เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 89 คุมกระบี่ท่องหล้า ภูผานทีหมื่นลี้
ตอนที่ 89 คุมกระบี่ท่องหล้า ภูผานทีหมื่นลี้
ชีวิตสงบนิ่งดุจสายน้ำ
เมื่อได้รับการแต่งตั้ง สิ่งที่มาถึงจวนของหนิงอี้พร้อมกันยังมีทองแท้เงินขาว รวมถึงบัตรเชิญเป็นกองใหญ่ดุจน้ำหลาก
ลานบ้านเจ้าสำนักที่ตอนนั้นว่างเปล่า แขวนป้ายว่า ‘ขุนนางรองท่องกระบี่’
หนิงอี้ยกโต๊ะแปดเซียนมาไว้ในลานบ้าน และยังมีเก้าอี้ปรับโยกสองตัว ต้นครามหมื่นปีนั้นที่สวีจั้งชอบมากที่สุด วางไว้บนสันกำแพงที่มีเถาวัลย์ขึ้นเต็มไปหมด ยืนขึ้นยื่นมือถึงจะเอื้อมถึง
เวลาว่าง ในแสงตะวันอบอุ่นช่วงบ่าย บางครั้งหนิงอี้จะถือชาร้อน ยกขาสองข้างสลับกันพาดบนโต๊ะแปดเซียน มองต้นครามหมื่นปีนั้น เหม่อลอย
ใบต้นครามหมื่นปีพลิ้วไหวตามสายลม
ตนนับว่าเป็น ‘ระดับเอกสิทธิ์’ ที่ว่านั่นของเมืองหลวงหรือไม่
หนิงอี้ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง ฉายาขุนนางรองท่องกระบี่ฟังดูน่าสนใจมาก โดยเฉพาะแปดคำ ‘ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า’ คนก่อนที่ได้รับแต่งตั้งแปดคำนี้คือท่านเผยหมิน
กระบี่ยาวนั้นของเด็กสาว ตอนนี้ลอยอยู่ตรงหน้าหนิงอี้
ขอบเขตแรกของนักกระบี่ ปราณกระบี่ออกทวาร หนิงอี้พอจะคุมกระบี่นี้ได้แล้ว ระดับของกระบี่นี้ไม่อาจประเมินได้ แต่ก็ต่างจากพินิจเหมันต์ พินิจเหมันต์เหมาะกับถือไว้ในมือ ชักออกจากฝัก สังหารคน กระบี่ยาวเล่มนี้มีพลังมากและยังหนัก เหมาะจะใช้จิตควบคุมมากกว่า…หากพลังบำเพ็ญวิถีกระบี่ของหนิงอี้สูงกว่านี้หน่อย ขี่ ‘ใต้ฟ้าต้าสุยปราณกระบี่ท่องหล้า’ เล่มนี้ บางทีอาจจะเดินทางหนึ่งวันพันลี้ได้ เหมือนเซียนกระบี่บนผืนปฐพีมากกว่า
นี่เป็นกระบี่ตารางหนาคุณลักษณะเก่าแก่และเรียบง่าย สันกลางเป็นเส้นตรง แนวขวางกว้าง คมแคบ แหลมคมมาก ทำเป็นตารางหนาเว้าลงไป เส้นสายตรง หัวกระบี่แยกกันหลอม กลางรูตรงหัวฝังแก้วใสแวววาว
นี่เป็นกระบี่ตารางหนา ไม่รู้ว่าคุมกระบี่สังหารจะใช้ได้ดีหรือไม่
หนิงอี้ยื่นนิ้วมาข้างหนึ่ง เคาะบนกระบี่ตารางหนาที่ลอยตรงหน้าตนสองทีเบาๆ ฟังเสียงทุ้มต่ำที่ดังมาจากในสันกระบี่ ตัวกระบี่ถูกดีดกับพื้น ลอยขึ้นลงไม่แน่นอน เหมือนหางปลาว่ายน้ำในคลื่น
“ปราณกระบี่ท่องหล้า…” หนิงอี้อ่านนามของกระบี่นี้เบาๆ เขาให้เด็กสาวทำยันต์เล็กยาวมาสองแผ่น บีบเป็นเชือกพันรอบๆ แผ่นหนึ่งเป็น ‘ขนห่าน’ อีกแผ่นคือ ‘เขาไท่ซาน’ กระบี่ยาวเล่มนี้ไร้ชื่อชั่วคราว เด็กสาวให้ตนไว้ หนิงอี้ยินดีเรียกมันว่า ‘ปราณกระบี่ท่องหล้า’ มากกว่า ยันต์สองแผ่นนี้ทำเป็นเชือกพันแล้ว เมื่อปราณกระบี่ท่องหล้าออกจากฝัก หากทำงานยันต์ ‘ขนห่าน’ ก็จะเหยียบตัวกระบี่บินไปได้ วางมาดเหมือนกับ ‘เซียนกระบี่’ พวกนั้นของเขาอนันต์เล็ก
เพียงแต่ว่าหนิงอี้ในตอนนี้ พลังบำเพ็ญปราณกระบี่ยังอ่อนแอ ใช้ ‘ปราณกระบี่ท่องหล้า’ ได้ครึ่งชั่วยามก็ไม่ง่ายแล้ว อีกทั้งความเร็วยังไม่เท่ายอดผู้บำเพ็ญที่ขี่กระบี่บินอย่างแท้จริงพวกนั้นเลย
หลักๆ เป็นเพราะพลังบำเพ็ญแสงดาราของหนิงอี้ต่ำเกินไป มีเพียงขั้นที่หก จำนวนและคุณภาพไม่พอ
การขี่กระบี่บินเป็นสัญลักษณ์ของผู้บำเพ็ญขอบเขตหลัง ด้วยยันต์ขนห่านกับความพิเศษของตัวปราณกระบี่ท่องหล้า ทำได้ถึงขนาดนี้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีเหนือความคาดหมายแล้ว
ยันต์ที่ทำเป็นเชือกอีกแผ่นมีชื่อว่า ‘เขาไท่ซาน’ หากเผชิญหน้ากับศัตรู ก็จะปลุกไท่ซาน กระบี่ยาวเล่มนี้จะหนักอึ้งในทันที
นี่คือความหมายของเด็กสาว
หนิงอี้อย่างไรก็ได้อยู่แล้ว ในกายเขามี ‘ที่ราบกระดูกอยู่’
หนิงอี้ลุกขึ้น หยิบกระบี่ตารางหนาเล่มนี้ลงมา เหมือนคิดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจการแต่งตั้งของท่านนั้นในวังว่าหมายถึงอะไร
เชือก ‘ไท่ซาน’ เชือก ‘ขนห่าน’
อย่างแรกสอดคล้องกับ ‘ใต้ฟ้าต้าสุย’ อย่างหลังสอดคล้องกับ ‘ปราณกระบี่ท่องหล้า’ จักรพรรดิไท่จงคนนี้ ตอนที่ถือกระบี่นี้ในมือ วิธีการใช้ในอดีต…ก็น่าจะเป็นเช่นนี้ ยามที่ถือกระบี่สังหารคนก็หนักอึ้งเหมือนภูเขาเหมือนใต้หล้า ยามขี่กระบี่บินก็จะเบาเหมือนขนห่าน
หนิงอี้มีใบหน้าเรียบนิ่ง ท่านนั้นในวังแต่งตั้งฉายาขุนนางรองท่องกระบี่นี้ และยังให้ขุนนางชราท่านนั้นอธิบายแปดคำนี้อย่างเหมาะเจาะ ไม่ว่าท่านนั้นจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตน รู้เท่าไรก็ตาม
มีอย่างหนึ่งที่เห็นได้ง่ายและชัดเจนคือหากไท่จงจะสังหารตน เช่นนั้นตอนนี้หนิงอี้คงกลายเป็นศพไปแล้ว
หากเป็นแค่เรื่องบังเอิญล่ะ
ตัวตนของเด็กสาวไม่เคยถูกเปิดเผย…การลงมือครั้งนั้นที่จวนภูเขาครามมุทะลุจริงๆ แต่นอกจากตนแล้ว เมืองหลวงมีใครรู้เบื้องหลังของเด็กสาวอีก
หนิงอี้ไม่คิดเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นอีก แต่จะเดินหนึ่งก้าวดูหนึ่งก้าว รถมาถึงหน้าภูเขาต้องมีเส้นทาง เรือมาถึงปลายสะพาน…
“เรือมาถึงปลายสะพาน ก็ไปตายเอาดาบหน้า”
หนิงอี้มีสีหน้าจริงจัง จับ ‘ปราณกระบี่ท่องหล้า’ จับด้วยสองมือยืนนิ่ง บิดเอวยื่นมือไปแทงอากาศ สายลมหนักกระทบเถาวัลย์ในลานบ้าน ยังไม่เสริมปราณกระบี่ ผนังหินก็ถูกถาโถมจนแตกเป็นรอยร้าวรุนแรง
เถาวัลย์ร่วงลงมา
หนิงอี้พ่นลมหายใจขุ่น ยืนนิ่งอีกครั้ง ไม่ใช้เจตจำนงกระบี่คุมกระบี่หนักนี้อีก
เด็กสาวเดินออกมาจากในห้องเล็กข้างหลัง นางใช้สองมือถือเกราะอ่อนเบา ‘เกล็ด’ เล็กและแคบยาว ไม่ใช่กลมแบบเกล็ดปลาเหมือนเดิมอีก แต่ยาวเหมือนใบหลิว หยิบขึ้นมาเหมือนน้ำแร่ตกลงมา แผ่นเกล็ดสีดำเปล่งแสงอ่อนๆ กระทบกันส่งเสียงดังใส
เผยฝานยื่นนิ้วมือมาดีดเกล็ด ปราณกระบี่พุ่งออกไป น้ำตกแสงของเกล็ดที่ห้อยลงมาถูกดีดลอยไปครึ่งส่วนล่าง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแตกหักเลย เกล็ดที่เสริมความแกร่งด้วยการเชื่อมของค่ายกลถูกปราณกระบี่ดีดจนแทบจะแยกจากกัน ดึงออกเหมือน ‘รากบัวขาดและเส้นใยยืดต่อกัน’ ระดับความทนทานน่าตกใจ หลังปราณกระบี่กระจายก็ตกลงมาใหม่ เกล็ดใบหลิวกลับมาในสภาพก่อนหน้านี้ ทั้งเกราะอ่อนกลับมาดังเดิม
“ในหอสมบัติต้าสุยมีอุปกรณ์สำเร็จรูปอยู่ ข้าซื้อมาสามสี่ชิ้น แพงจนน่าตกใจ ชิ้นหนึ่งแปดร้อยตำลึงเงิน” เด็กสาวพูดงึมงำ “เกราะเกล็ดพวกนี้งานดีมาก แต่ใช้ได้แค่กับผู้บำเพ็ญขอบเขตกลาง แทบจะต้านกำลังรบของขอบเขตหลังไม่ได้เลย ปราณกระบี่ของผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดทำลายเครื่องป้องกันทั้งหมดที่เห็นในตลาดตอนนี้ได้ สมบัติของสำนักศึกษาเขาศักดิ์สิทธิ์ใหญ่พวกนั้น ส่วนใหญ่จะได้ปรมาจารย์ค่ายกลรุ่นอาวุโสเสริมความแกร่ง และยังมีดวงจิตอาศัยอยู่ ดังนั้นถึงแข็งแกร่งทนทาน”
“ใช้เวลาไปไม่น้อย…ก็พอจะทำมาได้ชิ้นหนึ่ง น่าจะพอต้านพลังได้บ้าง” เด็กสาวก้มหน้าลง พูดเสียงเบา “นี่…ให้เจ้า”
หนิงอี้รับเกราะเกล็ดมาด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาชมด้วยรอยยิ้ม “สวยจริงๆ สมกับเป็นน้องข้า ไม่ใช่แค่หน้าตางดงาม แต่ยังฉลาดมีฝีมืออีก”
เด็กสาวตอบ ‘อืม’ เสียงเบามาก
“หนิงอี้…” นางลังเลอยู่ชั่วครู่ พลันเอ่ยขึ้น เงยหน้าเค้นรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าอีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องออกไป ข้าจะไม่ตามออกไปแล้ว เจ้าจะได้ไม่กังวล”
ป้ายคำสั่งดอกบัวแดนบูรพานั้นของหนิงอี้ ยกให้นางลบค่ายกล นางเองก็ไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าดอกบัวที่แกะสลักบนป้ายคำสั่งยาวนั้นหมายถึงอะไร
องค์ชายรองทำข้อตกลงกับหนิงอี้ที่จวนภูเขาคราม…ต่อไปจะเป็นวันล่าเหยื่อของต้าสุย
“ร่มกระดาษมันนั่นที่ข้าเตรียมให้เจ้า ก็มีค่ายกลอยู่เช่นกัน…ช่วงนี้เจ้าลองดูแล้วหรือไม่ คิดว่ามีประโยชน์หรือไม่” น้ำเสียงเด็กสาวไม่สงบนิ่งเล็กน้อย
“มีประโยชน์” หนิงอี้ยิ้ม
“ยันต์พวกนั้นล่ะ แล้วก็ม้วนตำรา ดาบยาว ป้ายคำสั่งต้องห้าม…”
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกดศีรษะเด็กสาว เขาเอามือลูบเส้นผมของเผยฝาน ผมยาวสีดำนุ่มของนางมีกลิ่นหอมสดชื่นที่ซึมซาบถึงใจคน
หนิงอี้ย่อตัวลงยิ้ม “เจ้าจะให้ข้าแบกภูเขาไปที่ราบสูงเทพสวรรค์รึ ให้ข้าแบกเจ้าไปแดนอุดรดีกว่า เจ้าสู้เก่งกว่าข้า และยังเข้าใจยันต์ค่ายกล ดีจะตาย”
เด็กสาวทำอะไรไม่ถูกนิดๆ สองมือไม่รู้วางไว้ที่ใด สอดแขนเสื้อ ปลายนิ้วกดกันตรงจุดตัดของปากแขนเสื้อ
นางอยากตอบตกลงมาก แต่ก็ส่ายหน้า พูดอย่างจริงจังทีละคำ “ข้าไปไม่ได้”
หนิงอี้หรี่ตาลง พิจารณามองเด็กสาวเรียบๆ
“ข้าต้องอยู่ในจวน…ข้าต้องอ่านหนังสือ ข้าต้องฝึกวิถีกระบี่ ค่ายกล ฮวงจุ้ย อะไรอีกมากมาย ข้า…ข้ายังต้องรอเจ้ากลับมา”
เผยฝานเสียงเบาลงเรื่อยๆ พูดถึงจนช่วงสุดท้ายก็แทบจะไม่มีเสียงแล้ว
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าเบาๆ เขาลุกขึ้น หันหน้ามา ชัก ‘ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า’ เล่มนั้นออกมา ‘ขนห่าน’ ที่พันด้ามกระบี่ส่งเสียงดังชิ้งๆ กระบี่ยาวลอยขึ้น หนิงอี้ยื่นมือมาลูบ ตัวกระบี่เย็นเหมือนสายน้ำ สะท้อนฟ้าดินเล็กใหญ่ สามพันโลก
หนิงอี้เอามือกดตัวกระบี่ เขามองเผยฝานพลางพูดอย่างจริงจัง “หลับตา”
เด็กสาวอึ้งงัน ทำเสียง ‘หา’ ด้วยความงุนงงเล็กน้อย
จากนั้นนางก็หลับตาลงอย่างเชื่อฟัง
ตัวเบาขึ้น หนิงอี้กอดเด็กสาวเหยียบบน ‘ปราณกระบี่ท่องหล้า’ เขาหัวเราะเย้าหยอกเบาๆ “หนักจริงๆ นะ”
เผยฝานทั้งอึ้งทั้งหน้าแดง ทุบหมัดใส่หน้าอกหนิงอี้ด้วยความโกรธ ทุบจนเด็กหนุ่มหงายไปข้างหลัง ปลายกระบี่ ‘ปราณกระบี่ท่องหล้า’ ชี้ขึ้นฟ้า สองคนแทบจะล้มไปพร้อมกัน
เสียงหนิงอี้หายไปทันควัน
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “กอดข้าไว้ให้แน่น”
พริบตาต่อมา
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งจากในจวนขึ้นฟ้า
กลุ่มคนในเมืองหลวงมองภาพนี้ด้วยความงุนงง
เมืองหลวงต้าสุยห้ามขี่กระบี่ ปราณกระบี่นี้พุ่งขึ้นฟ้า ฝ่าฝืนกฎต้องห้ามของต้าสุยอย่างโจ่งแจ้ง
ทว่าคนใหญ่คนโตสามกรมหลายคนที่เห็นทุกอย่างกลับไม่มีสีหน้าใดๆ เลย ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีทีท่าว่าจะไล่ตามไป ทั้งยังยกมือห้ามองครักษ์เกราะทองที่จะเคลื่อนไหวข้างกายตน
องครักษ์เกราะทองที่ตั้งสติอยู่ชั่วครู่จนเข้าใจว่าปราณกระบี่มาจากจวนใดแล้วก็ปล่อยวางในทันที
ในเมืองหลวงมีคนกลุ่มเล็กที่มีอภิสิทธิ์อยู่จริงๆ และเด็กหนุ่มในจวนนั่น…ตอนนี้อยู่ในกลุ่มนั้น
…….
หนิงอี้กอดเด็กสาว เหยียบกระบี่ยาวบินไปไม่หยุด เมฆและสายลมสองข้างทางพัดเขาจนหรี่ตาลงเล็กน้อย จอนผมปลิวไสว โจวโหยวเคยบอกตนว่าหากเจ้ายืนอยู่สูงพอ เช่นนั้นกฎเกณฑ์ทั้งหมดจะขวางเจ้าไม่ได้
ตอนนี้เขาทำได้แล้ว
สายลมหนาวเหน็บ แสงตะวันส่องยามแรกอรุณ ไม่รู้ลอยขึ้นมาสูงกี่ลี้แล้ว
เหนือกระบี่นี้คือสวรรค์
ใต้กระบี่นี้คือโลกมนุษย์
จิตใจปล่อยวาง
มีคนกอดตน ตะโกนชื่อของตน
เสียงเบาและอบอุ่น
“หนิงอี้”
หนิงอี้เหม่อลอยไปเล็กน้อย
เขาก้มหน้าลงเห็นใบหน้ายิ้มในอ้อมกอด
สายลมหนาวเหน็บ นางยิ้มให้เจ้า
เช่นนั้นภูผานทีหมื่นลี้ พันปีในโลกมนุษย์ ความอิสระในโลกนี้ ความสุข อำนาจจักรพรรดิ ชีวิตนิรันดร์…
เทียบกับดวงตาที่มีรอยยิ้มเจิดจรัสคู่นั้นแล้ว
มันจะเท่าไรกันเชียว
…………………………