เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 299 ชมหิมะแดนเทวายอดเหมันต์แ
ตอนที่ 299 ชมหิมะแดนเทวายอดเหมันต์
แม่น้ำหลีเจียงไม่นิ่งอีกต่อไป
วงคลื่นน้ำกระจายออกรอบเรือเล็กสองลำ เหมือนเทือกเขาขึ้นลง
ในถ้ำมืด แสงสว่างสองสายลอยขึ้นช้าๆ
‘ตะเกียง’ ที่หลิ่วสืออีรวมขึ้นจากปราณกระบี่ตรงบ่าลอยขึ้นช้าๆ แล้วหยุดค้างอยู่ด้านบนถ้ำ ปราณกระบี่ในตะเกียงควบแน่นไม่ปล่อยออกมา แสงที่สว่างออกมาเหมือนกับดวงตะวันแดงเล็ก
หญิงชุดขาวที่หยัดกายขึ้นช้าๆ นั้น ตรงคอผูกเชือกแดง ดูเปราะบางที่สุด พร้อมจะถูกลมพัดขาดได้ทุกเมื่อ ชุดคลุมใหญ่ข้างหลังสะบัดดังพึ่บพั่บ มือข้างหนึ่งถือตะเกียงนั้น แสงสว่างตรงข้ามกับหลิ่วสืออีอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับดวงจันทร์สุกสกาวมากกว่า นางปล่อยมือที่ถือตะเกียง ทั้งตะเกียงกระดาษมันลอยขึ้นอยู่ในความสูงระดับเดียวกับปราณกระบี่ของหลิ่วสืออี ไม่มีใครสูงกว่าใคร
หนิงอี้หรี่ตาลง จ้องตะเกียงกระดาษมันด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
ปราณกระบี่ของหลิ่วสืออีรวมเป็นแสงสว่างส่องถ้ำ
ส่วนตะเกียงกระดาษมันของหญิงคนนั้น กลับไม่เห็นถึงแสงดาราและร่องรอยพลังภายนอกเลย หลังปล่อยมือก็ลอยขึ้นอย่างไม่มีสัญญาณใดๆ เช่นนี้…กลอุบายเช่นนี้ ทำได้อย่างไรกัน
หนิงอี้หันหน้าไปมองแม่นางชุดคราม
เผยฝานรู้สึกถึงสายตาของหนิงอี้ก็ส่ายหน้า
“ไม่เหมือนวิชาของต้าสุย…” นางพูดงึมงำ “พลังบำเพ็ญของนางก็สูงจนไร้เหตุผล”
ผิวน้ำหลีเจียงเกิดความหนาวขึ้น
หญิงชุดขาวที่เหยียบตรงหัวเรือมีรูปร่างสูงโปร่ง เครื่องหน้าดูอ่อนโยนเหมือนแมวป่า คิ้วและดวงตาโอนอ่อน ทางซ้ายและขวาห้อยฝักกระบี่ข้างละเล่ม ชุดคลุมใหญ่ถูกสายลมแม่น้ำที่แรงขึ้นเรื่อยๆ พัดไปข้างหลัง ฝ่ามือขาวเนียนดุจหยกกดที่ฝักกระบี่เบาๆ ฝ่ามือกดกับฝักกระบี่ ไม่ได้ออกแรงเท่าไร มีท่าทีดูเกียจคร้าน
นางเอ่ยเสียงเบา “ข้ามาจากทะเลตะวันตก”
หลังจากหลิ่วสืออียืนขึ้นช้าๆ เขาก็นำปราณนิรันดร์ที่วางไว้บนตักตั้งไว้ตรงหัวเรือ ปักลงหัวเรือเบาๆ ปลายกระบี่ส่วนเล็กปักเข้าไปอย่างไม่มีติดขัดอะไรเหมือนแทงหน้ากลองแตก
คนคลั่งกระบี่ในชุดขาวสองมือกดที่ด้ามกระบี่
ทะเลตะวันตก…
อาจารย์เคยบอกว่าผู้บำเพ็ญจากทะเลตะวันตก เรื่องกำลังรบไม่รู้ แต่เพราะใช้โอสถจึงมีพลังบำเพ็ญสูง…เส้นทางบำเพ็ญของวิมานเทพกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ไม่กดพลังบำเพ็ญฝึกฝน แต่กลับใช้พลังภายนอกช่วยฝึกฝน
พลังในตัวหญิงคนนั้นซ่อนไว้ลึกมาก ตอนนี้เผยออกมาทีละนิด น้ำในแม่น้ำหลีเจียงก่อตัวแข็งขึ้นเป็นใยแมงมุมรอบตัวนาง และยังลุกลามออกไปช้าๆ บนคลื่นแม่น้ำ
เรือเล็กสองลำประจันหน้ากัน
แล่นไปทางตะวันตกตามคลื่น
ตะเกียงลอยฟ้าสองอันก็ประจันหน้ากันเช่นกัน หญิงชุดขาวจากทะเลตะวันตกยืนประจันหน้ากับหลิ่วสืออี หินผาสองข้างผ่านไปช้าๆ ความเย็นเยือกสีครามเข้มควบแน่นขึ้น ไหลไปรวมที่ฝักกระบี่สองข้างซ้ายขวา
เรือใต้เท้าหลิ่วสืออีเกิดน้ำแข็งเกาะบางๆ
เรือโคลงเคลงขึ้นลง ตอนที่ลงมาจะกระแทกน้ำแข็งหลุดออกไปชั้นหนึ่ง
หนิงอี้หันไปมอง ตรงจุดที่เรือเล็กของตนผ่าน ตอนนี้เกิดเป็นน้ำแข็งบางๆ เจตจำนงกระบี่ของหญิงทะเลตะวันตกแผ่ออกมา แช่แข็งแม่น้ำหลีเจียง ให้คงสภาพอยู่ในตอนที่แม่น้ำกระเซ็น
หลิ่วสืออีพ่นคำออกมาอย่างไร้ความรู้สึก
“สวีไหลแห่งทะเลตะวันตกรึ”
หญิงชุดขาวตอบด้วยรอยยิ้ม
“สวีไหลแห่งทะเลตะวันตก”
ตรงเอวนางห้อยป้ายคำสั่งหยกคราม บนนั้นเขียนคำว่า ‘วิมานเทพ’
ใต้ฟ้าต้าสุยเข้าใจในตัวผู้บำเพ็ญทะเลตะวันตกน้อยมาก
บนเกาะวิมานเทพ โอสถ สมบัติวิเศษ ค่ายกลสังหาร สามเรื่องนี้ ความจริงผู้บำเพ็ญทะเลตะวันตกชำนาญที่สุด…เทียบกับการปะทะกายและจิตซึ่งหน้าของจอมยุทธ์แดนเหนือพวกนั้นแล้ว พวกเขาให้ความสำคัญกับการใช้พลังบำเพ็ญที่สูงกว่ากับวิชาที่ลี้ลับกว่ากำราบอีกฝ่าย
ป้ายคำสั่งวิมานเทพนั้น ข้างในหุ้มแสงสีขาว ไม่ได้ปล่อยออกมา หากทุบป้ายคำสั่งแตก เก็บแสงอ่อนนั้นไปก็จะพบว่าแสงนั้นกับแสงตะเกียงกระดาษมันบนศีรษะหญิงชุดขาวไม่ต่างกันเลย แสงที่จุดไส้ตะเกียงในตะเกียงกระดาษมันก็คือความลับที่ทำให้มันลอยขึ้น
ในตะเกียงกระดาษมัน แสงอ่อนวนเวียนแนบในกระดาษมัน วาดออกมาเป็นภาพสัญลักษณ์หนึ่งช้าๆ
เป็นดวงตาขีดตั้งตรงดวงหนึ่ง
…..
“ศิษย์พี่ เจ้าเก่งมากจริงๆ”
ในแดนเทวายอดเหมันต์ เสียงของสวีไหลเหมือนกับสายลมใบไม้ผลิอบอุ่น
เพียงแต่เขาไม่ได้มีสีหน้าโอนอ่อนอะไร
สุดทางบันไดยาวของแดนเทวายอดเหมันต์เปิดเป็นแสงสว่างสายหนึ่ง หลังสวีไหลก้าวเข้ามา แดนเทวาก็ปิดลงอีกครั้ง
หลิ่วสือเงยหน้าขึ้น เพ่งสายตามอง
บนแดนเทวาเหนือศีรษะตนมีเศษน้ำแข็งย้อยลงมาหลายแท่ง
ตอนนี้สวีไหลที่เดินลงบันไดมาทีละก้าวมีใบหน้ามืดทะมึน ชุดดำโบกสะบัด แท่งน้ำแข็งที่ย้อยลงมาบนศีรษะหลิ่วสือมีลักษณะเหมือนหินย้อยที่สั่งสมมาหมื่นปี เพียงแต่ตรงปลายแหลมเหมือนปลายกระบี่ เขาแค่โบกมือมันก็แตกหักตั้งแต่ส่วนก้น…
ตกลงมาอย่างรวดเร็ว!
กระแทกพื้น เศษน้ำแข็งกระจาย
หลิ่วสือที่เส้นผมกระเซอะกระเซิงลมหายใจไม่เกิดความแปรปรวนใดๆ เขาจ้องแท่งน้ำแข็งที่ตอกลงพื้นห่างจากตรงหน้าเขาสามฉื่อ ปลายแหลมแตกเป็นน้ำแข็งกระจาย ส่วนก้นชี้ฟ้า ตรงรอยตัดค่อนข้างเรียบ
ส่วนศิษย์น้องที่ดูเหมือนโกรธมาก แต่ใบหน้ายังคงรักษามาดนิ่งไว้คนนั้น หลังเดินลงบันไดยาวแดนเทวายอดเหมันต์แล้วก็นั่งบนแท่งน้ำแข็ง จ้องตนอย่างเย็นชา
สวีไหลพูดอย่างเย็นชา “เจ้าซ่อนยอดเหมันต์ไว้ที่ใดกันแน่”
หลิ่วสือยิ้ม ไม่ตอบ
ตอนนี้ความโกรธของสวีไหลดูน่าขำอยู่บ้าง ยอดผู้บำเพ็ญราชันดาราผู้มีหน้าตาสุภาพเรียบร้อยคนนี้ ออกจากต้าสุยไปเร็วมาก หลังจากเข้าเกาะวิมานเทพทะเลตะวันตก รูปร่างก็ยังคงหนุ่ม ใช้โอสถฝึกบำเพ็ญมาตลอด ทำให้เนื้อหนังเขาในตอนนี้มีปราณกระบี่ดุดัน มีความเป็นเซียนนอกทะเล แต่ที่มากกว่านั้น…คือความหัวดื้อที่ไม่ได้ลับขอบและมุมให้เรียบ
หลิ่วสือมองศิษย์น้อง ก่อนพูดด้วยริมฝีปากแห้ง “เจ้าอยากได้กระบี่ยอดเหมันต์ของอาจารย์มาประกบคู่กัน…แต่อย่าลืมว่าเหตุใดตอนนั้นอาจารย์ถึงตายที่เมืองหลวง”
สวีไหลเงียบลง
ก่อนเขาออกจากทะเลสาบกระบี่ ได้ขโมยฝักกระบี่ของยอดเหมันต์ที่อาจารย์ดูแลไป
สมบัติสุดยอดของตำหนักทะเลสาบกระบี่ แม้จะมีชื่อว่ายอดเหมันต์ แต่ความจริงเป็นกระบี่คู่ ยอดเหมันต์กับชีวิตนิรันดร์จะขาดสิ่งใดไปไม่ได้
หลังเขาขโมยฝักกระบี่ชีวิตนิรันดร์ไป อาจารย์ไม่ได้เดินทางไปวิมานเทพทะเลตะวันตกเพื่อเอาเรื่องตน…สวีไหลสบายใจและวางความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนลง
ต่อมาในตอนที่เขาได้ข่าวของตำหนักทะเลสาบกระบี่อีกครั้ง ก็คือข่าวด่วนเรื่องการตายของอาจารย์
ชายหนุ่มชุดดำนั่งบนแท่งน้ำแข็ง สีหน้าเขามีความซับซ้อนวูบผ่าน ก่อนจะกลับมาเย็นชาดังเดิม
สวีไหลพูดอย่างเฉยชา “คนตายไปแล้ว คืนชีพมาไม่ได้อีก…หลิ่วสือ ข้ากับอาจารย์และก็เจ้า ต่างกระทบกระทั่งกันเรื่องแนวคิดการบำเพ็ญ ตอนนั้นเราเถียงกันไม่รู้ใครถูกผิด แต่เวลาจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง อาจารย์บอกว่าต้องกดพลังบำเพ็ญฝึกฝน แต่เขาขาดฝักกระบี่ไปจึงถูกเผยหมินฆ่า…ต่อให้ตอนนั้นให้ชีวิตนิรันดร์กับเขา ยังจะทำอะไรได้เล่า”
โซ่สั่นสะเทือนเสียงดัง
หลิ่วสือพลันโน้มใบหน้าไปข้างหน้า ตัวลากโซ่น้ำแข็ง สะเทือนเศษน้ำแข็งหลุด
“ตอนนั้นอาจารย์เก็บเจ้ากลับมาทะเลสาบกระบี่ สอนเจ้าฝึกกระบี่ สอนเจ้าเป็นคน จนเจ้าจะชิงตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์…แต่เวลาที่ทะเลสาบกระบี่ต้องการเจ้า เจ้าไปอยู่ที่ใด วันที่เจ้าเอาชีวิตนิรันดร์ไป ก็บอกข้าว่าแค่ขอยืมกระบี่ เดี๋ยวก็คืน แล้ววันที่ต้องคืนกระบี่ เจ้าไปอยู่ที่ใดกัน”
“ข้ารับโทษแทนเจ้า ปิดด่านบำเพ็ญใต้ภูเขาน้ำตกใหญ่สิบปี…สิบปี!”
“สวีไหล…ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่เคยแค้นเจ้า แต่อาจารย์ตายที่เมืองหลวงเพราะชีวิตนิรันดร์ ตอนนี้…เจ้ายังพูดเช่นนี้ออกมาได้อีกรึ”
หลิ่วสือกัดฟันพูดทีละคำ
“พูดให้ถูกคือเจ้ามันเนรคุณ!”
เศษน้ำแข็งในแดนเทวายอดเหมันต์แตกกระจาย
เศษอาภรณ์ชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้มปลิวว่อน
หลิ่วสือกำสองหมัด โซ่ดึงจนตึง หลังพูดจบ ในความคิดเขาก็ยังมีแต่ไฟร้อนระอุ
ทุกคำพูดตกลงทะเลสาบจิต
เนรคุณ…
สวีไหลเงียบไป ยอมรับคำต่อว่านี้
ชายหนุ่มชุดดำที่นั่งบนแท่งน้ำแข็งพ่นลมหายใจยาว มองใบหน้าศิษย์พี่ที่ถูกน้ำแข็งกัดจนเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ความโกรธของเขากลับหายไปทีละนิด
สวีไหลพูดอย่างเหนื่อยล้า
“เอายอดเหมันต์ให้ข้า ข้าจะพาตำหนักทะเลสาบกระบี่ไปสู่จุดสูงสุดของต้าสุยอีกครั้ง…เรื่องนี้ก็จบลงเท่านี้ ได้กระบี่แล้ว ข้าจะปล่อยเจ้าไปจากที่นี่”
หลิ่วสือยิ้มเยาะตัวเอง
“อย่ารีบร้อนปฏิเสธข้า”
สวีไหลยื่นมือมาข้างหนึ่ง
หิมะไหลมารวมกันเต็มฟ้า รวมที่ฝ่ามือเขาเป็นตะเกียงเล็กสวยงาม
ในตะเกียงจุดไส้ตะเกียงขาวหิมะ แสงสว่างราวกับดวงจันทร์
เหมือนกับตะเกียงของหญิงคนนั้นบนแม่น้ำหลีเจียงหลังจากปล่อยมือให้มันลอยขึ้นเอง
“วิชาพันโชคของหอบัว…” หลิ่วสือหรี่ตาลง
วิชานี้เรียนมาจากวิมานเทพ…แต่ขุดรากลึกลงไปก็มาจากคุณชายหยวนฉุนแห่งหอบัวเมืองหลวง
ดังนั้นสวีไหลเพียงแค่มองตะเกียงนั้นนิ่งๆ ไม่ได้ปฏิเสธ
เขาปาตะเกียงออกไปเบาๆ ก็เกิดไฟลุกขึ้นกลางอากาศ
หลังตะเกียงลุกไหม้ ไส้ตะเกียงขาวหิมะก็กลายเป็นแสงสว่างเผยภาพตรงหน้าบุรุษชุดคลุมเต๋าสีฟ้าเข้ม
แม่น้ำหลีเจียง เกิดคลื่นขึ้นลง เรือเล็กสองลำ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ศิษย์ของตนเอาสองมือกดด้ามกระบี่ปราณนิรันดร์ที่เป็นรูปร่างไม้กางเขน ยืนตรงหัวเรือ
“สืออี…” หลิ่วสือหน้าขาวซีด แม่น้ำหลีเจียงคือเส้นทางน้ำที่ต้องผ่านจากแดนกลางไปแดนประจิม ตอนนี้ศิษย์ตนนั่งเรือมาด้วยเรื่องใดนั้นชัดเจนที่สุดแล้ว
สวีไหลยิ้ม “ศิษย์ของเจ้ากับข้าเจอกับบนแม่น้ำหลีเจียง…ตอนแรกคิดว่าฉาวลู่ต้องออกจากแดนประจิม เสียเวลานานกว่าจะหาเจอ แต่ไม่นึกเลยว่า…จะไม่เสียเวลาเลยสักนิด”
“ศิษย์พี่ ข้าจะพิสูจน์ให้อาจารย์ที่ตายไปได้เห็นว่าเขาผิด เจ้าเองก็ผิด”
บุรุษชุดดำมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขาจ้องหลิ่วสือ “วันนี้ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็น”
……………………………..