เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 79 ปราณกระบี่ยังคงอยู่
ตอนที่ 79 ปราณกระบี่ยังคงอยู่
บนยอดภูเขาคราม
หนิงอี้รวมความเป็นเทพออกมาสุดชีวิตและส่งเข้าไปในร่างเคียงกระบี่ทั้งหมด มือที่ขาดต่อไม่ได้แล้ว แต่ระดับความเป็นรูปปั้นของร่างดีขึ้นเล็กน้อย
ศึกนี้สู้กันดุเดือดเพียงใด ภูเขาครามได้รับผลกระทบอย่างหนัก ต้นไม้และทิวทัศน์โดยรอบพังทลายลง พื้นเต็มไปด้วยใบไม้ปลิวว่อน ระเกะระกะ
หนิงอี้รู้ว่าสภาพดวงจิตของผู้อาวุโสเคียงกระบี่ยังดีอยู่ ตอนนี้ส่งลงเขาก็อาจจะได้พูดกับชนรุ่นหลังของตนอย่างซูมู่เจอกับสุ่ยเยวี่ยแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวได้
ช่วงที่เขาจะแบกเคียงกระบี่ขึ้นหลังนั้น
“บุญคุณของหยดน้ำ ต้องทดแทนด้วยตาน้ำ…” เคียงกระบี่พลันเอ่ยถาม “หนิงอี้ ใครเป็นคนบอกเจ้า”
“ข้ากำพร้าบุพการีมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีครอบครัว ดังนั้นเลยไม่มีใครบอกข้า” หนิงอี้ยิ้ม ไม่คิดเช่นนั้น “คนอยู่บนโลกนี้ ก็ต้องมีปณิธานกันบ้าง ถูกหรือไม่”
เคียงกระบี่เงียบ ปล่อยให้หนิงอี้แบกตน ร่างครึ่งหนึ่งชาไร้ความรู้สึกแล้ว หนิงอี้ย่อตัวลง หยิบแขนขาดขึ้นและยังมีกระบี่สิบสองเล่มที่กลายเป็นกระบี่หิน เมื่อมั่นใจว่าไม่ขาดไปสักเล่มแล้วก็กำไว้ในมือและเริ่มเดินลงเขา
เสียงของเด็กหนุ่มดังแว่วในสายลมสดชื่นบนเส้นทางภูเขา
“ผู้อาวุโส…ท่านรู้หรือไม่ ข้าเกิดมาไม่มีบุพการี ใช้ชีวิตอย่างยากจน หลักการมากมาย ข้าก็ได้มาจากการต่อสู้เป็นตายนอกเขตรกร้างเทือกเขาประจิม และยังมีล้มลุกคลุกคลานในเมืองไร้มลทิน หนึ่งก้าวหนึ่งกองโคลน ได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งเลย”
หนิงอี้แบกเคียงกระบี่ เขารู้สึกว่าคุณชายข้างหลังไม่หนักเท่าไรแล้ว ฝีก้าวสลับไปมาเล็กน้อย เริ่มลงเขา ต้นไม้โดยรอบถล่มลง เป็นสัญญาณว่าภูเขาครามที่มีความอุดมสมบูรณ์ของจวนขานฟ้า ท่ามกลางพายุฝนเมื่อคืนวานได้ถูกถอนต้นไม้โบราณทั้งหมด สิ่งที่สั่งสมมาร้อยปีถูกทำลายในคืนเดียว
เขาพูดเสียงเบามาก “ตอนเจ็ดขวบ ข้าพาเด็กสาวไปหาอาหารนอกอารามโพธิ์ ชีวิตคนไม่สุกงอม หลงทางในหิมะหนักป่าร้างเทือกเขาประจิม ทั้งหิวทั้งหนาว เด็กนั่นหนาวจนหมดสติ ข้าคิดว่าข้าจะตาย…”
หนิงอี้ชะงักไป สีหน้าไม่ได้เป็นทุกข์ แต่มีความโล่งอก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “มีคนชราช่วยเราไว้ ไม่ใช่แค่ให้เครื่องนุ่งห่มกับข้า แต่ยังให้ธนูล่าสัตว์ข้า เขาสอนข้าล่าสัตว์ในวันหิมะตกหนัก ในพื้นหิมะมีทุกอย่าง กระต่ายหิมะเจ้าเล่ห์ หมูโง่ที่ดูไม่มีพิษมีภัยแต่ความจริงดุร้าย แล้วก็หมาป่าหิมะที่จะเดินทางเป็นฝูง…เขาสอนทักษะการล่าสัตว์กับข้า”
เคียงกระบี่พูดด้วยรอยยิ้ม “เขาเป็นคนดี”
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” หนิงอี้พูดเสียงเบา “หากเขาไม่คิดจะลักพาตัวเด็กนั่นไปขายล่ะก็ ข้าคงคิดจริงๆ ว่าเขาถูกส่งมาจากฟ้า มาช่วยชีวิตข้า”
เคียงกระบี่เงียบ
“วันนั้นข้าสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา พบว่าเด็กนั่นหายไป ข้าเดินไปตามรอยเท้า” หนิงอี้พ่นลมหายใจยาว นัยน์ตามีความเจ็บปวดเล็กน้อย “ข้าเห็นเด็กนั่นถูกเขาจับบ่าไว้ ข้าคิดว่าเขาแค่จะพานางออกไปเดินเล่น แต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมาเลย…ข้าตามอยู่นานมาก จนพบว่าเขาเป็นคนน่ารังเกียจ”
“ข้าฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ทันระวังยิงใส่ต้นขาเขา จากนั้นยิงเอวเขา” หนิงอี้กำกระบี่หินสิบสองเล่มพลางกัดฟันพูด “เขาช่วยชีวิตข้า ดังนั้นข้าเลยไว้ชีวิตเขา”
“จากนั้นข้าไปเมืองไร้มลทิน ไปเป็นศิษย์ในร้านช่างตีเหล็ก เถ้าแก่รับข้าเป็นศิษย์ ให้แค่เงินค่าอาหาร เด็กนั่นสุขภาพอ่อนแอขี้โรค มีตัวตนพิเศษข้าเลยไม่พานางเข้าเมือง ต้องระวังไปเสียทุกอย่าง จะให้ใครพบไม่ได้ กลางวันต้องดูแลนาง กลางคืนจนถึงดึกแอบไปทำงานในเมือง งานที่ไม่มีใครทำในร้าน พวกงานสกปรกและเหนื่อยพวกนั้น กองมาให้ข้าทำทั้งหมด”
หนิงอี้เอ่ยเรียบๆ “ข้าได้เงินค่าจ้างแค่ส่วนหนึ่ง แต่ทำงานของคนสองสามคน ข้าแค่มาถึงร้านตีเหล็กตอนดึกเท่านั้น อาจารย์คนแรกบอกว่าข้าตัวเล็ก เลยกึ่งๆ ให้ทานให้หมั่นโถวข้ามาลูกหนึ่ง หลังเรียนวิชานี้จบก็เปลี่ยนไปอีกหลายร้าน สุดท้ายไม่มีใครยินดีรับข้า…หน้าหนาวปีที่สอง ข้าก็ผ่านมาได้”
“ถึงช่วงสุดท้าย ข้าก็เข้าใจ ข้าต้องพาเด็กนั่นไปเมืองหลวง หากต้องกังวลกันทุกฤดูหนาวที่มาถึง…” หนิงอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเสียงเบา “ข้าเกรงว่าคงทำตามคำสัญญานี้ไม่ได้”
“ผู้อาวุโส ท่านรู้หรือไม่”
หนิงอี้พูดครั้งที่สอง น้ำเสียงมีความเศร้า
“มีวันหนึ่งข้ากลับมาตอนกลางดึก ข้าเห็นเด็กนั่นคุกเข่าในอารามขอพรพระโพธิสัตว์ ขอพรเทพเซียน นางบอกว่า…นางหวังให้พี่ชายอยู่ดีมีความสุข หวังว่าจากนี้หน้าหนาวจะอุ่นขึ้นมาบ้าง ไม่อยากให้พี่ชายหนาว”
“ข้าไม่เชื่อพระโพธิสัตว์ และก็ไม่เชื่อเทพเซียน” หนิงอี้พูดด้วยน้ำเสียงเป็นทุกข์เล็กน้อย “ข้าเคยขอมาหลายครั้งก็ไม่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์…ในช่วงเข้าตาจนหลายต่อหลายครั้ง ในช่วงที่ความตายมาเยือนไม่รู้กี่ครั้ง ขอแค่มีคนใจดี ต่อให้มีแค่คนเดียว หากเขายินดียื่นมือมาช่วยข้าโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน ข้าก็จะเชื่อว่าพระโพธิสัตว์มีจริง เทพเซียนมีจริง”
“แต่ว่า ไม่มีเลย…” เสียงของหนิงอี้เบาลง เขาส่ายหน้า “ไม่มีเลยสักคนเดียว”
เสียงของเคียงกระบี่อ่อนแรงมาก
“แม้จะผ่านไปนานมาก และข้าไม่เคยเห็นใต้ฟ้าในตอนนี้…” เขาพูดเสียงเบามาก แต่กลับแน่วแน่มาก “แต่โลกนี้ก็ไม่ได้มืดมิดขนาดนั้น”
“ใช่” หนิงอี้ยกๆ รูปปั้นหินข้างหลังด้วยรอยยิ้ม เขาพูดเสียงเบา “จากนั้น ข้าก็เจอศิษย์พี่สวีจั้ง เจอคนพวกนั้นของเขาสู่ซาน…โลกนี้ ความจริงแล้วน่ารักมาก”
“ข้าเคยอยู่เขาน้ำค้างเล็กมาหนึ่งปี อ่านคัมภีร์พลิกกลับของคุณชายเจ้าหรุย เขาบอกว่าขอบเขตวิถีกระบี่ของนักกระบี่ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นคนแบบใด” หนิงอี้นิ่งไปสักครู่ ก่อนพูดต่อ “กระบี่ตัดทุกสิ่งกีดขวางในโลกได้ มีเพียงใจคนที่ตัดไม่ได้”
“ใช่”
“ดังนั้นข้าเคยถามตัวเองว่า อยากจะเป็นคนแบบใด…”
“เจ้าอยากเป็นคนแบบใด”
“ข้าอยากเป็นคนดี และก็อยากเป็นคนเลว”
เคียงกระบี่เลิกคิ้วขึ้น
“คนที่ดีกับข้า ข้าจะดีกับเขาคืนหลายสิบเท่า บุญคุณของหยดน้ำต้องทดแทนด้วยตาน้ำ มีคนยินดีสวมชุดคลุมหนาให้ข้าในวันหนาวจัด ข้าก็ยินดีจะสร้างบ้านให้เขาในวันข้างหน้า” ตอนเอ่ยคำพูดนี้ สีหน้าหนิงอี้ไม่มีความหวั่นไหวอีก เหมือนพูดเรื่องที่ไม่ใส่ใจ ถามเบาๆ “นี่ถือว่าเป็นคนดีหรือไม่”
เคียงกระบี่ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “ถือว่าใช่”
น้ำเสียงหนิงอี้เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก “ส่วนพวกสุนัขแมลงวันที่วางแผนการร้ายลับหลังคนอื่น ไม่มีเจตนาดี คิดจะเอากันถึงตาย สักวันหนึ่งข้าจะคืนสนองให้เป็นเท่าตัว จะไม่ให้อภัยเด็ดขาด”
เขารู้ว่านี่ถือว่าเป็นคนเลวแล้ว จึงไม่ได้ถาม
“ข้าไม่สนใจชื่อเสียงติชมของโลกนี้ ข้าสนใจแค่คนรอบตัวข้าอยู่ดีหรือไม่” หนิงอี้แบกเคียงกระบี่ มองเส้นทางภูเขาข้างหน้า เดินลงไปช้าๆ เอ่ยมาทีละคำ “กฎกับกรอบพวกนั้น ล้วนไม่สำคัญ”
เคียงกระบี่มองเด็กหนุ่มที่หันหลังให้ตน ในดวงตาเขามีความซับซ้อน
ในตัวเด็กหนุ่มคนนี้มีเงาของตนอยู่เล็กน้อย
โลกใช้ความเจ็บปวดจุมพิตข้า ข้าจะไม่กอดโลกและตอบแทนอย่างอ่อนโยน
บุญคุณส่วนบุญคุณ ความแค้นส่วนความแค้น มีคุณทดแทนคุณ มีแค้นต้องชำระ
หลักการเช่นนี้…ถูกต้องหรือไม่
ถูก หรือไม่ถูก
โลกนี้ไม่เคยมีคำว่าถูกผิด
แต่บางครั้งการเลือกที่สุดโต่งจะทำให้คนเดินบนเส้นทางที่สุดโต่ง หันกลับมาไม่ได้อีก
ดวงจิตของเคียงกระบี่พร่าเลือน เหมือนนึกถึงเรื่องที่ห่างไกลและหันกลับไปไม่ได้อีก
เขาขมวดคิ้ว รู้สึกเจ็บปวดในใจ
ผิวหนังตามตัวเริ่มกลายเป็นดินโคลน หลังจากจบศึกใหญ่ เดิมทีความเป็นเทพของหนิงอี้คงอยู่ได้ไม่นานแล้ว ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายลงอีกครั้ง
เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว
เคียงกระบี่ครุ่นคิด
…….
เดินไปได้ระยะหนึ่ง
มีเสียงเบาดังมาจากข้างหลัง
“หนิงอี้…หยุด”
เด็กหนุ่มหยุดเท้าด้วยความงุนงง เสียงของเคียงกระบี่ข้างหลังมีความเจ็บปวดเสี้ยวหนึ่ง เขาวางรูปปั้นหินลงพื้นเบาๆ
กระบี่หินยี่สิบเล่มในมือเริ่มมีฝุ่นร่วงลงมา
หนิงอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย
นี่คือสัญญาณว่าดวงจิตกำลังสลายไป
“ผู้อาวุโส…” เขาร้อนใจนิดๆ หันไปมองเส้นทางหินข้างหลังทีหนึ่ง เส้นทางภูเขาครามยาวมาก ตัวภูเขาสูงตระหง่าน ตนแบกรูปปั้นเคียงกระบี่มาไม่ง่าย ต่อให้เร็วกว่านี้ก็อาจจะไม่ทันพบหน้ากับสุ่ยเยวี่ยแห่งสำนักศึกษา
“ช่วยไม่ได้นะ”
เคียงกระบี่แบมือ มือนั้นที่เหลืออยู่ ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยดินแล้ว
“กฎของสำนักศึกษาอยู่ที่นั่น หลังจากจบศึกในวันนี้ ถ้ำกวางขาวมีหรือไม่มีข้า…ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
เคียงกระบี่หัวเราะเบาๆ
“หนิงอี้” เขาพูดอย่างจริงจัง “ข้าอยากถามเจ้าอย่างหนึ่ง”
หนิงอี้สับสนเล็กน้อย
“หากวันหนึ่ง เจ้าปฏิบัติตามหลักการที่ตนเชื่อมั่น เดินไปจนสุดทางแล้วพบว่าตนพลาด…จะทำอย่างไร”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว “หากพลาด…เช่นนั้นก็ต้องจ่ายให้กับความผิดพลาดของตนเอง”
“ราคาต้องจ่ายบางอย่าง เจ้าก็แบกรับไม่ไหว” เคียงกระบี่พูดนิ่งๆ “เจ้าก้มหน้าลง”
หนิงอี้ไม่ปฏิเสธ เขาก้มหน้าลงอย่างว่าง่าย
เคียงกระบี่งอนิ้วหนึ่ง กดตรงหน้าผากหนิงอี้เบาๆ
หนิงอี้หรี่ตาแคบลง
บุรุษหนุ่มตรงหน้า เศษหินที่เกาะตามตัวลุกลามไปอย่างรวดเร็วยิ่ง สุดท้ายกลายเป็นรูปปั้น จากนั้นปราณกระบี่ในกายสั่นไหว
ทำลายรูปปั้นจากในไปสู่นอก เศษหินกระจายเต็มพื้น
หนิงอี้ยืนเหม่อลอย
ในทะเลสาบจิตของตน นักกระบี่หนุ่มที่ยังอยู่ในท่ากดนิ้วมือคนหนึ่ง ดึงนิ้วมือนั้นกลับมาช้าๆ ตั้งไว้ตรงหน้าอก อีกมือวางตรงหน้าตัก ร่างนั่งบนกระบี่ล้ำค่าสามเล่มสูง
เขาหลับตา กลิ่นอายพลังในกายดับลงแล้ว
ความเป็นเทพไม่พอ ดวงจิตคงอยู่เนิ่นนาน
กลอุบายกระบี่ซ่อนของยอดนักกระบี่เหมือนกับคลังสมบัติแห่งกระบี่ของเด็กสาว เก็บเมล็ดเป็นฟ้าดิน
เสียงของเคียงกระบี่ดังก้องในทะเลสาบจิตของหนิงอี้
“จากนี้เส้นทางยาวไกล หากเจอเรื่องอะไรที่เจ้าไม่มีกำลังจัดการได้…จงจำไว้ ปราณกระบี่ยังคงอยู่”
……………………………..