เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 298 น้ำค้างแม่น้ำหลีเจียง
ตอนที่ 298 น้ำค้างแม่น้ำหลีเจียง
เทือกเขาป่าร้างแดนประจิม
นกบินส่งเสียงร้อง เงาลิงขยับไปมาระหว่างเถาวัลย์ใต้เงาต้นไม้
ร่างที่ไม่ผอมบางร่างหนึ่งเอาสองมือไพล่หลัง อาภรณ์โบกสะบัด กระโดดพุ่งขึ้นจากพื้น ทะยานออกไป ข้างหลังเกิดฝุ่นดินตลบ
ร่างนี้…ความจริงบอกว่าไม่ผอมบางก็ไม่เหมาะสมสักเท่าไร
พูดให้ถูกคือค่อนข้าง ‘กำยำ’
นกบินกระพือสองปีก ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนอ้วนนี่ถึงวิ่งเร็วขนาดนี้…เหตุใดเขาถึงเร็วขนาดนี้ได้
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลิงที่ใช้สองแขนจับเถาวัลย์ทะยานไปไม่หยุดแผดเสียงร้องแหลม พวกมันทำเต็มที่แล้วแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความเร็วของมนุษย์นั่นไม่ทัน มองไกลๆ เห็นแค่ชุดคลุมใหญ่เปื้อนฝุ่น ทิ้งระยะห่างไปกลางอากาศไกลขึ้นเรื่อยๆ ข้าวของทั้งตัวถูกโยนออกมาขณะทะยานไปด้วยความเร็วสูง
ม้วนเอกสารที่กระจายกลางอากาศ
กระดุมคุณภาพระดับเหล็กกล้า
ปิ่นปักผมไม้เปราะบาง
จากนั้นเป็นป้ายคำสั่งที่โยนออกมาจากในแขนเสื้อ
ลิงหยุดปีนป่าย มันขมวดคิ้วมองป้ายคำสั่งที่ปาโดนต้นไม้ ยังไม่ทันตกลงมันก็เอามือคว้าไว้…ด้านบนเขียนอักษรน้ำหมึกประหลาดไว้
ซาน…เอ้อร์…ชี?
หมายเลขสามสองเจ็ดหน้าแดงเรื่อ ลมหายใจกระชั้น วิ่งมาตลอดทาง ตอนนี้อาภรณ์ไม่เรียบร้อย เส้นผมกระเซอะกระเซิงดูน่าสงสาร แต่สีหน้าเขากลับเคร่งขรึมมาก ในดวงตาซ่อนประกายแหลมคมไว้…สองแขนเสื้อสะบัดไปตามลมไม่หยุด ดังพึ่บพั่บ การก้าวขาของเขาเร็วจนเห็นแต่เงา เหมือนกับล้อรถไฟลุกสีแดงอมทอง ขาสองข้างผูกเชือกไว้ ในนั้นผูกยันต์เทพกราย มันลุกไหม้ตลอดเวลา แผ่พลังแสงดาราร้อนระอุ
นี่คือสมบัติลับที่ทำให้เขาข้ามทุกแดนต้าสุยไปส่งข่าวกรองได้สำเร็จ
ตอนนี้ข้ามแดนกลางแล้ว
ออกจากประตูหยก ตอนนี้เขากำลังรีบมุ่งหน้าไปเขาสู่ซานแดนประจิม…หลังจากมอบเบาะแสให้ที่ทะเลทรายใหญ่นั้น เขาก็ทำภารกิจของท่านพันกรสำเร็จแล้ว ส่งข่าวสองเรื่องเรียบร้อย
ตามหลักแล้ว เขาไม่ต้องรีบร้อนกลับสำนักได้ สามารถอยู่ที่ประตูหยก ชมทิวทัศน์แดนกลางสักหน่อย เอ้อระเหยไปมาได้
ทว่า…อาจารย์อาน้อยหนิงคนนั้นได้ฝากคำพูดหนึ่งไว้กับเขาก่อนเดินทาง
เป็นคำพูดที่สำคัญมาก
เขาตบหน้าอกรับปากว่าจะส่งไปให้ถึงให้ได้
หมายเลขสามสองเจ็ดแห่งสำนักลับเขาสู่ซาน พูดแล้วต้องทำให้ได้
วันนี้เขาจะส่งคำพูดนั้น
วันนี้เขาจะต้องส่งคำพูดนั้นไปให้ได้
……
ชายขอบแดนกลาง
แม่น้ำใหญ่สายหนึ่งตัดข้ามดินแดน
แม่น้ำหลีเจียง
ผิวน้ำไม่มีคลื่น เรือเล็กลำหนึ่งผ่านไปช้าๆ คนหนุ่มสาวสามคนอยู่บนเรือ ชุดดำอาภรณ์ครามและชุดคลุมขาว สวมงอบไผ่บดบังใบหน้า ไม่มีคนพายเรือ สองข้างของเรือห้อยพายไม้ไว้ แต่ความจริงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร
ตัวเรือสั่นไหวเอง ใต้ท้องเรือมีคลื่นลับแหวกออกเป็นสายน้ำสองสายช้าๆ
เพื่อไม่ให้เตะตามากเกินไป เรือจึงไม่ได้แล่นไปเร็วนัก
กระบี่ซ่อนของเด็กสาวเคลื่อนเรือเล็กไปช้าๆ และมั่นคง แสงสีแดงตรงระหว่างคิ้วลอยขึ้นเหมือนไม้หอม
ผิวแม่น้ำหลีเจียงตอนนี้ยังไม่ได้ไหลแยกเป็นทาง มีเรือเที่ยวมากมาย เรือประดับหรูหรา คนงดงามอาภรณ์เบาบาง
หลิ่วสืออีวางปราณนิรันดร์นอนไว้บนตัก นั่งตรงหัวเรือ ชุดคลุมขาวพลิ้วไหวไปตามสายลมแม่น้ำ มีท่าทางดุจเซียน กระบี่ยาวที่ห่อด้วยผ้าดำเหมือนพิณโบราณ เขาใช้สองมือวางบนตัวกระบี่เบาๆ ทำท่าทางคีบดอกไม้ดึงสายพิณ
ต้องบอกว่าภายนอกหลิ่วสืออีดูดีมากจริงๆ
ต่อให้งอบไม้ไผ่ใหญ่นั่นจะปิดหน้า…ตอนนี้ด้วยท่าทางเหนือสามัญเช่นนี้ นั่งตรงหัวเรือลูบกระบี่ ก็ยังดึงดูดสายตาคนค่อนข้างมาก
แม่นางขายศิลปะบนเรือใหญ่หรูก้าวออกมาจากหอเรือ เกาะราวกั้นรับลม
หอชาดเรือหรู ทุกวันจะรับลูกค้าหลายร้อยถึงพันคน ท่องบนแม่น้ำหลีเจียงไปพลาง ร้องเล่นเต้นระบำไปพลาง คนที่เข้าหอมีอยู่สองประเภท ไม่คิดว่าตัวเองมีเงินตุงกระเป๋าก็คิดว่าตัวเองมีความสามารถเก่งกาจ…นางเห็นคุณชายผู้มั่งคั่งบนแม่น้ำหลีเจียงมาเยอะ เห็นจนเอียน บางครั้งก็คิดว่าตัวเองไม่สนใจทางโลก อยู่ร่วมกับคนธรรมดาไม่ได้แล้ว ตอนนี้แค่ปรายตามอง ไม่นึกเลยว่าแค่ปรายตามองเด็กหนุ่มสะโอดสะองดุจเซียนอย่างหลิ่วสืออีครั้งเดียว จะถึงกับเหม่อไปชั่วขณะได้
ชุดคลุมขาวยิ่งกว่าหิมะ รูปลักษณ์ผอมบาง
ไม่ใช่เพราะสายลมแม่น้ำชะล้างอาภรณ์
ผู้บำเพ็ญระดับหลิ่วสืออีสามารถใช้แสงดาราล้างฝุ่นจากทะเลทรายประตูหยกได้สบายอยู่แล้ว
สตรีบนเรือเหม่อลอย จนเมื่อได้สติกลับมา นางก็หน้าร้อนขึ้นมาสามส่วน ไม่กล้ามองชุดขาวไกลๆ นั้นอีก
พอนึกดูดีๆ ไม่ใช่ว่าตนอยู่ร่วมกับคนธรรมดาไม่ได้…แต่เด็กหนุ่มชุดขาวนั่นไม่ใช่คนธรรมดาของจริง
เหมือนเซียนจุติจากบนฟ้ามากกว่า
หลิ่วสืออีนั่งขัดสมาธิตรงหัวเรือเล็ก ไม่สนใจกับเรื่องนี้เลย
สายลมแม่น้ำพัดย้อนกลับมา เส้นผมใต้งอบถูกลมพัดขึ้นเล็กน้อย ลอยและตกลงไม่หยุด
เขาหลับตาลง ตอนนี้กำลังทำเรื่องที่จำเจมากอย่างหนึ่ง
ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงมาถึงทะเลทรายประตูหยกจนมาถึงแม่น้ำหลีเจียง
เขาทำสิ่งหนึ่งมาตลอด
ย้อนกลับไป…ตั้งแต่วันนั้นที่ถือกระบี่ เขาก็จำคำสอนของอาจารย์หลิ่วสือมาตลอด
เขาอดหลับอดนอนทำเรื่องนี้มาสิบกว่าปีแล้ว
ตระหนักรู้กระบี่
หลิ่วสืออีหลับตาลงช้าๆ
……
หนิงอี้ประสานสองมือไว้หลังศีรษะ ตัวเอนไปข้างหลัง เงยหน้ามองเมฆหมอก บนฟ้าครามเหมือนถูกชะล้าง แสงตะวันไม่แสบตา ความอบอุ่นส่องบนตัว สดใสและเงียบสงบ
รู้สึกเย็นสดชื่นในใจ
เผยฝานในชุดครามรูดแขนเสื้อมาครึ่งหนึ่ง ยื่นมือมา ปลายนิ้วสัมผัสกับแม่น้ำ จากนั้นกวนเบาๆ ฝ่ามือตบผิวน้ำ ทันทีที่สัมผัสก็ยกขึ้น เกิดเป็นลายสายน้ำกระเพื่อมตลอดทาง
เด็กสาวทำซ้ำเช่นนี้ ตอนที่วางฝ่ามือลงและยกขึ้นมือก็ยังแห้งอยู่ ไม่ได้เปียกน้ำอะไรเลย ท่าทางการยกมือกดลงและเก็บมือไม่ได้ใช้แสงดารากระบี่ซ่อน แต่เหมือนใช้ท่วงทำนองอย่างหนึ่งมากกว่า
เรียกว่าพลัง
คนยังไม่ถึง พลังไปถึงก่อน
เด็กสาวไม่รู้ว่าวิชาที่ตนตระหนักจากการเล่นน้ำโดยไม่รู้ตัวนี้ ที่เขาวิญญาณเรียกว่า ‘อัสนีกลางมือ’ ก็ตรงตามชื่อ ออกฝ่ามือเหมือนกลางฝ่ามือมีสายฟ้าอยู่ อานุภาพสะเทือนออกไป ไม่ต้องสัมผัสเลือดเนื้อก็ส่งพลังทั้งหมดไปได้ ส่งพลังจากฝ่ามือก่อน แล้วค่อยส่งผ่านอากาศออกไป
แม่นางน้อยชุดครามดวงตาสว่างไสวปราดเปรียวตบคลื่นน้ำไปตลอดทางอย่างไม่รำคาญเช่นนี้
ตรงหน้าห่างไปไม่ไกลเป็นทางเข้าระหว่างภูเขาสองลูก ผ่านหน้าผานี้ไปจะเป็นแดนประจิม
การจะเข้าแดนประจิม ไปทางน้ำก็จะต้องผ่านกลางภูเขาไป ได้ยินว่ายอดผู้บำเพ็ญบรรพบุรุษของตำหนักทะเลสาบกระบี่ท่านหนึ่งใช้ปราณกระบี่เปิดเส้นทางกลางภูเขา ให้แม่น้ำหลีเจียงไหลเข้าไปได้ มองไกลๆ เหนือแม่น้ำมีภูเขา เงาสีเขียวซ้อนทับกัน เหมือนกับภาพน้ำหมึก มีความนุ่มนวล
เด็กสาวก้มตัวลงไปตักน้ำแม่น้ำหลีเจียงขึ้นมาจิบเบาๆ ดวงตาสว่าง ก่อนหันไปมองหนิงอี้ที่พิงอยู่ท้ายเรืออย่างเกียจคร้าน “หวานมาก พี่ ลองชิมดูหน่อยสิ”
หนิงอี้ที่กำลังเคี้ยวก้านดอกหญ้าลืมตาขึ้นช้าๆ
ใสสะอาด เงียบ เขียวขจี หวาน เย็นสบาย
แม่น้ำหลีเจียงถูกขนานนามด้วยห้าคำนี้ ระหว่างทาง ผิวน้ำครามกระเพื่อม สายลมเบาพัดมา เกิดคลื่นขึ้น
ดูแล้วเงียบสงบ
เด็กหนุ่มริมฝีปากแห้งลุกขึ้นนั่งช้าๆ เอามือข้างหนึ่งตักน้ำแม่น้ำขึ้นมาจิบเบาๆ ที่เหลือเอามาล้างหน้า คลึงระหว่างคิ้วแห้งผาก
ตั้งแต่ออกมาจากประตูหยกจนถึงที่นี่ เขาไม่ได้ดื่มน้ำเลย
หนิงอี้มองหลิ่วสืออีที่นั่งตรงหัวเรือเพียงลำพังด้วยสีหน้าซับซ้อน
เขาไม่ใช่คนคลั่งกระบี่นั่น…ที่จะไม่ดื่มน้ำไม่นอนหลับสามวันสามคืน เอาแต่จ้องกระบี่ตระหนักรู้ได้
หลิ่วสืออีห่างจากขอบเขตที่แปดเพียงก้าวเดียว
เขาหยุดอยู่ที่ปราณกระบี่ขั้นสองมานานมาก ตั้งแต่ศึกที่หุบเขานิรันดร์ก็หยุดอยู่ที่ขั้นสอง
แสงดารากับปราณกระบี่ล้วนขาดเพียงก้าวเดียว
สั่งสมพลังรอปะทุ พูดง่ายแต่ทำยาก
บนเส้นทางบำเพ็ญ จิตมรรคจะเกิดปัญหาได้ง่าย หากนานเข้าไม่ทะลวงพลังสักที เช่นนั้นก็จะเกิดความสงสัยขึ้นได้
โดยเฉพาะวิชาการฝึกบำเพ็ญของตำหนักทะเลสาบกระบี่ยิ่งเป็นเช่นนี้ กดพลังฝึกฝน ทำให้ขอบเขตพลังปราณกระบี่ของหลิ่วสืออีสูงกว่าพลังบำเพ็ญหนึ่งขั้น เทียบกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ต้าสุยคนอื่นแล้ว ขอบเขตพลังแสงดาราของเขาต่ำที่สุด
ทว่าสิ่งหนึ่งที่คนคลั่งกระบี่เป็นที่เคารพก็อยู่ตรงนี้ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเดินช้าและคิดจะไล่ตามคนอื่นเลย…เยี่ยหงฝูกับเฉาหลันฝึกบำเพ็ญสุดชีวิตก็เพราะมีเซียนจุติเร็วกว่าพวกเขาก้าวหนึ่งเสมอ บุตรศักดิ์สิทธิ์คนอื่นไปจนถึงหนิงอี้ล้วนมีเป้าหมายไล่ตาม
เซียนจุตินั่งบนรายนามดาราสูงส่ง
ส่วนหลิ่วสืออีเหมือนเซียนจุติที่ไม่สนใจทางโลกอีกคนมากกว่า
เขาไม่ไล่ตามใคร
เขาเพียงแค่ไล่ตามตัวเอง
จิตใจเช่นนี้น่าชื่นชมอย่างยิ่ง ลองถามต้าสุยตอนนี้ดูว่ามีสักกี่คนที่ทำได้
หนิงอี้ถามตัวเองก็รู้เลยว่าอย่างน้อยเขาก็ทำไม่ได้
เงามืดปกคลุมลงมา
เรือเล็กแล่นไปข้างหน้าบนแม่น้ำหลีเจียงไม่ช้าไม่เร็ว เข้าไปในถ้ำนั้น
มืดมิด
หนิงอี้ยื่นมือไปข้างหนึ่ง ยกมือขึ้นมาจากสายน้ำช้าๆ
เขาก้มตัวลงไปตักน้ำครั้งที่สอง
ยังไม่ทันดื่ม ทันใดนั้นเองมีหยดน้ำหยดหนึ่งตกลงมา
ตกบนคิ้วหนิงอี้เบาๆ
หยดน้ำนั้นตกลงก็ยังไม่แตก แต่ไหลลงไป
ไหลจนมาถึงริมฝีปากแห้งของหนิงอี้
หวาน
หวานมาก
เหมือนกับน้ำค้างตอนเช้าตรู่
หลิ่วสืออีที่นั่งตรงหัวเรือ สองมือกดกระบี่ ผ้าดำที่ห่อปราณนิรันดร์ถูกปราณกระบี่ฉีกไปทีละนิด ในถ้ำมืดแห่งนี้เหมือนกับเศษหิมะละลายในฤดูใบไม้ผลิ พัดลอยไปข้างหลัง เถ้าดำเหมือนธุลี จุดแสงสว่างขึ้นในช่วงสั้นๆ
ถ้ำมืดมิดที่ไกลออกไป บนเรือเล็กที่จอดอยู่ตรงข้ามมีร่างเงาหญิงผอมสูงหยัดกายขึ้นช้าๆ
หญิงคนนั้นถือตะเกียงส่องใบหน้างาม ตรงคอผูกเชือกสีแดง ชุดคลุมขาวสะบัดขึ้นลงบนผิวน้ำดำมืด
หนิงอี้พูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “โลกกลมจริงๆ”
หลิ่วสืออีลุกขึ้นด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ เถ้าถ่านปราณกระบี่เต็มฟ้ารวมอยู่ข้างกายเขา กลายเป็นตะเกียงปราณกระบี่ ไม่ต้องถือ แต่ลอยอยู่บนบ่าเขาเอง
“พวกเจ้าสองคน คอยดูก็พอ”
……………………………