เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 96 รากษส
ตอนที่ 96 รากษส
“ไม่มีทาง”
แทบจะไม่ลังเลเลย
หนิงอี้ปฏิเสธข้อตกลงของหานเยวียอย่างเด็ดขาด
ผู้คงแก่เรียนหรี่ตาลง พูดอย่างนุ่มนวล “เจ้าเสียโลหิตบริสุทธิ์หยดเดียว อย่างมากสุดครึ่งเดือนก็รวมใหม่ได้ เจ้าต้องคิดให้ดี ขอบเขตที่สิบต้องการทรัพยากรมหาศาล เขาสู่ซานให้เจ้าไม่ได้ นี่จะเป็นทรัพย์สินที่ทั้งชีวิตเจ้าก็หาไม่ได้”
“เรื่องมาจนถึงตอนนี้ เจ้ายังอยู่อันดับหนึ่งรายนามดารา” หานเยวียยิ้มเยาะ พูดถากถาง “นั่นเพราะเยี่ยหงฝูกับเฉาหลันไม่อยู่เมืองหลวง พวกเขาไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอม แต่หากเจอกันจริงๆ แค่ออกมือครั้งเดียวก็ตบเจ้าลงจากอันหนึ่งปลอมนี่ได้ คนอื่นไม่รู้ คิดว่าข้าไม่รู้หรือ เจ้าหนิงอี้เป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตกลางเท่านั้น”
หนิงอี้เงียบ
พลังบำเพ็ญเขาเก็บซ่อนมานาน ไม่มีใครมองออก
หานเยวียเป็นคนแรกที่มองออกหลังจากเขาออกจากเขาสู่ซาน
ผู้คงแก่เรียนหรี่ตาลง พูดต่อ “เจ้าไม่มีทรัพยากรก็จะต่างกับอัจฉริยะสุดยอดพวกนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จะพ่ายแพ้ย่อยยับในงานราชวงศ์ใหญ่ จิตมรรคเจ้าจะไม่มีวันได้สงบสุข กลับจากวันล่าเหยื่อครั้งนี้ สิ่งที่หลี่ไป๋จิงมอบให้เจ้าได้ก็แค่ทรัพยากรทะลวงหนึ่งขอบเขตพลัง หากไม่มีคำสัญญาของข้า เส้นทางจากนี้ของเจ้าจะถูกตัดขาด”
หนิงอี้หรี่ตาลง
เขาก็ยังส่ายหน้า เผชิญหน้ากับอันดับหนึ่งแดนบูรพาคนนี้ เขาไม่มีสิทธิ์หยิ่งผยองอะไรเลย ถูกอ่านพลังบำเพ็ญออก หนิงอี้ก็ไม่คิดว่าน่าขายหน้าอะไร
เขาตอบนิ่งๆ “ขอบคุณสำหรับเจตนาดีของคุณชายน้ำค้างมาก แต่ข้าไม่ต้องการ”
หานเยวียหัวเราะ
“ช่างเถอะ อย่างไรก็ได้อยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องเล็ก ตอนนี้ยังเร็วไป…”
“หนิงอี้” เขาถอยหลัง หัวเราะเสียงนุ่มนวล “ข้าจะรอเจ้าที่แดนบูรพา คิดได้เมื่อไรก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
ผู้คงแก่เรียนลอยไปข้างหลัง ร่างชนกับทางขึ้นบันได กลายเป็นหมอกโลหิต ซึมผ่านอาภรณ์ หายไปในอากาศเช่นนี้
หนิงอี้ขมวดคิ้ว
เขาถือป้ายคำสั่งในมือ บีบแตกเบาๆ
……
ข้างนอกลมแรง ฝนก็ตกหนักเช่นกัน
เผยฝานซ่อนใต้ร่ม นางหันไปมองโรงเตี๊ยมที่เหลือเพียงจุดดำกลางพายุฝน คนที่กางร่มให้นางเป็นหญิงงามที่มีใบหน้างดงามและรูปร่างอวบ นางมองตามสายตาเด็กสาว สีหน้านางดูสงบนิ่งดุจสายน้ำ ไม่เกิดคลื่นอารมณ์ใดๆ
“คุณชายของข้าพูดคำไหนคำนั้น ไม่คืนคำเด็ดขาด” หญิงงามหัวเราะเบาๆ “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงความปลอดภัยของท่านนั้นของเจ้า”
เผยฝานเลิกคิ้วงามขึ้น นางพลันหยุดเดิน สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูดอย่างจริงจัง “ส่งตรงนี้ก็พอ”
เถาฮวายกมือข้างหนึ่งมาปิดปากหัวเราะ เสียงหัวเราะดูอบอุ่นและน่าหลงใหลท่ามกลางเสียงฝนตกดัง
นางก้มตัวลงพูดเย้าหยอก “แม่นางน้อยตัวหอมจริงๆ ไปซื้อชาดแบบใดมารึ”
เผยฝานเพิ่งออกจากโรงเตี๊ยมก็เจอ ‘คนใจดี’ ที่จะกางร่มให้ตนส่งตนกลับไปให้ได้คนนี้ มองไกลๆ เป็นหญิงงามที่กระหยิ่มยิ้มย่อง เมื่อได้สัมผัสใกล้ๆ ก็พบว่าหญิงคนนี้มีกลิ่นอายของน้ำหอมเข้มข้น เหมือนจะปกปิดกลิ่นอื่นๆ ต่อให้ฝนตกหนักเช่นนี้ก็ยังไม่อาจลบกลิ่นชาดในตัวนางได้
ดมนานๆ ก็ทำให้รู้สึกอยากอาเจียนเล็กน้อย
เด็กสาวตอบตามจริง “ไม่ได้ใช้ชาด ส่งตรงนี้ก็พอ”
เถาฮวาหน้าเปลี่ยนสีไป สุดท้ายพูดคำว่าดี นางยังไม่ทันส่งร่ม เด็กสาวก็เดินออกจากใต้ร่ม ฝ่าฝนตกหนักเดินย่ำน้ำไป ก้าวเร็วและเล็ก
เถาฮวาหรี่ดวงตาเรียวยาว ปลายร่มปักลงพื้น
หญิงงามลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ยังกัดฟันตามไป
ประกายสายฟ้าพลันผ่าลงมา แผ่นดินเป็นสีขาวเงิน เด็กสาวที่ยกฝ่ามือเนียนนุ่มมาบังหน้าตนวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่รอบเมืองหลวง ถนนใหญ่ตรอกเล็กล้วนเงียบสงัด ประกายสายฟ้าส่องสว่างเมืองเล็กกลางดึกเงียบสงัด
นางเดินบนถนนอย่างรวดเร็ว เลือกถนนเล็กที่ไม่มีคนสัญจรมากที่สุด เหมือนเลือก ‘ที่หลบฝน’ ที่เหมาะสม ทว่าข้างหลังนาง หญิงงามถือร่มคนนั้นลากร่มเดินมาอย่างเงียบเชียบเหมือนควัน
สองคนอยู่หน้าและหลัง
ใบหน้าเผยฝานเฉยชาขึ้นทีละนิด
หญิงแมงป่องอสรพิษ ไม่มีเจตนาดี
เมืองหลวง ชานเมือง เมืองโบราณเล็กใหญ่ตั้งอยู่ในนั้น นี่เรียกว่า ‘เมืองรากษส’ ปกติจะไม่มีใครอยู่ สิ่งชั่วร้ายเรียกว่ารากษส และเหตุใดถึงเป็นสิ่งชั่วร้าย ก็คงมีเพียงตัวสิ่งชั่วร้ายเองที่รู้
เด็กสาวกดมือข้างหนึ่งกลางระหว่างคิ้วของตน
แสงสีแดงนั้นตรงระหว่างคิ้วลุกไหม้ขึ้นช้าๆ เงาเด็กสาวที่วิ่งในตรอกเล็กเมืองรากษสลากเป็นหมอกแดงยาวไม่ขาดในม่านสายฝน
เด็กสาวเข้าตรอกเล็กแล้วก็หมุนตัวกลับมา รอหญิงงามคนนั้นมาเงียบๆ
‘สามเคราะห์สี่หายนะ’ ยอดผู้บำเพ็ญใต้บัญชาหานเยวีย หญิงคนนี้เกิดมาด้วยภาพลักษณ์หายนะ น่าจะเป็น ‘เถาฮวา’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสี่หายนะ
เด็กสาวรออยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่เจอหญิงที่ตามหลังตนมา ตามหลักตอนนี้น่าจะมาอยู่ตรงหน้าตนคนนั้น
เผยฝานมีสีหน้าฉงนเล็กน้อย
……
สุดทางของหมอกแดง ตรงจุดเริ่มต้นที่เด็กสาวกดระหว่างคิ้วตัวเอง
หญิงงามลากร่มเดินมามีสีหน้าตื่นกลัว นางล้มนั่งลงกับพื้น ร่มที่มีระดับไม่ต่ำนั้นเปื้อนน้ำฝนและดินโคลน ลากเป็นร่องเล็กบนพื้น ถูกหยดน้ำฝนบนฟ้ากระแทก จึงกลิ้งไปมาเบาๆ
หมอกแดงรวมกันเป็นบุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์เก่าแก่และเรียบง่าย มองเห็นใบหน้าไม่ชัด และไม่อาจหยั่งเชิงกลิ่นอายพลังได้ อาภรณ์เบาหมอกแดงแกว่งไกวตามสายลม ไม่เปื้อนฝนและสิ่งสกปรก ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนถนนเมืองรากษสเช่นนี้
ไอแห่งมารเงามืดไหลรวมมาจากรอบตัว ทั้งเมืองเล็กถูกเถาฮวาเหนี่ยวนำมาระหว่างทาง กำไว้ในมือ ‘ปราณหยิน’ ที่เตรียมออกมือสังหารไหลหลากมากขึ้นเรื่อยๆ หากปะทุออกมาอย่างแท้จริง จะเป็นศึกของยอดผู้บำเพ็ญเหนือกว่าขอบเขตที่สิบขึ้นไป
ทันทีที่บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์แดงคนนี้ปรากฏตัว ปราณหยินทั้งหมดก็เริ่มสลายไปอย่างเสียการควบคุม
เถาฮวาตัวสั่นอย่างเสียความเป็นตัวเอง
ในที่สุดนางก็เข้าใจคำพูดของคุณชายว่าหมายถึงอะไรกันแน่…เบื้องหลังของเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่แค่เขาสู่ซานกับสำนักศึกษา ผู้มีความสามารถในโลกต้าสุยมีน้อยยิ่ง เป็นดั่งขนหงส์เขากิเลน และเด็กสาวคนนี้มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นผู้สืบทอดที่ผู้มีความสามารถบางคนให้ความสำคัญ
มิน่าคุณชายถึงคิดเช่นนี้…
เถาฮวามองบุรุษเรียบง่ายที่อยู่สูงส่ง พูดเสียงสั่น “คุณชาย ข้าไม่มีเจตนาจะหยาบคาย…ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
บุรุษเรียบง่ายทำเป็นไม่ได้ยิน
หญิงงามใน ‘สามเคราะห์สี่หายนะ’ รู้สึกว่าในทะเลสาบจิตของตนเกิดความหวาดกลัวขึ้นอย่างยิ่ง นางมองเห็นใบหน้ากับพลังบำเพ็ญอีกฝ่ายไม่ชัด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…นี่จะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขอบเขตนิพพานในโลกนี้อย่างแน่นอน!
เด็กสาวที่ดูธรรมดาคนนี้ เหตุใดถึงมีเบื้องหลังใหญ่โตขนาดนี้!
บุรุษเรียบง่ายเคลื่อนไหวช้า ยกมือขึ้นช้าๆ ร่มที่ตกลงร่องน้ำนั้นพลันพุ่งเข้ามือเขา
สั่นข้อมือ ไอแห่งสิ่งสกปรกทั้งหมดถูกชะล้างจนหมดสิ้น เปล่งแสงสว่างในมือบุรุษ
บุรุษเรียบง่ายยกปลายร่มเตรียมจะกดลง
“ท่าน! ข้าเป็นผู้ใต้บัญชาคุณชายหานเยวียแห่งแดนบูรพา…” เถาฮวาร้องอ้อนวอน นางยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ฝ่ามือหันไปข้างนอก กุมแก้ม บนตัวนางจุดที่ถูกส่องแสงจะเกิดการเน่าสลายเล็กๆ ใหญ่ๆ หลายสิบจุด บอกไม่ถูกว่าเป็นปราณกระบี่หรือแสงสว่างทะลวง แค่ลมหายใจเดียวก็ทำให้ยอดผู้บำเพ็ญคนนี้อยู่ในสภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง
พริบตาต่อมา
หญิงคนนี้พุ่งออกไปโดยไม่มีสัญญาณใดๆ ชนกับกำแพงหิน กระแทกหอทั้งหลังถล่มลง
บุรุษเรียบง่ายครุ่นคิดบางอย่าง
ในหมอกแดง เขามอง ‘ผู้คงแก่เรียนสุภาพ’ ที่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าตน
ผู้คงแก่เรียนคนนี้ ยืนอยู่กลางแสงสว่างของร่มเช่นนี้ เป็นสิ่งสกปรก เห็นแสงสว่างไม่ได้ แต่เขากลับเป็นข้อยกเว้น ทำในสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้
หานเยวียก้มตัวลง โค้งตัวคารวะด้วยความเคารพอย่างยิ่ง พูดเสียงนุ่มนวล “คุณชาย ล่วงเกินแล้ว…หลังจากคืนนี้ จะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”
บุรุษเรียบง่ายมีใบหน้าไร้อารมณ์ โยนร่มทิ้ง หันหน้าจากไป หมอกแดงพลันสลายไป
หานเยวียที่ถือร่มด้วยสองมือพลันมีสีหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นมา ผิวฝ่ามือที่ถือร่มเกิดควันขาวลอยโขมง ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่หัวใจ อันดับหนึ่งแดนบูรพาคนนี้รับ ‘การลงโทษ’ ที่ผู้อาวุโสคนนั้นโยนมาให้แล้ว สีหน้าก็กลับมาสงบนิ่งและเฉยชาทีละนิด
เขาก้มหน้ามองเนื้อหนังนี้ที่ตนรักเป็นพิเศษ ฝ่ามือเสียหายประกบกันไม่ได้แล้ว เหลือเพียงกระดูกฝ่ามือที่แห้งและดำเหมือนฟืนแห้ง ตนไม่มีวิชายิ่งใหญ่อะไร ซ่อมแซมไม่ได้อีก ได้แต่ทิ้งไป
เขาเดินมาตรงหอถล่มด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์
หญิงที่มีเลือดและหนองอาบทั้งตัว เหลือเพียงใบหน้าที่สมบูรณ์คนนั้น ร้องไห้น้ำมูกไหล เสียงแหบแห้ง พูดเสียงดัง “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิตไว้!”
หานเยวียเหยียบหน้านาง พื้นดินเว้าลงไปแตกเป็นใยแมงมุมยักษ์ เขาเหยียบไปหลายสิบครั้งจนควันลอยขึ้นมาจากพื้นดิน น้ำฝนระเหยขึ้นมาดังซ่าๆ
หลังทุกอย่างเงียบลง หานเยวียย่อตัวลง ใช้มือที่อาบเลือดของตนจับหญิงที่ใกล้จะหมดลมขึ้นมาอย่างไร้ความสงสาร ถามเสียงเบา “เจ็บหรือไม่”
เถาฮวาพูดไม่ออกแล้ว
“ข้าเจ็บกว่าเจ้าพันเท่า หมื่นเท่า” หานเยวียที่สองมือรับ ‘การลงโทษ’ จากร่มพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าบอกเจ้าแล้ว ถ้าจะไปล่วงเกินเด็กนั่นของหนิงอี้ ได้ แต่อย่าเอ่ยนามฝ่ายแดนบูรพา เจ้าลืมแล้วรึ ชีวิตเจ้ามันไร้ค่า ตายก็ตายไป หรืออยากจะให้ข้าตายไปพร้อมกับเจ้ากัน”
นางไม่เหลือใบหน้าแล้ว เสียงจุกในลำคอ
“ข้า…ไม่เคย…คิด…ว่าจะมีผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้…”
เสียงขาดๆ หายๆ น่าสงสารมาก
“ข้าผิดไปแล้ว…คุณชาย…ข้าผิดไปแล้วจริงๆ…”
หานเยวียได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่นานมาก
ใบหน้าเขาอ่อนโยนขึ้นทีละนิด เขากอดเถาฮวาในอ้อมกอด มือข้างหนึ่งลูบแก้มนางเบาๆ เหมือนมีวิชาสายลมวสันต์เยียวยา ใบหน้าเถาฮวา ทุกครั้งที่ลูบ บาดแผลจะหายไปส่วนหนึ่ง สุดท้ายกลับมาเจ็ดแปดส่วน เพียงแค่ยังมีคราบเลือดอยู่เล็กน้อย
นางร้องไห้โฮเสียงดัง
หลังหยุดร้อง
เถาฮวาพูดด้วยความยากลำบาก “คุณชาย…เบื้องหลังเด็กนั่นเป็นใครในต้าสุยกันแน่”
“ข้าไม่รู้ และก็ไม่อยากรู้” หานเยวียมีใบหน้าเฉยเมย เขาเอ่ยราบเรียบ “จำไว้ อย่าอยากรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ เจ้าล่วงเกินไม่ได้ ข้าก็ล่วงเกินไม่ได้เช่นกัน”
เถาฮวาหลับตาลง
ก่อนจะได้ยินเสียงหานเยวียพูดงึมงำด้วยความสงสัย “ขอบเขตนิพพานของต้าสุย บอกว่าเยอะก็ไม่เยอะ บอกว่าน้อยก็ไม่น้อย…แต่ท่านนี้ ข้าไม่เคยพบมาก่อน”
คุณชายน้ำค้างพูดอย่างเฉยชา “วันนี้พบกัน เขาลงโทษข้าแลกกับปกป้องชีวิตเจ้า ไม่กล้าไม่รับ ‘ผู้คงแก่เรียน’ ร่างนี้ เป็นกายเนื้อที่ข้ารักมากที่สุดในหลอดแก้ว มันเสียหายแล้ว”
เถาฮวาหลับตาลง ใบหน้าแดงเรื่อ พูดเสียงสั่นๆ “กลับแดนบูรพาแล้ว คุณชายจะเฆี่ยนตีข้าอย่างไรก็ได้”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าจะให้เจ้าคงความสาวไปชั่วนิรันดร์ อยู่กับข้าไปทั้งชีวิต” หานเยวียชำเลืองตามองนาง ก่อนจะแค่นยิ้ม “บทเรียนในวันนี้ก็เพื่อให้เจ้ามีสมองขึ้นมาบ้าง แดนบูรพาคือแดนบูรพา เมืองหลวงคือเมืองหลวง ทั้งสองต่างกันราวกับฟ้าดิน ไม่อาจยกมาเทียบกันได้”
เถาฮวาพูดด้วยความคับแค้นใจ “คุณชาย จากนี้เถาฮวาจะระวัง”
หานเยวียตอบอืมเบาๆ
นางลังเลอยู่ชั่วครู่ เหมือนนึกถึงพลังมหาศาลน่าสะพรึงที่บุรุษเรียบง่ายคนนั้นทำได้อย่างง่ายดายบนถนน
นางพิจารณามองสีหน้าของคุณชาย ก่อนพูดอย่างระมัดระวัง “คุณชาย…ท่านเองก็มีวันนี้เหมือนกันรึ”
หานเยวียอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว เขายกมือข้างหนึ่งตรงแก้มเถาฮวา ยิ้มอย่างอ่อนโยน “โลกเมืองหลวงต้องระวังคำพูด อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อย่างนั้น…เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฉีกปากเจ้า”
………………………….
—————————————-