เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 301 วิชาพันโชค นางแอ่นคืนรัง
ตอนที่ 301 วิชาพันโชค นางแอ่นคืนรัง
รุ่นเยาว์ต้าสุยในตอนนี้
ผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบมีเพียงพวกเฉากับเยี่ยสองคน
ทว่าสองคนนี้ประกาศทะลวงขอบเขตที่สิบไปเมื่อไม่นานมานี้ ไปถึง ‘ขอบเขตมายา’ ระหว่างขอบเขตที่สิบกับดาราชะตา ห่างจากจุดดาราชะตาประจำตัวนั้นแค่หนึ่งก้าว
ขอบเขตแรก ขอบเขตกลาง ขอบเขตหลัง หนึ่งขอบเขตคือภูเขาใหญ่หนึ่งลูก
ขอบเขตที่สิบคือลูกที่สูงที่สุด
หลิ่วสืออีบรรลุวิถีกระบี่ขั้นสอง สู้กับผู้บำเพ็ญขอบเขตที่แปดได้
ขอบเขตที่เก้าก็เอาชนะเขาได้สบาย
ทว่าตอนนี้ฉาวลู่นักกระบี่หญิงวิมานเทพหยัดกายขึ้น น้ำแข็งก้อนนั้นใต้เท้าเริ่มแผ่ขยาย ผิวน้ำในระยะครึ่งลี้เป็นน้ำแข็ง
เจตจำนงกระบี่หนาวเหน็บ
ฉาวลู่กดสองมือที่กระบี่ยาวสองเล่มซ้ายขวา มองข้ามหลิ่วสืออีไปมองเด็กหนุ่มชุดดำกับแม่นางชุดครามข้างหลังหลิ่วสืออี
“สหายเจ้ารึ” นางพูดนิ่งๆ “จะมาทีละคนหรือเข้ามาพร้อมกันดีล่ะ”
หลิ่วสืออีหรี่ตาลง
เขาออกแรงใต้เท้า ก่อนจะพุ่งตัวไปราวกับลูกธนู
ชุดคลุมขาวสองตัวชนกันอีกครั้ง
แม่น้ำหลีเจียงแตกกระจายล้อมรอบหลิ่วสืออีกับฉาวลู่ ละอองน้ำกับไอหนาวแผ่กระจายไปรอบๆ
ตัวฉาวลู่เหมือนกับต้นกก เฉียดผ่านปลายกระบี่เข้าไป
ปราณกระบี่ของหลิ่วสืออีเร็วขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีปราณนิรันดร์ไม่ใช่กระบี่เร็วอยู่แล้ว แม้หลิ่วสืออีจะใช้กำลังทั้งหมด ฉาวลู่ก็หลบปราณกระบี่พวกนี้ได้สบาย
สองคนไล่ตามกัน เหยียบแม่น้ำสู้กัน แม่น้ำแข็งตัวแล้วก็แตกอีก เศษน้ำแข็งกระเด็นออกไป มันช้าลง หลังจากหยุดกลางอากาศก็ไม่ร่วงลง แต่ลอยค้างเหมือนตะเกียงกระดาษมันนั้น
ฉาวลู่พลิกตัวไปข้างหลัง
เชือกแดงที่ผูกคอเส้นนั้นขาดออกเอง ชุดคลุมใหญ่สีขาวลอยไปบนผิวน้ำ
หลิ่วสืออีถูกชุดคลุมขาวบังตา
สองคนห่างกันเพียงชุดคลุมขาว
ซ่อนกระบี่ซ่อนดาบ ออกจากฝักสังหาร
นักกระบี่สองคนต่อสู้กัน ให้ความสำคัญกับวิชาซ่อนกระบี่ที่สุด ซ่อนได้ดีพอ ซ่อนได้ลึกพอ ซ่อนจนไม่มีใครเห็นชัด เช่นนั้นกระบี่ที่ออกจากฝักก็จะเป็นกระบี่สังหาร
นักกระบี่หญิงวิมานเทพที่ครึ่งตัวยังอยู่กลางอากาศ ยังอยู่ในท่าตีลังกานั้นมีใบหน้าไร้ความรู้สึก สองมือชักกระบี่ ฟันเป็นเส้นโค้งสองเส้นกลางอากาศ แสงกระบี่ที่มองเห็นเค้าโครงไม่ชัดเหมือนกับผีเสื้อบินผ่านดอกไม้
ปราณนิรันดร์ฟันชุดคลุมขาวตัวโคร่งนั้นขาด…
จากนั้นหลิ่วสืออีก็ได้ยินเสียงทะลวงอากาศสองเสียงตามหลังกันมา แทบจะดังเข้าด้วยกัน ลอบโจมตีมาพร้อมกัน
เขาไม่เห็นฉาวลู่ซ่อนกระบี่ออกจากฝัก และไม่เห็นว่าปราณกระบี่ที่พุ่งมาอยู่ที่ใด
แก๊ง!
เกิดเสียงดังก้องที่สุดบนแม่น้ำหลีเจียง
ปราณนิรันดร์เขาเชียงซานกระเด็นออกไป
กระบี่หลุดจากมือคือข้อห้ามใหญ่
หลิ่วสืออีผู้หน้าซีดขาวเอียงใบหน้า แสงอ่อนสายหนึ่งเฉียดผ่านแก้ม เส้นผมถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย ลอยร่วงลง ขณะอยู่กลางอากาศก็ถูกแช่เป็นเศษน้ำแข็ง สายลมพัดมาก็สลายเป็นผุยผง
หญิงวิมานเทพที่ถอดชุดคลุมใหญ่สีขาวลอยกลับไปบนผิวน้ำอย่างนุ่มนวล นางยังคงสวมผ้าคลุมขาวหิมะตัวเล็ก ข้างในผ้าคลุม กระบี่ยาวสองเล่มไหลตกลงในฝักกระบี่อีกครั้ง ส่งเสียงปลายกระบี่ชนกับก้นฝักกระบี่เบาๆ
ไม่ว่าจะชุดคลุมใหญ่สีขาวก่อนหน้านี้หรือผ้าคลุมขาวหิมะหลังถอดชุดคลุมใหญ่ล้วนไม่ใช่สมบัติที่เสริมยันต์หรือค่ายกล เป็นเพียงผ้าธรรมดา เป้าหมายก็เพื่ออำพรางกระบี่ออกจากฝักสังหาร
บังเอิญมากที่ตั้งแต่เจอกันที่ถ้ำจนถึงตอนนี้ที่กระแทกปราณนิรันดร์ของหลิ่วสืออีกระเด็น นักกระบี่วิมานเทพคนนั้นออกแค่กระบี่เดียว
กระบี่นั้นซ่อนไว้ลึกมาก
ไม่ใช่แค่หลิ่วสืออีที่มองเห็นกระบี่นั้นไม่ชัด แม้แต่หนิงอี้กับเผยฝานที่ตอนนี้ยืนอยู่ไม่ไกลยังถูกชุดคลุมใหญ่ที่ปาออกมาบดบังทัศนวิสัย ไม่เห็นร่องรอยใดๆ หาความจริงของอีกฝ่ายไม่พบแม้แต่นิด
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าหญิงนามฉาวลู่คนนี้ชำนาญการออกกระบี่จากฝักในระดับสุดยอด น่าเสียดายที่ปราณนิรันดร์เล่มนั้นปกป้องหลิ่วสืออีไว้ ทำให้นางไม่อาจสังหารคนคลั่งกระบี่ในกระบี่เดียวได้ อีกทั้งกระบี่หนักนั่นก็มีระดับไม่ธรรมดาเช่นกัน ดังนั้นกระบี่แรกที่นางวางแผนมาอย่างดีจึงทำได้แค่ฟันกระบี่ลอยออกไป ยังทำลายกระบี่ไม่ได้
ฉะนั้นกระบี่ที่สองต่อจากนั้นจึงทำให้หลิ่วสืออีมีเวลาตั้งตัว
แม่น้ำหลีเจียงเกิดไอหนาวลอยขึ้น
หลิ่วสืออีหน้ามืดทะมึน เขาเอามือมาเช็ดแก้ม ใบหน้าที่เดิมทีเรียบเนียนถูกเขาเอาปลายนิ้วลากผ่านเบาๆ ตอนแรกเป็นรอยแดงก่อน จากนั้นยิ่งเช็ดก็ยิ่งแดงขึ้น เลือดไหลออกมาไม่หยุด
หลิ่วสืออีไม่สนใจแผลตรงแก้มอีก
เขาสงบจิตใจลง ปลายนิ้วเปื้อนเลือดเก็บไปในแขนเสื้อ สายลมแม่น้ำแรงขึ้นทีละนิด ชุดคลุมขาวพลิ้วไหว เขายืนนิ่งเหมือนกับเสาไม้
ไม่สนใจไม่ถามไถ่
ปราณนิรันดร์ข้างหลังเขาลอยขึ้นสูง ตกลงแม่น้ำหลีเจียง กระแทกผิวน้ำแตกเป็นรูน้ำแข็ง เกิดคลื่นน้ำกระจาย จากนั้นก็จมลึกลงเรื่อยๆ และเงียบลง
ฉาวลู่มองหลิ่วสืออีด้วยความสนใจ วันนี้นางอยากรู้นักว่าศิษย์เอกทะเลสาบกระบี่คนนี้ไม่มีกระบี่ในมือแล้ว จะมีกลอุบายพลิกฟ้าใดอีก
หนึ่งความคิดวูบผ่าน นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ ปรายตามองตะเกียงกระดาษมันที่ลอยตามนางมาตลอด
บนฟ้าแม่น้ำหลีเจียง เมฆดำปกคลุมลงมา
ฟ้าดินใหญ่ สรรพสัตว์เล็ก
ตะเกียงกระดาษมันเปล่งแสงจันทร์สุกสกาว ออกจากถ้ำมืดมาอยู่โลกภายนอกก็ยิ่งสว่างสดใสขึ้น ตอนนี้แสงสว่างแทบจะมองตรงๆ ไม่ได้ เศษน้ำแข็งที่ลอยอยู่โดยรอบเหมือนจะสัมผัสได้อย่างน่าประหลาด พากันไหลมารวมกันเหมือนปลาเวียนว่าย
วิชาพันโชคที่มาจากหอบัวเมืองหลวงต้าสุยลึกลับมาตลอด ปุถุชนไม่รู้ความลี้ลับใต้ผ้าปิดหน้า รู้แค่ว่าวิชานี้สามารถมอบวิญญาณให้สิ่งที่ไม่มีชีวิตได้ กรรไกรตัดกระดาษก็แปลงร่างได้ ตัดกระดาษตกแต่งหน้าต่างก็เปลี่ยนเป็นแผ่นดินสัตว์เดินและนกบินบนฟ้าได้ เพียงแต่ผู้สำแดงวิชาต้องใช้แสงดาราค่อนข้างเก่ง อีกทั้งต้องใช้จิตใจและวิญญาณส่วนหนึ่งของตัวเองเป็นตัวช่วย สิ่งที่ไม่มีชีวิตจะมีชีวิต หากขาดการเชื่อมต่อ ตัวผู้สำแดงวิชาจะบาดเจ็บตามที่สอดคล้องกัน
วิชานี้สร้างโดยคุณชายหยวนฉุน คุณชายหยวนฉุนฝึกวิชาหนึ่งปราณแปลงสามวิสุทธิ์ของสำนักเต๋า ร่างจริงนั่งอยู่เมืองหลวง ร่างแยกดอกบัวม่วงออกจากแดนกลางไปแดนอุดร และยังมีอีกร่างแยกไม่เผยพลังต่อหน้าชาวโลก แต่สามร่างนี้ ได้ยินว่ามีพลังบำเพ็ญลึกล้ำอย่างยิ่ง
ตอนนี้หญิงวิมานเทพฉาวลู่คนนี้สำแดงวิชาพันโชคก็เป็นอีกวิชาของหนึ่งปราณแปลงสามวิสุทธิ์ วิชาลับระดับสุดยอดของสำนักเต๋า
ตะเกียงกระดาษมันนั้น ข้างในตะเกียงเป็นแสงสว่างขาวหิมะขยับไปมา
ไอหนาวรอบด้านไหลเข้ามารวมกัน
พลังในตัวนางยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังทะลวงขอบเขตที่สิบก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเร็วเช่นเดิมอีก ไม่พุ่งพรวดเหมือนน้ำทลายเขื่อน แต่ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หยุดยั้งไว้ไม่ได้
ภายใต้เมฆดำบนฟ้าแม่น้ำหลีเจียง ตะเกียงนั้นเหมือนกับดวงจันทร์ แสงดาราโดยรอบไหลไปรวมที่ไส้ตะเกียง
“วิชาวิมานเทพ…”
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกดด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ เขาจะไม่ยอมให้นักกระบี่หญิงวิมานเทพคนนี้ดูดแสงดารารอบๆ และเพิ่มพลังขึ้นต่อไปอีกเด็ดขาด
ตอนนี้ดูแล้วพลังบำเพ็ญแท้จริงของหญิงคนนี้น่าจะไม่ใช่ขอบเขตที่สิบแล้ว นางใช้แผนการทุกอย่างซ่อนกระบี่ก็เพราะเหตุนี้ ซ่อนกระบี่ไม่ยอมออกเป็นการข่มขู่อย่างหนึ่ง และเหมือนกับถอยเพื่อบุกมากกว่า ตะเกียงกระดาษมันประหลาดที่ลอยอยู่นั้นเหมือนจะดูดแสงดาราฟ้าดินโดยรอบอยู่ตลอด ก็เพื่อแอบส่งแสงดาราให้นางไปเรื่อยๆ…การสำแดงวิชาพันโชคต้องใช้กำลังวังชาไม่น้อย ดังนั้นหลังจากนางเพิ่มพลังถึงจุดสูงสุดก็จะลดลงเรื่อยๆ อยู่ได้ไม่นาน
หนิงอี้พอจะเข้าใจความหมายของการเพิ่มพลังฝึกบำเพ็ญของวิมานเทพแล้ว
มีวิชานี้อยู่กับตัว ศิษย์วิมานเทพจึงได้ลิ้มลองความหวานของขอบเขตที่สิบก่อน หลังจากทะลวงขอบเขตที่สิบอย่างลึกซึ้ง ก็จะใช้พลังบำเพ็ญนี้กำราบขอบเขตที่เก้าทุกคนได้สบาย
มิหนำซ้ำพวกเขายังกินโอสถฝึกบำเพ็ญ พลังบำเพ็ญเหนือกว่าผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกันขั้นหนึ่ง ตอนนี้ยังใช้วิชาพันโชครวมพลัง หากให้พวกเขารวมพลังสำเร็จ ผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกันใครจะไปสู้กับคนที่เหนือกว่าขอบเขตพลังใหญ่ได้
หนิงอี้สั่งสมเจตจำนงกระบี่ช้าๆ
เขามีสีหน้าจริงจัง พร้อมชักกระบี่ฟันทุกเมื่อ
มือนั้นที่จับด้ามกระบี่ถูกเผยฝานกดเอาไว้เบาๆ
หนิงอี้อึ้งงัน
เผยฝานพูดเสียงเบา “รอก่อน”
…….
รอก่อน รออะไร?
ในสัมผัสของหนิงอี้เขารู้สึกว่าแม่น้ำหลีเจียงในตอนนี้เหมือนจะมีพลังหายไปอย่างหนึ่ง
หลิ่วสืออีที่ยืนบนผิวน้ำซึ่งใต้เท้าแตกเป็นใยแมงมุมหลับตาลงช้าๆ พลังลดลงเรื่อยๆ
ในความคิดเขาเกิดแสงกระบี่ขึ้นทีละสาย เป็นสิ่งที่เห็นตั้งแต่ออกจากภูเขา เห็นตอนตระหนักรู้ศิลาหุบเขานิรันดร์ เห็นตอนออกกระบี่ที่เมืองรากษส ตอนที่ถูกฟัน ตอนน้ำตกภูเขาและทะเลทรายกว้างใหญ่…อาจารย์บอกเขาว่าต้องออกไปดูโลกให้เยอะๆ
เขาไปมารอบหนึ่ง
ตอนนี้กลับมาแล้ว
พลังบำเพ็ญแสงดาราและพลังบำเพ็ญปราณกระบี่ที่ขาดเพียงก้าวเดียวเกิดการคลายออกเล็กน้อย
หลิ่วสืออีที่ยืนบนผิวน้ำราวกับเสาไม้พ่นลมหายใจยาว
เขายืนอยู่หน้าหญิงวิมานเทพขอบเขตที่สิบคนนั้น อีกฝ่ายเหมือนกับจันทร์ดวงใหญ่
เขาเหมือนกับประกายไฟริบหรี่ที่พร้อมจะดับทุกเมื่อกลางพายุฝน
เศษน้ำแข็งบนผิวน้ำแตกเป็นเสี่ยงๆ
หลิ่วสืออีเคลื่อนไหวโดยพลัน เขาเหยียบผิวน้ำเบาๆ ทันทีที่พุ่งออกไป แท่งน้ำแข็งเล็กก็พุ่งจากผิวน้ำเข้ามาที่มือเขา ควบแน่นเป็นกระบี่ยาวสามฉื่อ ลักษณะเหมือนกับนางแอ่นคืนรัง
กลับแม่น้ำหลีเจียงอีกครั้ง นางแอ่นคืนรัง
ทั้งแม่น้ำหลีเจียงพลันเกิดเสียงน้ำแข็งแตกดังขึ้นระงม ท่ามกลางเศษน้ำแข็งกระจายเต็มฟ้านั้น แม่น้ำหลีเจียงที่เรียบนิ่งดุจกระจกพลันเดือดพล่านขยับขึ้นลงเหมือนหลังมังกรแก่ นักกระบี่หญิงวิมานเทพฉาวลู่ที่เหยียบบนคลื่นสูงมองลงมาจากข้างบน มองคนคลั่งกระบี่ชุดขาวที่พุ่งทะยานอยู่บนคลื่นผิวน้ำคนนั้น
ฉาวลู่ปล่อยมือ ยกมือขึ้นช้าๆ จากนั้นกดลงมา
เศษน้ำแข็งข้างตะเกียงกระดาษมันพลันรวมกันเป็นมังกรน้ำแข็งที่มีพลังมหาศาลตัวหนึ่ง ประกายดวงตามังกรถูกเจตจำนงกระบี่สีน้ำหมึกที่สาดออกไปสองสายย้อมเข้าไป
วิชาพันโชค!
ฟ้าดินมืดครึ้ม บนแม่น้ำหลีเจียง มังกรขาวเวียนว่ายอยู่กลางชั้นเมฆแม่น้ำ เงยหน้ากางกรงเล็บ อ้าปากสีแดงกว้าง
หลิ่วสืออีถือกระบี่ทะยานเข้าไป ปลายนิ้วลูบคมกระบี่สีขาวเบาๆ ลูบจนถึงปลายกระบี่ พายุสายฟ้าวนเวียน เศษน้ำแข็งแตกบนผิวน้ำนับพันนับหมื่นก้อนหมุนวนเหมือนกับนางแอ่นร้องเสียงดัง
ข้างบนกับข้างล่างปะทะกันโดยพลัน!
……………………..