เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 310 ศิษย์พี่ศิษย์น้อง
ตอนที่ 310 ศิษย์พี่ศิษย์น้อง
กลางพายุหิมะ
สวีไหลยื่นมือออกไปช้าๆ ด้วยใบหน้าสุขุม
คว้ายอดเหมันต์ที่กลับเข้าฝักนั้นไว้
ชีวิตนิรันดร์คือกระบี่ที่อยู่สันโดษ เป็นฝักกระบี่ของยอดเหมันต์ รับกับรูปกระบี่ยอดเหมันต์ หลายปีมานี้ กระบี่ยอดเหมันต์ออกจากฝักสังหาร ไม่ว่าจะสังหารศัตรูหรือไม่ แกนกระบี่ที่รวมขึ้นจากพายุหิมะบริสุทธิ์นั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วมาก
หากไม่มีฝักกระบี่ชีวิตนิรันดร์รักษา ยอดเหมันต์คงแตกสลายไปไม่ฟื้นกลับมาตั้งนานแล้ว
สวีไหลเอ่ย “ศิษย์พี่ ตั้งแต่วันนั้นที่ออกจากทะเลสาบกระบี่ ข้ารอวันนี้มานานแล้ว”
หลิ่วสือเพียงแค่เงียบ
เพราะหลักการบำเพ็ญไม่ตรงกัน และยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายสวีไหลจากไป
มีจากกันก็มีพบกันใหม่
หลังหลิ่วสือเก็บหลิ่วสืออีกลับมาก็รู้ว่าจะมีวันนี้ ศิษย์น้องของตนกลับมาจากทะเลตะวันตก วาดจุดจบให้กับหลักการบำเพ็ญของสองฝ่าย
“ข้าทำพลาดเพียงอย่างเดียว…คือเอาชีวิตนิรันดร์ไป” สวีไหลมีสีหน้าเศร้าเล็กน้อย “แม้อาจารย์จะไม่เข้าใจข้า แต่ก็ไม่เคยทำไม่ดีกับข้า บทสรุปของเมืองหลวงเป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึง”
หลิ่วสือเผยแววตาตกใจเล็กน้อย
ยืนตรงข้ามกัน ห่างกันจั้งหนึ่ง เขาเห็นชัดเจนว่าชุดดำของสวีไหลพองขึ้นเพราะคลื่นลม
ฝ่ามือสวีไหลเกิดเศษน้ำแข็งเกาะหลายชั้น
นักกระบี่ทะเลตะวันตกที่ใบหน้าเยาว์วัยเหมือนตอนจากไปมองศิษย์พี่ของตนก่อนพูดนิ่งๆ “ข้าเคยบอกว่าได้ยอดเหมันต์แล้ว ข้าจะวาดบทสรุปของเรื่องนี้”
หลิ่วสือหรี่ตาลง
สวีไหลถือยอดเหมันต์ประกบฝักเดินหนึ่งก้าวกลางหมอก
พุ่งไปหาหลิ่วสือในระยะใกล้แค่เอื้อม แต่กลับไม่แทงหลิ่วสือ กระบี่นี้ถูกบุรุษชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้มคว้าไว้ได้อย่างมั่นคง
หลิ่วสือรับยอดเหมันต์ที่พุ่งออกจากในฝักกระบี่ชีวิตนิรันดร์ด้วยสีหน้าซับซ้อน ยอดเหมันต์หลังประกบฝักแล้ว รอยแตกถูกซ่อมแซมกลับมาดังเดิม แค่ไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ รอยที่ถูกเผยหมินดีดนิ้วแตกในตอนนั้นก็ถูกลบหายไป
บาดแผลกระบี่ในคืนโลหิตเมืองหลวงตอนนั้น หากมีชีวิตนิรันดร์รักษา ก็จะไม่เป็นอะไร…
หากตอนนั้นอาจารย์มียอดเหมันต์สมบูรณ์ บทสรุปต้องไม่ใช่แบบนี้แน่
หลิ่วสือสูดลมหายใจเข้าลึก มองศิษย์น้องของตน “เจ้า…”
สวีไหลถือกระบี่ด้วยมือเดียว ปลายกระบี่ชี้ศิษย์พี่พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ศิษย์เจ้าแพ้ให้ศิษย์ข้า แต่นี่ยังไม่พอ”
นี่ยังไม่พอ…
หลิ่วสือถือร่างกระบี่ยอดเหมันต์เงียบๆ ยืนตัวตรง เหยียดสันหลังตรง
ชุดคลุมเต๋าโบกสะบัด
พลังกระบี่ในตัวสวีไหลกระเพื่อมไม่หยุด เศษหินบนพื้นถูกกระเทือนขึ้นไม่หยุด
เขาพูดมาทีละคำ “หลิ่วสือ…เจ้าได้คำสอนทั้งชีวิตของอาจารย์ เจ้าเข้าเมืองหลวงได้โชควาสนาที่หุบเขานิรันดร์ เจ้าเป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ ศิษย์พี่…เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกวันที่ข้าฝึกบำเพ็ญที่ทะเลตะวันตก ในหัวข้าคิดอะไร”
สวีไหลยิ้ม “ข้าไม่ริษยาทุกอย่างที่เจ้ามี แต่พวกนี้ควรเป็นของข้า”
หลิ่วสือไม่ปฏิเสธ
ตอนนั้นสองคนแก่งแย่งชิงกัน หากไม่ใช่เพราะสวีไหลเสนอแนวคิดข้ามพลังบำเพ็ญฝึกฝนที่ผิดไปจากหลักการเดิม ทั้งยังมีใจฝึกเพียงลำพัง เช่นนั้นบทสรุปสุดท้าย…น่าจะเป็นสวีไหลที่เป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่มากกว่า
อาจารย์ชอบศิษย์น้องที่หนุ่มและฉลาดกว่าคนนั้น
ใครจะไม่ชอบสวีไหลแบบนั้นบ้าง
น่าเสียดายที่หนุ่มเกินไปจึงเดินผิดทางได้ง่าย
เพราะเดินไปได้เร็วกว่าจึงลืมเจตนาเดิมของตน แต่กลับยิ่งเดินยิ่งไปไกล ยิ่งเดินก็ยิ่งเอียง
ในสายตาเขา ศิษย์น้องสวีไหลก็เป็นคนแบบนี้
เพียงแต่ตอนนี้ ตนมองผิดไปหรือ
หลิ่วสือหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด
เขาครุ่นคิดอย่างหนักถึงคำถามนี้ ก็ไม่เคยได้คำตอบเลย
ฟ้าเหนือวิหารผู้คุมกฎบนยอดเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่ มีเสียงทะลวงอากาศรวดเร็วและดุดันพุ่งเข้ามา
หลิ่วสือไม่ได้ลืมตา
เป็นเสียงของปราณกระบี่
สองคนถือกระบี่แบบเดียวกัน ปลายกระบี่ชีวิตนิรันดร์กับยอดเหมันต์กดลง ชี้พื้น
เหนือศีรษะทั้งสองคน ปราณกระบี่นับพันนับหมื่นตกลงมาเหมือนน้ำตก ปกคลุมทั้งวิหารใหญ่
ตะเกียงกระดาษมันที่รวมจากวิชาพันโชค ดวงตาใหญ่ที่แต่งแต้มด้วยน้ำหมึกนั้นพลันเบิกโต ส่งเสียงแปลกๆ ทั้งตะเกียงพลันแตกออก กลายเป็นปราณกระบี่นับไม่ถ้วนกระจายออกมา
ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดาราสองคนไม่กดพลังบำเพ็ญอีก ทำการต่อสู้กันด้วยวิถีกระบี่
เพราะอยู่บนเขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่ สองคนจึงย่อสถานที่ตัดสินมาอยู่ในวิหารผู้คุมกฎอย่างรู้กัน
สวีไหลมีใบหน้าไร้ความรู้สึก
ปราณกระบี่ในตัวเขาหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย
นี่ไม่ใช่วิถีกระบี่ของตำหนักทะเลสาบกระบี่แล้ว เขาข้ามพลังบำเพ็ญฝึกฝนตลอด ด้วยพรสวรรค์ พลังบำเพ็ญจึงเร็วยิ่ง ตอนหนุ่มก็เดินมาถึงราชันดาราแล้ว ต่อให้วางในตอนนี้เทียบกับคุณชายโจวโหยวที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของสำนักเต๋า ช่วงเวลาบรรลุราชันดาราก็ไม่ต่างกันมาก
ต้องรู้ว่าโจวโหยวอายุสามสิบก็จุดดาราชะตาสามดวงแล้ว ขึ้นไปสูงถึงระดับที่บางคนต้องฝึกสองร้อยปีกว่าจะไปถึง ได้รับขนานนามว่าราชันดาราที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าสุย
วัดที่ความเร็วในการบำเพ็ญ ต่อให้เป็นเทพธิดาเขาลั่วเจียฝูเหยาก็ทิ้งไปไม่เห็นฝุ่น
เมื่อนึกดูดีๆ เรื่องการข้ามพลังบำเพ็ญฝึกฝน สวีไหลแห่งทะเลตะวันตก ตอนฝึกที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็กินโอสถตลอดและยังมีพรสวรรค์ของตัวเขาเองทำให้เดินไปบนเส้นทางบำเพ็ญได้รวดเร็วยิ่ง หลายสิบปีมานี้ให้ความสำคัญกับการยกระดับพลังบำเพ็ญ จนในที่สุดก็สำเร็จเป็นราชันดารา…ทว่าพยายามมากขนาดนี้ กลับไม่เร็วเท่าโจวโหยว
เจ้าตำหนักนภาม่วงที่อายุน้อยที่สุดของสำนักเต๋าคนนั้นเป็นอัจฉริยะของจริง
บนเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่ตอนนี้
เสาโบราณที่ตั้งเต็มวิหารผู้คุมกฎ ต่างส่องแสงสว่าง ความเย็นเยือกหายไปทั้งหมด
ปราณกระบี่หนาวเยือกนับไม่ถ้วนตกลงมาจากในตะเกียงกระดาษมันแตกนั้น เหนือศีรษะสวีไหลดูเหมือนดวงตะวันใหญ่ ค่อยๆ เปล่งแสงตะวันที่ส่องโลกหล้าทีละนิด
ชุดดำโบกสะบัด
สวีไหลชูกระบี่ขึ้นสูง
ชีวิตนิรันดร์อยู่ในมือ หลายปีมานี้ เขาฝึกกระบี่ที่ทะเลตะวันตกก็เพื่อรอวันนี้
เอาชนะศิษย์พี่หลิ่วสือของตน
ตรงหน้าสว่างจ้าขึ้น
แสงกระบี่แสบตาตกกระทบพื้นวิหารผู้คุมกฎเหมือนพายุฝน เด้งขึ้นมาดังปุงปัง แสงสว่างจ้าบดบังม่านตา
เขารู้สึกได้ว่าปราณกระบี่ทุกสายแทงใส่ศิษย์พี่ของตน
สวีไหลขมวดคิ้ว
เขากลับไม่ได้ยินเสียงชุดคลุมเต๋าขาดหรือเสียงเลือดสาดกระจายเลย จนเมื่อปราณกระบี่ที่ตนสั่งสมในตะเกียงพันโชคมานานหมดไป
วิหารผู้คุมกฎกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
แสงสว่างร้อนแรงก็หายไปทีละนิด
สองข้างเสาโบราณ ร่างเงานั้นยังยืนอยู่กลางหมอกสีขาวพวยพุ่ง
เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นบนชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้ม
นี่คือเพลิงมรรค
ตอนที่ราชันดาราลองทะลวงขอบเขตนิพพาน เพลิงมหามรรคจะลุกไหม้ขึ้น
สวีไหลหรี่ตาลง…ตอนถูกขังในแดนเทวายอดเหมันต์ หลิ่วสือก็มีเพลิงมรรคลุกไหม้เช่นกัน เดิมทีสวีไหลคิดว่านี่คือกลอุบายที่หลิ่วสือใช้ต้านความหนาวเหน็บ ตอนนี้ดูแล้วเหมือนสถานการณ์จะไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
เพลิงมรรคลุกไหม้ในหมอกหนาว
“ตอนอยู่แดนเทวายอดเหมันต์ ข้าเคยถามตัวข้าเอง…”
เสียงหัวเราะอ่อนแรงดังมาจากในหมอก
“ข้าผิดหรือไม่”
สวีไหลเพ่งสายตามองแสงกระบี่เต็มฟ้าวิหารผู้คุมกฎพุ่งเข้าไปในชุดคลุมเต๋าบางสีฟ้าเข้มนั้นทั้งหมด บุรุษผอมคนนั้น ตรงบ่า ท้องและทุกที่จึงถูกปราณกระบี่แทงไปหมด แต่ละเล่มแข็งตัวเหมือนกับหนาม
แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมา
เพราะในชุดคลุมหลิ่วสือ ในเลือดเนื้อและกระดูกมีเพลิงมรรคของการก้าวสู่ขอบเขตนิพพานลุกโชนอยู่
ปราณกระบี่ของชีวิตนิรันดร์แทงทั่วร่างบุรุษชุดคลุมเต๋า บนตัวกระบี่แข็งตัวมีเพลิงสีฟ้าเข้มลุกไหม้ ความจริงนี่เป็นภาพที่งดงามมาก
แต่สวีไหลกลับยิ้มไม่ออก
หลิ่วสือถือร่างกระบี่ยอดเหมันต์หนาวสุดขั้วนั้นไว้ เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง “แต่ว่าศิษย์น้อง…ข้าพลันเข้าใจหลักการหนึ่ง โลกนี้ไม่มีเรื่องถูกผิด ตอนนั้นข้ากับอาจารย์ยึดมั่นมากเกินไป ไม่มีใครกำหนดได้ว่าเส้นทางบำเพ็ญต้องเดินอย่างไร…”
บุรุษชุดคลุมเต๋ายังคงยิ้ม เขาพูดเสียงเบา “ตั้งแต่ขอบเขตแรกไปจนถึงขอบเขตที่สิบ ถึงดาราชะตา ถึงนิพพาน…การบำเพ็ญเป็นเช่นนี้หรือ จะต้องเป็นเช่นนี้แน่หรือ ความจริงข้าควรจะเข้าใจตั้งนานแล้วว่า…บุรุษที่ชื่อสวีจั้งคนนั้นเดินไปอีกเส้นทาง”
สวีไหลเหม่อมองศิษย์พี่ของตน
หลิ่วสือพลันกระแอมไอด้วยความเจ็บปวด เอามือข้างหนึ่งปิดปาก เลือดเหนียวข้นไหลมาตามซอกนิ้วมือ ยังไม่ทันตกลงพื้นก็ถูกเปลวเพลิงเผาเป็นความว่างเปล่า
สวีไหลพลันความคิดว่างเปล่าขึ้นมา
ศิษย์พี่ของตนจะทะลวงราชันดาราแล้วรึ
นิพพาน…นี่กำลังนิพพานหรือ
เรื่องนิพพานนั้นอันตรายมาก หากบุ่มบ่าม จะตายสิบไม่มีรอดสักคนเดียว
หลิ่วสือคว้ายอดเหมันต์
เขาหอบหายใจแรงพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “แดนเทวายอดเหมันต์หนาวกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลย…ดังนั้นข้าเลยจุดเพลิงมรรค และไม่คิดจะดับมัน”
เขากำลังจะนิพพานจริงๆ!
สวีไหลเหม่อลอย ก่อนจะพูดเสียงเย็นชาขึ้นมาทันที “หลิ่วสือ เจ้าบ้าไปแล้วรึ”
“หากไม่จุดเพลิงมรรค ข้าคงสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ…” หลิ่วสือพ่นลมหายใจด้วยรอยยิ้ม เขาเอ่ยเบาๆ “มีแต่คนบอกว่านิพพานยากเหมือนขึ้นสวรรค์ ตอนนี้ดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…แต่จะล้มเหลวหรือไม่นั้นไม่ทันคิดแล้ว ข้ารู้แค่ว่านี่เป็นเรื่องดี
ข้าเข้าใจอะไรหลายอย่าง และเห็นอะไรหลายอย่าง ศิษย์น้อง การกดพลังฝึกฝนเป็นกฎพันปีของตำหนักทะเลสาบกระบี่…เจ้าบอกว่าข้าผิด แต่ข้าจะบอกเจ้าว่า”
หลิ่วสือพูดทีละคำ “ข้าไม่ได้ผิด…ศิษย์เจ้ากับข้าได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว”
เขากำกระบี่ยอดเหมันต์ไว้แน่นก่อนจะปักลงพื้น
ปราณกระบี่ยอดเหมันต์ถาโถม ตัวกระบี่ชีวิตนิรันดร์ที่แทงทั่วชุดคลุมเต๋าแตกออกเช่นนี้
ใบหน้าหลิ่วสือไม่ขาวซีดอีก แต่กลับมาสดใส เหมือนอาการก่อนตาย
เขาพลันพูดเสียงดัง “ขอบคุณราชันดาราพันกรที่ออกมือกำจัดศิษย์ชั่วในทะเลสาบกระบี่!”
สวีไหลยังไม่ทันได้สติกลับมาจากคำพูดของหลิ่วสือก็อึ้งงันไป
จากนั้นเสียงสตรีที่เบายิ่งก็ดังขึ้นในวิหารผู้คุมกฎราวกับสายลม
“เจ้าตำหนักหลิ่วสือไม่ถือสาก็ดีแล้ว”
พริบตาต่อมาก็ปรากฏคนห้าคนขึ้นในวิหาร
ชุดคลุมใหญ่สีขาวดำยังพลิ้วไหวกลางอากาศ
หลิ่วสืออียกสองมือขึ้นอย่างไม่ลังเล โยน ‘ของ’ หนักอึ้งออกไป
สวีไหลจ้องชุดคลุมใหญ่สีขาวดำนั้นพลางรู้สึกขนลุก นี่มันพลังบำเพ็ญใด ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะตรวจจับไม่ได้เลย
กว่าเขาจะรู้ตัว ก็รับ ‘ของ’ ที่คนคลั่งกระบี่ชุดขาวโยนออกมาแล้ว พอเพ่งสายตามองถึงรู้ว่าไม่ใช่อะไร แต่เป็นศิษย์ของตนฉาวลู่…เขาพลันมีสีหน้าซับซ้อนขึ้นมา
ในตัวศิษย์ของเขามีพลังปราณกระบี่เฉพาะของตำหนักทะเลสาบกระบี่เหลืออยู่…ตะเกียงพันโชคถูกฟันขาด มิน่าถึงขาดการติดต่อกัน
ฉาวลู่…แพ้หรือ
………………………………