เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] - ตอนที่ 104
วันถัดมา
หลังจากนั่งในท่าสวดภาวนามาทั้งคืน วินเซนต์ก็ลืมตาขึ้น ฝ่ามือของเขาที่ประกบเข้าหากันผละจากกัน เผยให้เห็นตราจุดยอดอันศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงพร่างพรายจากแสงจันทร์จาง ๆ ให้เห็นอยู่รำไร
เขายืนขึ้นแล้วปลดเขตแดนอีเธอร์ที่วางไว้รอบตัวออก ทำให้ชั้นอีเธอร์บาง ๆ ที่โอบล้อมร่างกายเขาอยู่สลายไปในทันทีราวกับสายลมที่อ่อนโยน
เขตแดนสำหรับทำสมาธิอย่างง่ายนี้ประกอบด้วยสามส่วน
ส่วนแรกคือข่ายมนตร์ใต้เท้าของเขาที่ถูกเขียนด้วยน้ำมนต์ ในตอนนี้มันเริ่มระเหยไปตามผลลัพธ์ของการทำสมาธิแล้ว
จุดเปียก ๆ บนพื้นกระดานค่อย ๆ เลือนหายไป เหลือไว้เพียงกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้เงา
ส่วนที่สองคือแหล่งกำเนิดพลังที่ใช้ในการคงเขตแดนเอาไว้ ในโอกาสที่เป็นทางการกว่านี้ อุปกรณ์เวทมนตร์ที่มีพลังเวทมนตร์ของดวงจันทร์เช่นมูนสโตนจะถูกใช้
แต่ตอนนี้ที่วินเซนต์มาถึงที่นี่อย่างรีบร้อน เขาก็ทำได้เพียงใช้อีเธอร์ที่เขาสามารถจับต้องได้เองเท่านั้น
ส่วนที่สามคือตราจุดยอดอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือเขา มันถูกใช้เป็นเหมือนสะพานเชื่อมต่อระหว่างวิญญาณของเขากับดวงจันทร์
ดีไซน์ของตราสีเงินนี้คือจันทร์เสี้ยวแบบง่าย ๆ ที่โอบล้อมด้วยลวดลายที่เหมือนคลื่น
ลวดลายเส้นโค้งเว้าเหล่านี้ดูเรียบง่าย แต่หากสังเกตใกล้ ๆ จะพบว่าลวดลายพวกนี้ที่จริงแล้วเป็นมนตราที่ถูกสลักไว้อย่างซับซ้อน
นักบวชทุกคนในโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะมีตราศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง
มันเป็นทั้งตราที่บ่งบอกฐานะของตนและสื่อกลางที่ถูกปรับให้เหมาะสำหรับการใช้เวทมนตร์และการทำสมาธิ
ตราศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชแต่ละคนจะถูกสร้างโดยการถ่ายเทพลังวิญญาณของพวกเขาเพื่อเชื่อมต่อระหว่างสติของพวกเขาและดวงจันทร์ในระหว่างพิธีล้างบาปครั้งแรกตอนเข้าสู่โบสถ์ ดังนั้นตราศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ที่เข้ากันได้กับเจ้านายของมันอย่างสมบูรณ์แบบ
“ประสิทธิภาพการทำสมาธิของเราลดลงจริง ๆ ด้วย แล้วตอนนี้มันก็ต้องใช้เวลานานกว่าเดิมสามเท่าในการเข้าฌาน…นอกเหนือจากความคิดที่ชวนไขว้เขวระหว่างทำสมาธิแล้ว ยังมีเสียงพูดคุยแปลก ๆ และฉากที่แวบเข้ามาอีกฉากหนึ่งด้วย?”
วินเซนต์ขมวดคิ้วแล้วรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างบอกไม่ถูกนั่นขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับโทสะที่อดรนทนไม่ได้จะระเบิดออกมาจากการควบคุมของหัวใจของเขาก็มิปาน
“เกิดอะไรขึ้นกับเราเนี่ย?”
เขาเก็บตราศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปอย่างไม่เต็มใจแล้วหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าอกเสื้อ แล้วนำออกมาจุดมวนหนึ่ง
“ฮู่…”
มีเพียงตอนที่ควันเข้าไปที่ปอดเท่านั้นที่เขาจะใจเย็นลง แล้วกำจัดความคิดชวนไขว้เขวทั้งหลายออกจากใจได้
กระทั่งอีเธอร์ที่ชวนให้กระวนกระวายก็อ่อนน้อมลงแล้วไหลเวียนตามควันที่เขาพ่นออกมา
ความรู้สึกปลอบประโลมนี้ดึงเขากลับไปในตอนที่วินเซนต์ทำพิธีล้างบาปครั้งแรก
ในตอนนั้น บาทหลวงชราที่เป็นประธานพิธีกดฝ่ามือที่หยาบกร้านแต่อบอุ่นของเขาลงบนศีรษะของวินเซนต์แล้วกดเขาลงไปในน้ำแผ่วเบา
“เราคือข้ารับใช้ของดวงจันทร์ เราบูชา รับใช้ รักและกลัวในดวงจันทร์”
“เราเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจันทร์ เกิดภายใต้ส่วนสว่าง ตายภายใต้ส่วนมืด ในแต่ละครั้งที่ดวงจันทร์บรรลุวัฏจักรระหว่างแสงและความมืด วัฏจักรของชีวิตและความตายก็จะหมุนเวียนอีกครั้ง แล้วผู้ตายก็จะได้รับชีวิตใหม่”
“เราได้รับพรและการคุ้มครองของดวงจันทร์ และในขณะเดียวกัน เราก็ไม่อาจมองไกลไปกว่าจุดสูงสุดได้ จนกระทั่งความตายดึงเราสู่ฟากฟ้า”
เสียงอันเยือกเย็นและสม่ำเสมอของบาทหลวงชราดังก้องในขณะที่ประกายแสงในระลอกน้ำปรากฏในคลองจักษุของเขาในวัยหนุ่ม
เมื่อเขาจมอยู่ในน้ำ วินเซนต์ได้เห็นภาพสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำ
ความทรงจำสมัยหนุ่มนี้เหมือนกับการจุ่มนิ้วลงในบ่อล้างบาป มันนุ่มนวลและอบอุ่น…
จากนั้นมา วินเซนต์ก็ไม่ได้เห็นแสงจันทร์ที่แท้จริงอีกเลย
เมื่อวินเซนต์ได้สติกลับมา ก็สูบบุหรี่หมดมวนไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในระหว่างนิ้วของเขามีเพียงก้นบุหรี่ที่ยังคุกรุ่น
ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างตกใจพร้อมกับที่ความเย็นเยือกชวนขนลุกแพร่ไปทั่วร่างของเขา
มัน…จะเป็นไปได้ยังไง?!
ระ…ระ…เราเพิ่งจะเห็นดวงจันทร์ในความทรงจำมาใช่ไหม?! จะเป็นไปได้ยังไงกัน!
หลังจากพิธีล้างบาปเสร็จสิ้น ทุกภาพจำของดวงจันทร์ที่แท้จริงก็น่าจะถูกนำออกจากความทรงจำของเขาไปแล้วนี่!
“ไม่ ไม่ ไม่…นั่นเป็นภาพสะท้อนในน้ำ ไม่ใช่ดวงจันทร์จริง ๆ ซะหน่อย!”
วินเซนต์พึมพำกับตนเองท่ามกลางการหายใจฟืดฟาด เหงื่อเม็ดใหญ่ปรากฏบนหน้าผากแล้วหยดลงมา ในขณะที่ความลนลาน ความกลัวและความหวาดระแวงเกาะกุมหัวใจเขาไว้
บาทหลวงรู้ว่าเขากำลังโกหกตัวเอง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับดวงจันทร์ควรจะหายไปจากในวิญญาณของเขาแล้ว
ไม่ว่าพวกเขาจะรักจะโหยหาดวงจันทร์ขนาดไหน แต่พวกเขาไม่อาจมองดวงจันทร์ตรง ๆ ได้เด็ดขาด
นี่คือสิ่งที่เหล่านักบวชจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดเป็น
“แต่…แต่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะตอนนี้? เราจะเห็นดวงจันทร์ในน้ำได้ยังไง? ความศรัทธาของเรายังไม่เคร่งพอเหรอ? หรือนี่คือการลงโทษของดวงจันทร์กัน?”
วินเซนต์ถูกอารมณ์ที่ปะปนอย่างซับซ้อนประดังประเดเข้าใส่…
เขาจ้องตราศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาแล้วพึมพำราวกับเมามาย “ที่แท้นั่นก็คือดวงจันทร์ที่แท้จริง…”
ร่างของบาทหลวงชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เกิดจากความกลัว มือสั่น ๆ ของเขาเอื้อมไปหยิบบุหรี่อีกมวน
เมื่อวังวนแห่งควันเริ่มลอยขึ้น วินเซนต์พลันขว้างบุหรี่และซองของมันลงพื้น แล้วสบถลอดไรฟัน “บ้าเอ๊ย!”
ตุบ ตุบ ตุบ!
“คุณพ่อ! คุณพ่อ! คุณพ่อวินเซนต์! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!”
เสียงทุบประตูและเสียงตะโกนของเจ้าของร้านสื่อวีดิทัศน์ทำให้วินเซนต์ชะงักกับที่
“ผมเตรียมสิ่งที่คุณขอไว้หมดแล้ว เราจะทำยังไงกันต่อครับ?” คอลินยังคงโวยวายจากด้านนอก
วินเซนต์สูดหายใจลึกแล้วก้มลงไปเก็บบุหรี่ขณะพยายามเก็บอาการสุดชีวิต “พ่อไม่เป็นไร จะออกไปในอีกสักครู่นะ”
เขาเปิดประตู คอลินยังคงพล่ามไม่หยุดว่าวิญญาณร้ายบ้านข้าง ๆ น่ากลัวขนาดไหน แต่วินเซนต์ในครั้งนี้ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจ
เขาช่วยคอลินจัดเตรียมพิธีกรรม ตรวจสอบเขตแดน ข่ายมนตร์ปัดรังควาญและอุปกรณ์ต่าง ๆ และตรวจให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นระเบียบครบถ้วน
ในระหว่างนั้น เขาก็ลองหยั่งเชิงร้านหนังสือห้องถัดไปโดยใช้อีเธอร์แล้ว แต่เขาไม่ได้ค้นพบอะไรที่เด่นชัดเลย
“ลูกจะบอกว่า ลูกตะโกนอยู่หน้าห้องมาเกือบนาทีแล้วเหรอ?” วินเซนต์เลิกคิ้วถาม
“ผมสาบาน! ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้กุเรื่องครับ!” คอลินสาบานทันที “ผมเรียกอยู่ข้างนอกมาสักพักแล้วและตัดสินใจเคาะประตูพอไม่ได้ยินเสียงตอบครับ”
เฮือก…
วินเซนต์ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่พลางบีบดั้งจมูกของเขา เรื่องต่าง ๆ นี้สาหัสกว่าที่เขาจินตนาการไว้อีก
เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าเขาสติหลอนไปเมื่อครู่
วินเซนต์ส่ายหัว ทว่า…ความสำคัญสูงสุดในตอนนี้คือต้องช่วยคอลินแก้ปัญหาของเขา
ส่วนปัญหาของตัวเขาเองนั้น วินเซนต์จะมาพิจารณามันหลังจัดการเรื่องนี้เสร็จ
เมื่อตกค่ำ วินเซนต์ก็สวมผ้าปิดตาสีดำ สวมใส่อุปกรณ์ปัดรังควานของเขา แล้วมุ่งหน้าออกไป
ใต้ท้องฟ้าราตรีและแสงจันทร์ เขาผลักเปิดประตูร้านหนังสือข้าง ๆ
กริ๊ง!
“ยินดีต้อนรับครับ! ไม่ทราบว่าคุณ…” หลินเจี๋ยเงยหน้ามองไปทางลูกค้าแห่งโชคชะตาที่เข้ามาในวันนี้
แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ หลินเจี๋ยก็ต้องชะงักไปชั่วขณะเมื่อเขาสังเกตเห็นชายปิดตาในชุดบาทหลวง
คนตาบอดเหรอ? ไม่สิ บาทหลวงตาบอดเหรอ?
บุคคลผู้ชี้นำผู้อื่นกลับกลายเป็นบุคคลที่ต้องให้ผู้อื่นชี้นำเสียแล้ว
หลินเจี๋ยต้องยอมรับว่ามันออกจะตลกร้ายไปสักหน่อย
“มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้ไหมครับ? คุณสามารถซื้อ ยืม หรืออ่านหนังสือที่นี่ได้ และคุณก็สามารถมาพักผ่อนที่นี่ได้ถ้าต้องการนะครับ”
โทนเสียงของหลินเจี๋ยที่ยิ้มอย่างอบอุ่นนั้นอ่อนโยนกว่าปกติ
มูเอนกำลังจะเข้าไปพยุงบาทหลวงในตอนที่หลินเจี๋ยกางแขนหยุดเธอไว้
เขาบุ้ยใบ้ให้มูเอนเงียบไว้ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณคือบาทหลวงจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดหรือเปล่าครับ?”