เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 98 นกกระจอกเงิน
ตอนที่ 98 นกกระจอกเงิน
หนิงอี้หลับตาลง ไม่ได้ซ่อนตัวนานนัก
ป้ายคำสั่งดอกบัวแดนบูรพาสีดำในมือเขาพลันสั่นไหวเบาๆ
“หมายเลขเก้า…ถึงเวลาแล้ว”
อีกฝั่งของป้ายคำสั่งดอกบัวเป็นเสียงบุรุษไม่คุ้นหู ไม่ใช่คนขององค์ชายรอง และไม่ใช่คนของหานเยวีย
หนิงอี้มีสีหน้าปกติ ลุกขึ้นนั่ง เขาขยับเส้นเอ็นและกระดูก จัดของของตน จนมั่นใจว่ายันต์กับค่ายกลของตนซ่อนในแขนเสื้อ มั่นใจว่าใช้งานได้ในทันทีแล้ว ก็ตรวจสอบอีกสองสามครั้ง ก่อนหนิงอี้จะแบกกระบี่หนา นำผ้าดำพินิจเหมันต์ผูกไว้ตรงเอวอีกครั้ง จากนั้นเดินออกจาก ‘หอศักดิ์สิทธิ์ทะเลสึกกร่อน’
ตามการชี้นำของเสียงในป้ายคำสั่งดอกบัว หนิงอี้มาถึงพื้นที่กว้างโล่งแห่งหนึ่ง
เขาเห็นทิวทัศน์ที่อยู่ไม่ไกลมาแต่ไกล บนที่ราบมีต้นไม้โบราณยักษ์ต้นหนึ่ง ใบไม้เหมือนมีเปลวเพลิงลุกโชน นั่นคือต้นไม้โบราณแปลกนอกแดนอุดร มีชื่อว่าต้นหม่อนไฟ
ใต้ต้นหม่อนไฟเป็นผู้บำเพ็ญชุดคลุมดำสูงใหญ่พิงอยู่หลายคน บ้างห้อยดาบยาวตรงเอว บ้างก็กอดกระบี่ในอก ทุกคนหลับตาพักผ่อน
คนพวกนี้เลือกปิดตัวตนจริง สวมหน้ากาก ลักษณะท่าทางต่างกัน และยังมีหญิงสองคนนั่งบนต้นหม่อนไฟ แกว่งสองขา หนิงอี้กวาดสายตามอง ทางต้นไม้โบราณมีเก้าคน นอกจากหญิงสองคนนั้นแล้ว หกคนที่พิงลำต้นโบราณยักษ์ และยังมีบุรุษผอมสูงอีกคนนั่งขัดสมาธิบนที่ราบ ตรงหน้าตักวางหอกยาวสีขาวเงินขวางไว้ เขาเป็นบุรุษคนเดียวที่เผยใบหน้า
หนิงอี้รู้สึกได้ว่าในคนพวกนี้ คนที่แกร่งที่สุดน่าจะเป็นบุรุษหอกเงินที่นั่งขัดสมาธิบนที่ราบนั้น ไม่ปิดบังกลิ่นอายพลังตนเลย ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา
ส่วนผู้บำเพ็ญชุดคลุมดำที่บ้างยืนบ้างพิงล้วนเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดทั้งหมด แต่ต่างกับเจ้าภูเขาสองคนนั้นที่ตนเจอในโรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวงวันนั้น กลิ่นอายพลังในตัวพวกเขาทำให้หนิงอี้รู้สึกถึง ‘ความอันตราย’
ดูท่าคนพวกนี้คงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่องค์ชายรองถูกใจ
หนิงอี้ครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญพวกนี้มีกี่คนที่มาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ และมีกี่คนที่ไม่กล้าเปิดหน้ากากตนเอง
องค์ชายรองมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ ผู้บำเพ็ญใต้ต้นหม่อนไฟพวกนี้ ถึงขั้นอาจจะมีการคงอยู่ระดับเตรียมบุตรศักดิ์สิทธิ์
ภารกิจครั้งนี้คงไม่ง่าย
หนิงอี้พลิกตัวลงม้า นำหน้ากากที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมาจากชุดคลุม นั่นเป็นหน้ากากราชสีห์ที่ปิดครึ่งซีกหน้า ตอนที่ไปดูดอกไม้ไฟดูโคมไฟกับเด็กสาว หนิงอี้เห็นอยู่ในแผงร้านข้างทาง หน้ากากนี้มีความคล้ายกับหน้ากากนั้นของราชาหัวใจราชสีห์หลายส่วน ก็เลยซื้อมาสวม ถือว่าเป็นการตกแต่งหน้าอีกชั้นไปก่อน
“หมายเลขเก้า…เจ้ามาสาย”
บุรุษที่นั่งบนพื้น แม้จะสวมชุดคลุมดำ แต่เขาก็ยื่นมือมาช้าๆ ถอดหมวกบนศีรษะออก เผยเส้นผมเทาทั้งศีรษะ บุรุษคนนี้มีอายุไม่มาก แต่ใบหน้ากลับผ่านความลำบากมาอย่างโชกโชน รอยแผลเป็นกระบี่เอียงสามรอยลากจากกระดูกโหนกแก้มด้านซ้ายยาวไปทั้งใบหน้า จนถึงจุดไท่หยางทางขวาถึงหยุดลง
เขาลุกขึ้นยืน ถือหอกยาวสีขาวเงิน เอ่ยราบเรียบ “เจ้าเรียกข้าว่าหมายเลขศูนย์ได้ หรือเยี่ยนจือก็ได้”
เยี่ยนจือ!
หนิงอี้หรี่ตาลง เขารู้ว่าบุรุษตรงหน้าที่ไม่สนใจจะปิดบังตัวตนคนนี้เป็นใคร กลุ่มผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่ต่ำกว่าสามเคราะห์สี่หายนะและติดตามหานเยวีย รุ่นเยาว์ในนั้น คนที่มีชื่อเสียงและคำยกย่องมากที่สุดก็คือผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่ชื่อว่าเยี่ยนจือคนนี้!
นกกระจอกเงินเยี่ยนจือ ผู้บำเพ็ญป่าเขาของแดนทักษิณ ไม่มีสำนัก หานเยวียเคยชี้แนะเส้นทางการบำเพ็ญของเขา เขาเดินบนเส้นทางสังหารอย่างเงียบงันที่สุด จะสู้อยู่ในโลกเทาตลอดทั้งปี…วันล่าเหยื่อครั้งนี้ อัจฉริยะของสองแดนบูรพากับประจิม บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายน่าจะไม่ออกมือ คนใหญ่คนโตจากทุกฝ่ายคาดการณ์ไว้ว่า ในผู้บำเพ็ญที่โดดเด่นที่สุดน่าจะมีที่ยืนของ ‘นกกระจอกเงิน’
เข้าใจได้ว่าบุรุษผมเทาเยี่ยนจือคนนี้คือขุนพลใหญ่ของแดนบูรพาในวันล่าเหยื่อครั้งนี้
และข้างหลังเยี่ยนจือ ใต้ต้นหม่อนไฟ ผู้บำเพ็ญที่หลับตาพวกนั้น แต่ละคนลืมตาขึ้น กลิ่นอายพลังพวกเขาเก็บซ่อนไว้ลึก มองเบื้องหลังไม่ออก แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดา
หญิงที่ดูว่างและแกว่งขาบนต้นไม้สองคน ยิ้มหยีตา “นกกระจอกเงิน ดูท่าหมายเลขเก้าที่ชักช้ามาสาย…คงไม่ได้แกร่งเท่าไร สายตาองค์ชายมีปัญหาหรือไม่”
หนิงอี้ทำเป็นไม่ได้ยิน เงียบไม่ตอบ
เขากำป้ายคำสั่งดอกบัวแดนบูรพาของตน นึกไปถึงคำพูดที่หลี่ไป๋จิงเคยพูดกับตน
แดนบูรพาไม่ต้อนรับคนไร้ความสามารถ
การจะได้อะไรจากแดนบูรพา ก็ต้องจ่ายไปบ้างก่อน…
หนิงอี้เข้าใจแล้ว คำพูดนี้ หลี่ไป๋จิงไม่ใช่แค่เคยพูดกับตน ผู้บำเพ็ญป่าเขาพวกนั้นเกรงว่าคงซาบซึ้งใจจนกระบอกตาร้อนผ่าว ศิษย์ในสำนักบางส่วนได้คำพูดเช่นนี้จากองค์ชายต้าสุย เกรงว่าจิตใจคงจะสั่นคลอนเลยกระมัง
หนิงอี้กวาดสายตามองใต้ต้นหม่อนไฟทีละคน
หลี่ไป๋จิง…จะสกัดสินค้าใดกันแน่ ถึงส่งอัจฉริยะมามากขนาดนี้
นกกระจอกเงินเยี่ยนจือไม่สนใจสองคนข้างหลัง แต่มองหนิงอี้ที่ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ตรงหน้าตน ก่อนพูดอย่างจริงจัง “สายตาขององค์ชายไม่เคยมีปัญหา…ในเมื่อองค์ชายให้เขาเข้าร่วม ก็แสดงว่าเขาต้องมีคุณสมบัติ”
“มันก็ไม่แน่หรอก” หญิงสองคนที่นั่งบนต้นไม้พูดแทบจะพร้อมกัน หัวเราะเหมือนกระดิ่งเงินแกว่งไปมา แต่กลับทำให้หนิงอี้รู้สึกรำคาญนิดๆ หญิงสองคนนี้พูดหยอกล้อพร้อมกัน “หมายเลขเก้า ดูตัวเล็กผอมๆ เกรงว่าคงยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่…ตัวแค่นี้ ยังไม่ได้ครึ่งของหมายเลขสามเลยกระมัง”
หนิงอี้ขมวดคิ้วใต้หน้ากากราชสีห์
หมายเลขสามพิงใต้ต้นไม้โบราณ เป็นคนที่ตัวใหญ่ที่สุด เหมือนภูเขาเล็ก
ทุกคนที่นี่ล้วนมีจุดเด่น
ศัตรูไม่ขยับ ข้าไม่ขยับ การพูดถากถางเป็นการโจมตีที่ไร้ประโยชน์ที่สุด
อีกเดี๋ยวจะออกเดินทางพร้อมกัน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสู้กัน
หนิงอี้ขี้เกียจจะสนใจการยั่วยุน่าเบื่อเช่นนี้มาตลอด เลยปิดปากไม่พูดเสียเลย
ไม่นึกเลยว่าการที่เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นกลับทำให้หญิงสองคนบนต้นไม้ฮึกเหิมกว่าเดิม พุ่งลงมา ซ้อนร่างกัน วนรอบหนิงอี้รอบหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียดสีอีกครั้ง “อายุยังน้อย…หรือว่าจะเป็นใบ้กัน หูหนวกหรือ หรือว่าตาบอด”
หนิงอี้มีใบหน้าไร้ความรู้สึก มือข้างหนึ่งซ่อนในแขนเสื้อ กำหมัดแล้ว พร้อมออกหมัดทำลายแสงดาราคุ้มกันของหญิงตรงหน้าทุกเมื่อ แม้พลังบำเพ็ญนางจะไม่อ่อนแอ วิชาการบำเพ็ญเคลื่อนไหวพร้อมกันเช่นนี้อาจจะเป็นผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ หมัดคนยักษ์ดาราของตนคงเอาชีวิตนางไม่ได้ แต่ก็ทำให้สองร่างจริงของนางแหลกเป็นเสี่ยงๆ ได้ ครึ่งเป็นครึ่งตาย จากนั้นถูกคนแดนบูรพาหิ้วไปที่ราบสูงเทพสวรรค์
หนิงอี้กำหมัด ภาพเล็กๆ น้อยๆ นี้อยู่ในสายตาเยี่ยนจือ
“พอแล้ว!” เขาขมวดคิ้ว “ตอนนี้มากันครบแล้ว…เงียบ!”
นกกระจอกเงินเป็นผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในโลกเทา มีชื่อเสียงมานานในค่ายดอกบัวแดนบูรพา เมื่อเอ่ย หญิงสองคนที่โดดขึ้นๆ ลงๆ เหมือน ‘แฝดตัวติด’ ตอนนี้สงบลง นั่งขัดสมาธิลงอย่างว่าง่าย ฟังคำสั่งของเยี่ยนจือ
“สิบคนมากันครบแล้ว”
เยี่ยนจือมองไปรอบๆ เขาเสียงไม่ดัง แต่ทุกคนได้ยิน “ข้าจะพูดสิ่งต่อไปนี้แค่ครั้งเดียว…จะไม่พูดครั้งที่สองเด็ดขาด”
หนิงอี้กอดอก ดูสนอกสนใจ
“เชื่อว่าทุกท่านต่างมั่นใจในศักยภาพของตัวเองมาก…แต่ที่นี่ไม่ใช่ต้าสุย ไม่ว่าสำนักเบื้องหลังทุกท่านจะเก่งกาจเพียงใด เผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจบุพกาลที่ฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง ต่อให้ใช้วิธีข่มขู่ให้กลัวก็ไม่มีประโยชน์”
นกกระจอกเงินเอ่ยนิ่งๆ “ต่อไปพวกเราจะข้ามที่ราบสูงเทพสวรรค์ มุ่งหน้าไปเขตต้องห้ามสิ่งมีชีวิตที่อาศัยของเผ่าปีศาจบุพกาล ส่วนเป้าหมายสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ ทุกคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว”
“ศึกระหว่างสองแดนบูรพาประจิมเปิดฉากในที่ราบสูงเทพสวรรค์แล้ว แต่ว่าองค์ชายสองท่านได้เดินทางไปถึงส่วนลึกสุดของเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณก่อนวันล่าเหยื่อแล้ว การประชันที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มขึ้น…สิ่งที่เราต้องทำคือสกัดกองกำลังแดนบูรพาที่เดินทางไป ‘หุบเขาวิญญาณร่วงหล่น’ ชิงรถม้าที่แกะสลักดอกบัวสีขาวมา”
เยี่ยนจื่อพูดนิ่งๆ “ในข่าวกรองของคุณชายน้ำค้างบอกไว้ว่ารถม้านั้นมีผู้บำเพ็ญเก่งกาจหลายคน สิ่งที่เราต้องทำคือสังหารพวกมันให้หมด”
ตอนที่เขาเอ่ยคำว่า ‘สังหาร’ น้ำเสียงไม่ได้หนัก แต่เบาสบาย
“ออกจากที่ราบสูงเทพสวรรค์แล้ว หูตาสามกรมจะดีกว่านี้ก็ไม่ต้องกังวล ระหว่างความเป็นตาย ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง” เยี่ยนจื่อเอ่ยราบเรียบ “ทุกท่านเก็บกวาดให้เรียบร้อยด้วย ซ่อนตัวตนให้ดี ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครพบ”
ในที่สุดหนิงอี้ก็เข้าใจสาเหตุที่หลี่ไป๋จิงบอกว่าตนซ่อนตัวตนได้
ซ่อนตัวตน เป็นเรื่องดีสำหรับทั้งสองฝ่าย
เป็นตายถึงแก่ชีวิต ขึ้นอยู่กับความสามารถตัวเอง
นกกระจอกเงินนิ่งไปก่อนจะหัวเราะเบาๆ “แม้ข้าคนเดียวก็ทำภารกิจนี้สำเร็จได้…แต่ทุกท่านมาร่วมด้วย ไปพร้อมกับข้า เรื่องนี้คงจะสบายขึ้นมาก”
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาหลายคนที่นั่งใต้ต้นไม้หม่อนไฟได้ยินดังนั้น สีหน้าก็มีคลื่นอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย
หนิงอี้เลิกคิ้ว คำพูดนี้มีความมั่นใจไม่น้อยเลย
แดนประจิมถูกแดนบูรพากดขี่มาตลอด แต่สงครามโลกเทา มีอัจฉริยะรูปแบบต่อสู้เป็นตายที่สูสีกับนกกระจอกเงินแน่นอน…อัจฉริยะที่ขัดเกลาผ่านความเป็นตายออกมา จะไม่ดูถูกศัตรูและเอ่ยคำพูดเช่นนี้
เป็นไปได้สูงที่เขาเพิ่งทะลวงพลังบำเพ็ญใหญ่ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีความมั่นใจแรงกล้าเช่นนี้
ยากจะคาดการณ์ได้ว่าผู้บำเพ็ญป่าเขาที่มีชื่อเสียงมานานพวกนี้หรือพวกที่ผ่านการต่อสู้จริงในโลกเทาและมีกำลังรบน่าตกใจ ยามที่ตัดสินกับอัจฉริยะชั้นยอดของเขาศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง จะเป็นแบบใด
บางทีเพิ่งเริ่มอัจฉริยะของเขาศักดิ์สิทธิ์อาจจะได้เปรียบกว่าเล็กน้อย แต่ขอแค่ผ่านการขัดเกลามาบ้าง ภายภาคหน้าของสองฝ่าย หนิงอี้มองไปทางเขาศักดิ์สิทธิ์มากกว่า
กระบี่เทพมรรคสามคน ล้วนมาจากสำนักใหญ่เขาศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งโจวโหยวไม่แย่แสจะร่วมงานราชวงศ์ใหญ่ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันล่าเหยื่อที่มีแค่ผู้บำเพ็ญป่าเขาเช่นนี้มา พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากร ย่อมมีใจอยู่กับการตระหนักรู้มากกว่า
…………………………