เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 300 วิถีกระบี่ของคนคลั่งกระบี่
ตอนที่ 300 วิถีกระบี่ของคนคลั่งกระบี่
แม่น้ำหลีเจียง ปราณกระบี่วนเวียน
ในถ้ำมืด เรือเล็กสองลำประจันหน้ากัน ลอยขึ้นลงตามคลื่น
ชายหญิงวัยเยาว์สองคนยืนตรงข้ามกัน มีเสียงเศษน้ำแข็งแตกดังขึ้นตลอด
“หลิ่วสืออี ตอนข้าฝึกที่ทะเลตะวันตก ก็เคยได้ยินอาจารย์สวีไหลพูดถึงชื่อเจ้า”
หญิงงามชุดขาวและผูกเชือกแดงพูดเสียงเบา เสียงไพเราะเหมือนน้ำแร่ใสสะอาด ไม่มีความร้ายแฝงอยู่ในนั้นเลย
“อาจารย์บอกข้าว่าศิษย์สายเลือดทะเลสาบกระบี่คือศัตรูที่แกร่งที่สุดในอนาคตของข้า”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจเบา “ตอนนี้ดูแล้วน่าผิดหวังมาก…อยู่แค่ขอบเขตที่เจ็ด เจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้า”
หลังเอ่ยจบ
หลิ่วสืออีหรี่ตาลง
ทั้งเรือเล็ก ใต้ท้องเรือที่เดิมทียังถือว่านิ่งเกิดคลื่นรุนแรงขึ้น ทั้งหัวเรือที่คนคลั่งกระบี่ชุดขาวยืนอยู่พลันยกขึ้นสูง ปลายกระบี่ที่หลอมขึ้นจากไอน้ำแข็งบริสุทธิ์ทะลวงหัวเรือเล็ก จากนั้นก็เป็นหนามน้ำแข็งพุ่งขึ้นมาจากผิวน้ำราวกับเป็นป่ากระบี่
บนเรือเล็ก
เผยฝานในชุดครามหรี่ตาลง หนิงอี้ในชุดดำมีสีหน้าปกติ
เกิดเสียงดังแก๊ง!
หลิ่วสืออีที่เอาสองมือกดด้ามกระบี่ ตอนนี้ออกแรงฝ่ามือกดปราณนิรันดร์ลง ปราณกระบี่พุ่งออกมา เศษน้ำแข็งรอบตัวพลันระเบิดกระจาย
หนุ่มชุดขาวพลันพุ่งออกไป เข้าประชิดหญิงสาวร่างระหงคนนั้นในพริบตา
ระหว่างสองคนเปล่งแสงสว่างจ้าถึงที่สุด อยู่บนผิวแม่น้ำหลีเจียงใต้ถ้ำ ปราณกระบี่พุ่งชนกัน เหมือนเสียงมังกรคำรามทุ้มต่ำ
หลิ่วสืออีถือปราณนิรันดร์ด้วยมือเดียว แรงออกกระบี่เดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบา จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปจากปกติ
พลังยิ่งใหญ่รวมในฝัก ออกกระบี่ที่ไม่มีใครขวางได้
หญิงชุดขาวที่ไม่รู้นามยังคงเอาสองมือกดด้ามกระบี่ นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความไม่ยี่หระ ท่าร่างเร็วมาก นางทะยานไปกลางปราณกระบี่ยิ่งใหญ่ เห็นแค่เงาชุดคลุมตัวใหญ่สีขาวชัดเจนเท่านั้น
หญิงคนนั้นมีใบหน้าเรียบเฉย ในดวงตาสีดำสะท้อนปราณกระบี่ออกมาก่อนจะกลับไปเฉยชาอีกครั้ง
นางไม่ชักกระบี่สู้ แค่ใช้เจตจำนงกระบี่ที่ตนบ่มเพาะวาดภาพกลางอากาศ ก็เหมือนใช้จิตถือพู่กัน สาดน้ำหมึกกลางอากาศ ดังนั้นทุกครั้งที่หลิ่วสืออีฟันปราณนิรันดร์ พริบตาต่อมาก็จะมีเจตจำนงกระบี่สาดออกไป ปะทะกันอย่างแรง ทำให้เขาหยุดชะงัก
“วิชาของนักกระบี่วิมานเทพนั่นแปลกๆ” เผยฝานขมวดคิ้ว นางกับหนิงอี้อยู่บนเรือเล็กกลางคลื่นไม่สงบ กำลังไหลตามสายน้ำไปตรงแสงสว่างนอกภูเขา
บนเรือเล็กที่สองคนนั้นยืนอยู่ไม่ไกล ข้างหลังมีแสงสว่างดวงหนึ่ง
หลิ่วสืออีกับนักกระบี่หญิงวิมานเทพประชันปราณกระบี่กัน ระเบิดเป็นแสงสว่างจ้ากลางอากาศ จากนั้นแผ่กระจายออก เศษน้ำแข็งกระจายตรงผิวแม่น้ำหลีเจียง เจตจำนงกระบี่ของนักกระบี่หญิงวิมานเทพไม่ใช่แค่ไม่เก็บไว้ แต่กลับแผ่ขยายมาเรื่อยๆ แรงขึ้นเรื่อยๆ
เผยฝานมองนักกระบี่หญิงที่ขยายปราณกระบี่ในระยะสามฉื่อไม่หยุด คนคนนั้นเอาสองมือกดด้ามกระบี่ไม่ขยับแม้แต่น้อย กลิ่นอายพลังในตัวยังแผ่ขยายออกมาอย่างไม่รีบร้อน แต่ระบายออกมาทีละนิด
“ขอบเขตที่เก้า…กระทั่งสูงกว่านั้น” เผยฝานเอ่ยด้วยความซับซ้อน “สูงกว่านั้นอีกก็อาจจะเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบระดับเดียวกับเฉาหลันกับเยี่ยหงฝู”
“ขอเตือนเจ้าหน่อย คนแซ่เฉานั่นทะลวงขอบเขตที่สิบแล้ว…อีกอย่างนะ…” หนิงอี้ยิ้ม จ้องหลิ่วสืออีก่อนปรายตามองนักกระบี่หญิงจากทะเลตะวันตก “นางอยู่ขอบเขตที่สิบรึ ล้อเล่นอะไรกัน บอกว่าขอบเขตที่สิบ ถึงจะเป็นขอบเขตที่เก้าอย่างจริงแท้ จะมาเอ้อระเหยเล่นกับหลิ่วสืออีมากขนาดนี้ได้ที่ไหนกัน”
คำพูดนี้ฟังดูไม่มั่นใจเลย
“นักกระบี่วิมานเทพใช้โอสถฝึกบำเพ็ญ พลังบำเพ็ญสูงกว่าผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกัน แต่เพราะรากฐานไม่แน่นพอ เลยทำให้เกิดผลลัพธ์อีกอย่าง…หากไม่อาศัยพลังภายนอก กำลังรบของพวกเขาปกติจะลดลงหนึ่งขั้นใหญ่ด้วยซ้ำ” หนิงอี้มองท่าทางกวัดแกว่งกระบี่ของหลิ่วสืออี ก่อนพึมพำเหมือนคิดอะไรอยู่ “ข้าสู้กับสืออีที่หุบเขานิรันดร์…ขอบเขตพลังปราณกระบี่ของเขาข้ารู้ดี เป็นนักกระบี่ขั้นสอง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่แปดก็ไม่ได้เปรียบเขาหรอก การต่อสู้ระหว่างทะเลตะวันตกกับทะเลสาบกระบี่ไม่มีเหตุผลให้ต้องนอบน้อม หากเป็นขอบเขตที่สิบจริงๆ ศึกนี้หลิ่วสืออีจะเอาอะไรไปสู้?”
ขอแค่ไม่ใช่ขอบเขตที่สิบ เช่นนั้นก็สู้ได้
ตำหนักทะเลสาบกระบี่กดพลังบำเพ็ญฝึกฝน แสวงหากำลังรบ ดังนั้นหลิ่วสืออีเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตหลังก็มีพลังปราณกระบี่ขั้นสองแล้ว ฉายาไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ดก็ได้มาเพราะเหตุนี้
วิมานเทพทะเลตะวันตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หนึ่งเพิ่มหนึ่งลด ทั้งยังมีกำลังรบ
“หญิงคนนั้นเหมือนกำลังสั่งสมพลังวิชาลับของวิมานเทพ…เห็นหรือไม่ ผิวแม่น้ำหลีเจียงถูกเจตจำนงกระบี่ของนางปกคลุม พลังบำเพ็ญนางถึงเริ่มสูงขึ้นทีละนิด” หนิงอี้ขมวดคิ้วพูด “เจ้ากับข้าไม่เคยไปทะเลตะวันตก อีกทั้งต้าสุยยังมีบันทึกเกี่ยวกับวิมานเทพน้อยมาก ตอนนี้เพิ่งเจอครั้งแรก พวกเขาใช้วิชาใด…ก็ได้แค่ดูแล้วค่อยว่ากัน”
“เทียบกับเรื่องนี้แล้ว มีเรื่องที่น่าสนใจกว่า”
หนิงอี้นิ่งไปก่อนจะปล่อยยันต์กดพลังสองแผ่นออกมาจากในแขนเสื้อ ดีดปลายนิ้วเบาๆ ยันต์สองแผ่นล้อมรอบเรือเล็ก วนเวียนเหมือนหยินหยาง ไอเย็นบนผิวน้ำรวมถึงหมอกแตกกระจายออก
เพราะอยู่กับเผยฝานบ่อย เขาจึงชำนาญวิธีการใช้ยันต์หลากหลายแล้ว ยันต์กดพลังที่ปาออกไปนี้คือหนึ่งในยันต์ระดับต่ำที่มีอยู่มากมาย มีผลกดพลังปั่นป่วน อย่างเช่นละอองน้ำ หมอก ไอหนาว ไอร้อนก็เป็นหนึ่งในนั้น ไล่ไปเพื่อสร้างทัศนวิสัย
ทำทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย เสร็จในพริบตา
หนิงอี้ชี้นิ้วไปที่คนคลั่งกระบี่ชุดขาวไกลๆ
“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเจตจำนงกระบี่นี้คุ้นๆ เหมือนเคยเจอมาก่อน”
…….
หลิ่วสืออีมีใบหน้าเรียบนิ่ง ทุกกระบี่ฟันออกไป ฟันกวาด ฟันลง งัดกระบี่ เอียงกระบี่
ทุกกระบี่หนักถึงที่สุด
และ ‘โง่เขลา’ ที่สุดเช่นกัน
ปราณกระบี่ใต้ฟ้ามีเพียงความเร็วที่ทำลายไม่ได้
และกระบี่ที่หลิ่วสืออีฟันออกไปตอนนี้กลับช้ามาก ไม่ใช่ช้าในความหมายแท้จริง แต่ทุกกระบี่ที่ฟันออกไปจะสานต่อกัน ดูเหมือนแสงสว่างยาวเหยียด แต่ในสายตาผู้บำเพ็ญขอบเขตพลังเดียวกันกลับหลบได้ง่ายมาก
ทุกคนรู้ว่ากระบี่ของหลิ่วสืออีเป็นกระบี่ที่เร็วมาก
แม้แต่ผู้บำเพ็ญทางทะเลตะวันตกก็รู้
แต่กระบี่ในตอนนี้กลับช้าจนไม่สมฐานะคนคลั่งกระบี่เลย
แสวงหาพลังทำลายล้าง แต่ละทิ้งความเร็ว
กระบี่เช่นนี้ฟันไม่โดนใครหรอก
นักกระบี่วิมานเทพที่อยู่ในระยะประชิดสามฉื่อบนเรือเล็กหลบจนเหลือแค่เงามายาชุดคลุมขาว นางสังเกตเห็นว่าทุกกระบี่นี้ ตรงจุดที่หยุดชะงักจะมีปราณกระบี่อยู่…แต่กระบี่ของศิษย์หลิ่วสือคนนี้ช้ากว่าที่นางคิดไว้มาก
นี่จะดูถูกกันหรือ
นางไม่ได้ตั้งใจหลบจริงๆ
แค่สาดเจตจำนงกระบี่ไปในอากาศโดนปราณนิรันดร์ของหลิ่วสืออีก็จะทำให้พลังกระบี่ของเขาเอียงและฟันโดนอากาศแล้ว
แต่หลิ่วสืออีพลันเปลี่ยนทิศทางปราณกระบี่
จากนั้นก็สาดเจตจำนงกระบี่ไปในอากาศอีกครั้ง
การประชันปราณกระบี่ในช่วงสิบลมหายใจสั้นๆ ดูจืดชืดและไร้เสียง
ทว่าหลิ่วสืออีมีสีหน้าเรียบนิ่งและเงียบตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาออกกระบี่ด้วยมือเดียวเหมือนถือค้อนตีเหล็ก ก่อพายุขึ้นเป็นลูกๆ
เปลี่ยนมุมตลอด
ปราณกระบี่ยาวเหยียดและร้อนระอุ
หนิงอี้ที่อยู่ไม่ไกลจ้องหลิ่วสืออีในตอนนี้…ในเสียงร้องปราณกระบี่ที่หนักและร้อนนั้น เหมือนจะเห็นเงาคุ้นตาอยู่
เป็นมังกรจู๋หลงของแดนอุดร
เจตจำนงกระบี่ดุจตีเหล็กของหลิ่วสืออีมาพร้อมกับความร้อนจากการตีเหล็กเป็นร้อยเป็นพันครั้ง…และเจตจำนงกระบี่ร้อนระอุนี้ทำให้หนิงอี้นึกถึงหมัดที่เฉาหลันทำลายค่ายกลสยบเทพของตนกลางดึกในจวนเมืองหลวง
คนคลั่งกระบี่ชุดขาวคนนั้นบาดเจ็บมาที่จวนตน เข้าสู่การตระหนักรู้ต่อค่ายกลสยบเทพที่เฉาหลันทำลาย…จากนั้นหันหน้าเข้ากำแพง ทั้งยังขอคำชี้แนะกับเผยฝานเรื่องความลี้ลับของค่ายกลสยบเทพ
วิถีกระบี่ของหลิ่วสืออี…เป็นความง่ายถึงที่สุด และก็ไม่ใช่ความง่ายถึงที่สุด
แต่เป็นการเรียนรู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
กินของที่มีประโยชน์ ทิ้งของไร้ประโยชน์ จากนั้นเปลี่ยนจากซับซ้อนให้เป็นเรื่องง่าย
อะไรคือวิถีกระบี่ของคนคลั่งกระบี่…นี่ต่างหากคือวิถีกระบี่ของคนคลั่งกระบี่!
หลิ่วสืออีกำลังย่อยทำนองซับซ้อนพวกนั้น เขาห่างจากปราณกระบี่ขั้นสามเพียงก้าวเดียว
หนิงอี้เผยแววตาเข้าใจเล็กน้อย
พริบตาต่อมา
บนเรือเล็กไกลๆ
ท่ามกลางประกายไฟแตกกระเซ็น หญิงชุดคลุมใหญ่สีขาวหงายไปข้างหลังทำท่าสะพานโค้งหลบกระบี่ที่กวาดมา ปลายเท้ายังคงแนบกับแผ่นไม้ท้องเรือ นางไหวไหล่เบาๆ ปราณกระบี่ที่สาดมาจากล่างขึ้นบนชนกับปลายกระบี่ปราณนิรันดร์ ทำให้ปราณนิรันดร์ลอยขึ้นข้างบน…ดูเหมือนจะหลุดจากมือหลิ่วสืออีแล้ว
ทันใดนั้นเอง หลิ่วสืออีก็ยื่นมาอีกมือ
สองมือจับปราณนิรันดร์!
ถือกระบี่ฟันลง!
แสงสว่างดุจดวงตะวันสว่างไสวสายหนึ่งเหมือนมังกรสีแดง แต่ก็เหมือนน้ำตกร้อนระอุมากกว่า พลันปกคลุมลงมา
ทั้งแม่น้ำเจียงหลีแยกออกทันที เรือเล็กที่สองคนอยู่ถูกปราณกระบี่นี้ฟันทำลายแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษไม้กระจาย ก่อนจะถูกไอหนาวจากวิมานเทพทะเลตะวันตกห่อหุ้มทันที จากนั้นถูกเจตจำนงกระบี่ร้อนระอุของหลิ่วสืออีตามไประเบิดต่อ
ไอร้อนอบอวล
แสงสว่างตรงถ้ำไกลลิบเข้ามาใกล้ทีละนิด
หลิ่วสืออีเหยียบแผ่นไม้แตก ค่อยๆ ลอยไปตามแม่น้ำ
เขาใช้สองมือกดปราณนิรันดร์ ปักลงน้ำไปครึ่งหนึ่ง ปราณกระบี่ร้อนระอุเปลี่ยนสายน้ำไหลด้านล่างเป็นสีแดงและแผ่ขยายออกไป
ไม่ไกลกัน ร่างหญิงชุดคลุมขาวพลันลอยลงมา ตอนที่ตกลงบนผิวน้ำ ใต้เท้าส่งเสียงน้ำแข็งแตก
น้ำแข็งกับไฟ ต่างแยกกันเป็นสองฝั่ง
ลอยออกจากถ้ำมืด สองข้างแม่น้ำเป็นเทือกเขาเรียงราย ข้างบนไม่ใช่ฟ้าใสเหมือนก่อน แต่เป็นเมฆครึ้ม
ยันต์กดพลังห่อหุ้มรวมถึงเกราะภายนอกของปราณกระบี่พินิจเหมันต์พอจะรักษาสภาพเรือเล็กของหนิงอี้กับเผยฝานได้
“แดนประจิมจะเปลี่ยนฟ้าแล้ว…” หนิงอี้ลุกขึ้น สีหน้าแปลกประหลาดถึงที่สุด
เผยฝานลุกขึ้นเช่นกัน นางมองหญิงชุดคลุมขาวที่ยืนบนผิวน้ำเช่นเดียวกับหนิงอี้
นักกระบี่หญิงวิมานเทพคุกเข่าข้างหนึ่ง นางเอามือปัดบ่าเบาๆ อาภรณ์ส่วนน้อยถูกปราณกระบี่ของหลิ่วสืออีฟันขาด ตอนนี้เผาไหม้เป็นเถ้าถ่านสีดำแล้ว
หลิ่วสืออีเอ่ย “เจ้า…ชื่ออะไร”
หลังจากเงียบไปช่วงสั้นๆ
“ข้าชื่อ ฉาวลู่”
นางลุกขึ้นยืน สองมือวางตรงด้ามกระบี่อีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่วางเฉยๆ อีก แต่เพิ่มแรงขึ้นช้าๆ กดจนปลายฝักกระบี่ยกขึ้น
ปราณกระบี่สั่งสมจนเต็มแล้ว
แม่น้ำใหญ่เป็นน้ำแข็ง
เรือเล็กติดอยู่บนพื้นน้ำแข็ง
ภายนอกยันต์กดพลังเกิดน้ำแข็งเกาะ
หนิงอี้พูดงึมงำ “เป็นขอบเขตที่สิบจริงๆ…เป็นไปได้อย่างไร?”
………………………….