เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 305 มืดครึ้ม
ตอนที่ 305 มืดครึ้ม
ณ แม่น้ำใหญ่หลีเจียง ปราณกระบี่ส่งเสียงร้องดัง
ตะเกียงกระดาษมันที่ดูดแสงดาราไม่หยุดถูกปราณนิรันดร์พุ่งเข้าใส่จากก้นแม่น้ำ แทงใต้ตะเกียงอย่างราบรื่นยิ่ง แสงดาราที่กว่าจะรวมถึงขอบเขตที่สิบไหลออกมาเหมือนน้ำตก
ทั้งแม่น้ำใหญ่ เกิดไอหิมะโหมกระหน่ำ
การรวมพลังของวิชาพันโชคต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ต่อให้ตะเกียงแตก การจะกลับไปขอบเขตที่สิบอีกครั้งก็มีทางเป็นไปได้อยู่…เพียงแต่สถานการณ์ตอนนี้จะรวมพลังต่อไปได้ง่ายๆ หรือ
หญิงทะเลตะวันตกลูบคลำตรงตำแหน่งกระบี่ที่ว่างเปล่าทางขวามือ
ทั้งแม่น้ำใหญ่หลีเจียงล้วนได้ยินเสียงร้องของกระบี่นั้น
สองกระบี่ซ้ายขวาล้วนเป็นกระบี่สั้นที่ล้ำค่าและมีชื่อเสียงของเกาะวิมานเทพ
ซ้ายและขวา หนึ่งมีนามว่า ‘ด้ายแสง’ อีกเล่มนามว่า ‘หยดน้ำค้าง’ อยู่คู่กัน พึ่งพากัน
ฉาวลู่หน้าเขียวคล้ำ นางขึงตามองหลิ่วสืออี กัดฟันกรอด แค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คนคลั่งกระบี่ชุดขาวที่ยืนบนผิวน้ำนั้นยังคงอยู่ในท่าแหงนหน้าเพ่งมองกระบี่ด้วยความหลงใหล ดูเหมือนไม่สนใจอะไรข้างนอกเลย
หญิงทะเลตะวันตกพลันชักกระบี่ออกจากฝัก
ผิวน้ำพลันแผ่ขยายเป็นครึ่งวงกลมหลายสิบจั้ง
หลิ่วสืออีที่ยืนบนคลื่นน้ำมีใบหน้าปกติ สั่นข้อมือเบาๆ เงากระบี่ที่รวดเร็วยิ่งถูกเขากดมือลงฟันด้วยมือข้างเดียว!
เสียงโลหะกระทบดังกึกก้องผ่านไป ครึ่งวงกลมที่ขยายมานั้นถูกกระบี่ฟันขาด อานุภาพยังไม่ลดลง ยังคงพุ่งต่อไปลงแม่น้ำหลีเจียง ทำให้เกิดสายน้ำพุ่งขึ้นมาข้างหลังสามสี่สาย
หยดน้ำเล็กใหญ่ตกลงมา
แม่น้ำกระจาย ละอองน้ำอบอวล
จนทุกอย่างสงบลง
ฉาวลู่หรี่ตาลงมองร่างชุดขาวถือกระบี่ด้วยมือเดียวก้าวออกมาจากกลางละอองน้ำช้าๆ
หลิ่วสืออีไม่เป็นอะไรเลย
ไม่ใช่แค่ไม่เป็นอะไร…
สีหน้าเขายังดูสบายมาก
“น้ำค้างใสสังหารหนึ่งหยด หยดน้ำค้าง”
หลิ่วสืออียิ้มพลางเอ่ยนามของกระบี่เร็วเล่มนี้
ตรงคมของกระบี่สั้นแกะสลักอักษรเล็กมากไว้ หากไม่ใช้พลังบำเพ็ญ คนปกติจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
เป็นนามกระบี่ที่น่าสนใจมาก
น้ำค้างใสสังหารหนึ่งหยด
กระบี่เป็นหยดน้ำค้างในฉับพลัน
ก็เหมือนอักษรที่สลักบนคมกระบี่ นี่คือหยดน้ำค้างสังหารในหยดเดียว
และเป็นกระบี่ออกจากฝักที่เร็วมาก
หลิ่วสืออีมองหญิงทะเลตะวันตกที่อยู่ไม่ไกล ตะเกียงพันโชคที่รวมพลังบำเพ็ญนั้นถูกตนฟันขาดแล้ว
ก็เหมือนที่เขาเดาไว้ พลังบำเพ็ญของฉาวลู่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว…ตอนนี้ตกจากขอบเขตที่สิบแล้ว
ขอแค่ตกจากขอบเขตที่สิบ…เช่นนั้นก็ได้แล้ว
ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่เก้าสอดคล้องกับปราณกระบี่ขั้นสาม
เมื่อนักกระบี่หญิงจากวิมานเทพทะเลตะวันตกคนนั้นไม่มีพลังบำเพ็ญที่อวดดีมากดดัน รวมถึงยันต์ที่แปะไว้ข้างกระโปรงอีก…เช่นนั้นก็ไม่ถือว่ารับมือยาก
เมื่อนึกถึงข้างกระโปรงของฉาวลู่ หลิ่วสืออีก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เจตจำนงกระบี่ใสสะอาดในความคิดเขากลับไม่ใสสะอาดอีกต่อไป สูญเสียการควบคุม ตัดเป็นภาพต่างๆ ตอนที่ตนฉีกชุดนอกอีกฝ่ายเพื่อหาที่ซ่อนกระบี่ออกมา…เพื่อให้ได้กระบี่เร็วที่เรียกว่าตามใจนึกนั้น เขาจึงวางแผนทำทุกอย่างตอนนี้ ‘อย่างชาญฉลาด’
หากจำไม่ผิด…เมื่อครู่เขาชมกระบี่ที่ก่อนหน้านี้ตนยังไม่รู้ชื่อต่อหน้าฉาวลู่
หลิ่วสืออีเลิกคิ้วขึ้น ใจนึกว่านางโกรธเช่นนี้…คงไม่ใช่เพราะเข้าใจผิดหรอกนะ
ยิ่งคิดยิ่งมีความเป็นไปได้
แต่ว่าหญิงทะเลตะวันตกคนนี้ก็มีผิวที่เนียนใสเหมือนอัญมณีจริงๆ ก่อนหน้านี้ชุดนอกบดบังไว้เป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้ชุดนอกขาด ทิวทัศน์งดงามที่โผล่ออกมาอย่างคลุมเครือ ก็มีความรู้สึกไปอีกแบบ
หลิ่วสืออีถือน้ำค้างใสสังหารไว้ มองนักกระบี่หญิงที่กัดฟันหน้าแดงพลางอธิบายอย่างจริงจัง “แม่นางฉาวลู่ อย่าเข้าใจผิดนะ…ที่ข้าชมว่างดงามไปก่อนหน้านี้ไม่ได้ชมเจ้า แต่เป็นกระบี่ของเจ้า”
จากนั้นเขาก็ชูกระบี่สั้นในมือขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว”
ฉาวลู่หน้าเขียวคล้ำ
คนคลั่งกระบี่พูดจาได้แสบหูยิ่งกว่าปราณกระบี่อีก
ทุกคำปลิดหัวใจ
ตะเกียงกระดาษมันข้างหลังนางดูดน้ำเหมือนมังกร เศษกระดาษขาดลอยไปตามสายลมของแม่น้ำ พลังทะยานขึ้นถึงขีดสุด ‘ด้ายแสง’ ที่ซ่อนในแขนเสื้อพร้อมชักออกจากฝักได้ตลอดเวลา
เศษกระดาษลอยรวมกัน จากนั้นหยุดนิ่ง
เพราะเสียงจริงใจของหลิ่วสืออีที่ดังก้องบนแม่น้ำหลีเจียง
เขาขยับขึ้นลงตามคลื่น มองนักกระบี่หญิงทะเลตะวันตกตรงหน้าทีหนึ่ง จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แม่นางฉาวลู่ ความจริงเจ้าก็งามมากเช่นกัน”
หนิงอี้กับเผยฝานที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้ากัน
ฉาวลู่ที่ต่อให้พลังลดก็ยังอยู่จุดสูงสุดขอบเขตที่เก้าได้ยินดังนั้นตรงกกหูก็แดงขึ้นมา หน้าอกขยับขึ้นลง ก่อนจะพูดเสียงแหบแห้งแต่เร็วและโกรธจัด
“หลิ่วสืออีเจ้ามันสารเลว!”
ด้ายแสงอรุณชีวิตนิรันดร์กับหยดน้ำค้างใสสังหาร บางทีอาจจะมาจากความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเป็นร้อยเป็นพันปีของเกาะวิมานเทพทะเลตะวันตกกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ต้าสุย…ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างกระบี่เร็วสองเล่มนี้ก็เหมือนชีวิตนิรันดร์กับยอดเหมันต์ เกื้อกูลกัน อยู่ร่วมกัน ระหว่างทั้งสองหนึ่งสังหาร อีกหนึ่งรักษา
‘ด้ายแสง’ ที่ห้อยอยู่ข้างหลังเอวถูกฉาวลู่กดจนปลายกระบี่ชิดกับปลายชุดนอก ก่อนจะชักกระบี่ออกจากฝักในทันทีที่เสียงแม่น้ำดังขึ้น
พริบตาที่ชักกระบี่ ทุกอย่างในฟ้าดินเงียบสงัด
เวลาราวกับหยุดนิ่งไป มีเพียงนักกระบี่หญิงทะเลตะวันตกที่ดันกระบี่ไปข้างหน้า แม่น้ำข้างหลังขยายออกช้าๆ เหมือนนกยูง
หลิ่วสืออีหันหน้ามาด้วยความงุนงงเล็กน้อย มองไปข้างหน้าอย่างฉงน ก่อนจะเหยียบน้ำเดิน ชั่วพริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้หญิงทะเลตะวันตกในระยะสามฉื่ออย่างเชื่องช้า…เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง สิ่งที่คนชอบฟังที่สุดคือคำชมไม่ใช่หรือ
ไม่ใช่แค่คนกับคน แม้แต่อาวุธที่เปิดสติปัญญาเล็กน้อยก็มีความสุขได้เพราะคำชม
อย่างเช่นหยดน้ำค้างในมือตน หลังได้คำชมของเขาก็ฮึกเหิมขึ้นมา ตนเป็นเจ้านายย่อมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของกระบี่
แต่ว่า…หญิงทะเลตะวันตกนั่น เหตุใดถึงโกรธเช่นนี้กัน
หลิ่วสืออียังไม่ทันคิดอะไรมากขนาดนั้น
เพราะด้ายแสงเล่มนั้นออกจากฝักแล้ว อีกทั้งยังเสียดสีประกายไฟสว่างออกมาจากในฝัก
แววตาอาฆาตของหญิงทะเลตะวันตกส่องสะท้อนเพราะประกายไฟปราณกระบี่ที่สว่างจ้านั้น
หลิ่วสืออีฟันกระบี่ลง
ไม่มีการซ่อนกระบี่ เขาไม่เข้าใจการซ่อนกระบี่ จึงพยายามศึกษาสังเกตและเรียนรู้…ตั้งแต่สู้กันบนแม่น้ำหลีเจียงมาจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจวิชาซ่อนกระบี่ของทะเลตะวันตกเลย
ความจริงนี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างหนึ่ง
แต่ก็ไม่ถือว่าน่าเสียดายเสียทีเดียว
กระบี่นี้ของเขามีทุกอย่าง และก็ไม่มีอะไรเลย
เงามากมายลอยขึ้นจางๆ รวมเข้าด้วยกัน
นี่คือความง่ายถึงที่สุด
แสงกระบี่สายหนึ่งลากผ่านเหมือนหยดน้ำ พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
กระบี่คนชุดขาวสองคนปะทะกัน นักกระบี่หญิงทะเลตะวันตกยังอยู่ในท่าทางพุ่งไปข้างหน้า พุ่งต่อไปอีกระยะหนึ่งความเร็วก็ลดลง จากนั้นเข่างอเล็กน้อย เอามือเก็บกระบี่เข้าฝัก
สองคนยืนหันหลังให้กัน
หลิ่วสืออียกมือขึ้นข้างหนึ่ง ปล่อยมือเบาๆ น้ำค้างใสสังหารที่ชิงมาเล่มนั้นตกจากมือเขา ตอนที่จะตกลงแม่น้ำ คนคลั่งกระบี่ก็ใช้เข่ากระแทกไปเบาๆ
‘หยดน้ำค้าง’ เด้งลอยขึ้นสูง
หลิ่วสืออีไม่หันไป แค่สะบัดแขนเสื้อตามใจก็เกิดเสียงดังฉับพลัน กระบี่สั้นพลันกลับไปที่ข้างเอวสตรีซึ่งยืนหันหลังให้ตนบนผิวน้ำ
ก่อนหน้านี้ห้อยอยู่ที่ใด ตอนนี้ก็ห้อยอยู่ตรงนั้น
สิ่งของกลับคืนสู่เจ้าของเดิม
หลิ่วสืออีเงยหน้าเล็กน้อย ยื่นแขนออกไปช้าๆ อีกมือก็ยื่นออกไป ห้านิ้วมือกดลงตรงข้อพับแขนราวกับลูบหยกงามเบาๆ แขนเสื้อขาวในตอนแรกก็เกิดเส้นสีแดงขึ้นทีละนิด ฟันแขนเสื้อขาดเป็นสองส่วนในลักษณะกลม ความเร็วของคมกระบี่ทำให้คนรู้สึกตัวทีหลัง จนกระทั่งเลือดไหลออกมาก็ยังไม่เกิดความเจ็บปวด
หลิ่วสืออีไม่ได้กดไว้ แต่ปล่อยให้เลือดไหลออกมา ไหลไปตามรอยขาดวงกลม จนย้อมชุดขาวที่ไม่ขาวเป็นสีแดง
“ฟู่…จบแล้ว”
พริบตาเมื่อครู่ ภาพทุกอย่างก็หยุดนิ่งในห้วงสมอง
วิชากระบี่ออกจากฝักของวิมานเทพทะเลตะวันตกฟันกระบี่ที่ง่ายที่สุดของตนด้วยความเร็วสูงสุด เฉียดผ่านแขนของเขาไป
ในที่สุดเขาก็เห็นการออกกระบี่ของฉาวลู่ชัดเจน
และเข้าใจจุดที่ซ่อนกระบี่
หลิ่วสืออียิ้มและพูดเบาๆ “คืนกระบี่ให้เจ้า ข้าได้วิชากระบี่แล้ว”
ฉาวลู่ที่ยังอยู่ในท่ากดด้ามกระบี่เก็บเข้าฝักจากตำแหน่งไกลๆ ความใสในแววตานั้นค่อยๆ เลือนหายไป เปลี่ยนเป็นขุ่นมัว
พริบตาที่ปะทะปราณกระบี่ สองคนเฉียดผ่านกัน คนคลั่งกระบี่ชุดขาวจากทะเลสาบกระบี่เก็บน้ำค้างสังหารในช่วงเวลาสำคัญ ปราณกระบี่และไอสังหารหนาแน่นพลันหายไปทั้งหมด เปลี่ยนเป็นวิชาฝ่ามือระยะประชิดที่ตนไร้การป้องกันใดๆ ก่อนจะกดฝ่ามือที่หลังศีรษะตนเช่นนี้…
นางไม่คาดคิดเลยว่าฝ่ามือนี้ของหลิ่วสืออีจะเป็น ‘กุมอัสนี’ ที่เผยฝานตบมือบนผิวน้ำเบาๆ ใช้เล่นสนุกตอนนั่งเรือข้ามแม่น้ำหลีเจียงเท่านั้น
เขาวิญญาณก็มีบันทึกคล้ายๆ กัน วิชาฝ่ามือนี้มีอานุภาพสูงมาก
โจมตีที่หลังศีรษะหรือจุดสำคัญอื่น ไม่ต้องใช้กำลังมาก ก็ทำให้คนจิตหลุดได้อย่างง่ายดาย
หากออกแรงหน่อยถึงขั้นใช้กุมอัสนีระเบิดศีรษะได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เพียงแต่ตอนนี้ ฉาวลู่แค่ซวนเซ
ความคิดนางลอยล่องไปนอกฟ้าแล้ว
คลื่นแม่น้ำหลีเจียงขยับขึ้นลง
ฟ้าดินมืดครึ้ม
ข้างหลังหลิ่วสืออี หญิงทะเลตะวันตกเดินไปสองก้าวก็หมดสติ
ในความคิดมีแต่เสียงดังวิ้งๆ
ฉาวลู่ล้มลงในน้ำ ตัวเบาขึ้น ร่างจมลงในแม่น้ำ ปิ่นปักผมข้างหลังศีรษะถูกกุมอัสนีที่ไร้ความปรานีต่อสตรีนั่นทำลายจนแตก ทำให้เส้นผมยาวสยายลงมา
หลิ่วสืออีแค่ทำให้นางหมดสติ
ไม่ได้เอาชีวิตนาง
เขายืนบนแม่น้ำหลีเจียง เงยหน้าขึ้นมองชั้นเมฆมืดครึ้มและพายุฝนส่งเสียงดัง
หินผาสองด้านสูงชันขึ้นเรื่อยๆ
“ฟ้าจะมืดแล้ว…”
หลิ่วสืออีพึมพำเสียงเบา
พลังในตัวเขาจนถึงตอนนี้ที่สามารถเอาชนะศิษย์ของสวีไหลแห่งทะเลตะวันตกได้ ในที่สุดก็ใช้หมดแล้วจริงๆ…ใช้ไปหมดทุกอย่าง
ต่อให้เขามีจิตสังหาร ด้วยกำลังที่เหลืออยู่ในกาย เกรงว่าคงใช้กุมอัสนีสังหารหญิงอรชรคนนั้นในทีเดียวไม่ได้
มิหนำซ้ำ สภาพจิตใจตอนนี้ปั่นป่วนมากด้วย
หลิ่วสืออีมองเมฆครึ้ม จนถึงตอนนี้…เขากลับไม่มีความรู้สึกถึงหายนะมาเยือนเลย
เขาถามด้วยรอยยิ้ม “ฟ้ามืดแล้ว ข้าหมดแรงแล้ว ทำอย่างไรดี”
หนิงอี้ถอนหายใจ
“จะทำอะไรได้” เด็กหนุ่มชุดดำทำหน้าจนปัญญา ปลดร่มกระดาษมันของตนออกมา เดินข้างเผยฝานมาอยู่หน้าหลิ่วสืออี
กลางฟ้ามืดมิด ฝนเงามืดตกลงมาแล้ว
สายฝนโหมกระหน่ำลงมาเป็นเส้นสาย
หนิงอี้กางร่มให้สองคน ดีดน้ำฝนที่ตกลงบนใบร่มออก
ไกลออกไปเป็นสายฟ้าสว่างวาบ
แม่น้ำหลีเจียงเหมือนกับยามกลางวัน
สิ่งที่ขวางหน้าทั้งสามคนบนแม่น้ำคือเงาสีดำสวมงอบ มีดินโคลนทั้งตัว
คนคนนั้นส่งเสียงหัวเราะน่ากลัวมาจากในลำคอ ตรงเอวห้อยกระบี่ไม้เล่มหนึ่ง อีกด้านเป็นกระบี่โบราณเรียวยาว
ในแขนเสื้อมีเพียงสามนิ้วมือ
ยอดผู้บำเพ็ญดาราชะตาแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่
ซูชี
………………………..