุกอย่างนี้คือการตรวจสอบเล็กน้อยระหว่างที่ชายหนุ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในนอร์ซิน
หลินเจี๋ยเอาตะปูมาตอกติดเพดานแทนตะขอ แล้วแขวนตาข่ายดักฝันอันสวยงามไว้ ตำแหน่งของมันอยู่เหนือหมอนของเขาพอดี
ถ้าหลินเจี๋ยนอนลงไป ปลายขนนกของตาข่ายดักฝันนี้จะจ่อตาของเขาเลยทีเดียว
หลังจากเก็บค้อนแล้ว หลินเจี๋ยจึงบิดขี้เกียจ ถอดเสื้อแล้วปิดไฟนอน
เขามองขนนกที่โบกสะบัดเบา ๆ เหนือหัวเขา
“ขอให้มันได้ผลจริง ๆ เถอะ…ราตรีสวัสดิ์” หลินเจี๋ยหลุบตาลง และความมืดก็เข้าครอบงำ
—
ความฝัน?
หลินเจี๋ยกะพริบตาหลายต่อหลายครั้งพลางจ้องมองโลกสีขาวบริสุทธิ์อย่างเหม่อลอย รอบด้านเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะเนียนละเอียดโปรยปรายรอบด้านตัวชายหนุ่ม
เขาเงยหน้าแล้วพบกับพุ่มไม้เขียวขจีซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะ ลำต้นของต้นไม้ใหญ่หมุนเป็นเกลียวราวกับเป็นเส้นเลือดใหญ่เบ่งบานออกมาจากผืนดินพร้อมเปิดหลังคากว้างราวกับพร้อมจะปกปิดแสงอาทิตย์ ดอกไอริสขาวละลานตาอยู่บนพื้นต่างปลิวไสวไปตามแรงลม
เบื้องล่างนั้น หญิงสาวผมสีเงินกำลังพักพิงอยู่ข้างต้นไม้ นัยน์ตาของเธอกำลังหลุบลง
ความงามของเธอไม่ต่างจากแสงจันทร์ และหญิงสาวถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาวบาง ขาขาวผ่องเรียวงามไร้รอยมลทินเผยตัวออกมาจากผ้านั้น
ทันใดนั้นเอง หลินเจี๋ยพลันคิดถึงคำบางคำที่เคยได้ยินมาก่อนซึ่งเขาลืมเลือนไปแล้ว ‘ด้วยพรมทั่งจากเข็ม และมงกุฎจากหิมะ’