เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 292 ปีศาจน้อย (1)
ตอนที่ 292 ปีศาจน้อย (1)
ข้าเป็นปีศาจ
ปีศาจที่ชื่ออาชุน
ปีศาจที่อยู่ใต้ดินประตูหยกมาร้อยปี
เป็นปีศาจน้อยตนหนึ่ง
….
ประตูหยกเป็นทะเลทราย พายุทรายถาโถม ธุลีลอยไปมา มีคนมีม้ามีดาบและกระบี่ มีจอมยุทธ มีการเข่นฆ่า
ใต้ดินประตูหยกไม่มีอะไรพวกนี้
ใต้ดินประตูหยก มีเพียงข้าและเจียหลัว
ข้าเป็นต้นหลิ่วรวงสั้น เจียหลัวเป็นจิ้งจอกสวรรค์
….
เปิดจิตวิญญาณครั้งแรก ข้าไม่รู้อะไรเลย
เจียหลัวบอกข้าว่าภูเขาลำธารข้างนอก มีดอกไม้บานดอกไม้โรยรา มีทิวทัศน์มากมาย
เขาบอกว่าแดนทักษิณของต้าสุยมีภูเขาใหญ่แสนลี้ ทุกที่มีแต่ดอกชาภูเขา ดอกไม้งามสะพรั่งไปหมด
ดวงตะวันจะขึ้นบนทะเลตะวันออก ยามเย็นจะลับสุดทางทะเลตะวันตก
สามหมื่นหกพันลี้ใต้ฟ้านี้ หากไม่เคยฝึกบำเพ็ญ ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจเดินเท้าเห็นทิวทัศน์ในโลกได้ทั้งหมด
เขายังบอกอีกว่าแดนอุดรของต้าสุยมีมหาสมุทรลอยฟ้ายิ่งใหญ่
สุดทางมหาสมุทร…ที่นั่นมีโลกใหม่อีกโลก
ที่นั่นต่างหากคือบ้านเกิดของปีศาจ
ข้าไม่รู้ว่าบ้านเกิดหมายถึงอะไร เจียหลัวบอกข้าว่าบ้านเกิดก็คือบ้าน เป็นที่ที่เกิดและนอนหลับได้อย่างสบายใจ
ดังนั้นข้าจึงถามเจียหลัว ประตูหยกถือว่าเป็นบ้านเกิดของข้าหรือไม่
เจียหลัวบอกข้าว่าสักวันข้าจะออกจากต้าสุย จะได้ไปในที่ที่ดีกว่า ปีศาจมีอายุขัยยืนยาว ข้าออกจากที่นี่ได้ ไปทะเลสุดทางเหนือได้
พายุทรายที่ประตูหยกรุนแรงมาก ความคิดพวกมนุษย์ก็สกปรกมาก
ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจความหมายของเขา
ข้ารู้สึกว่าที่ที่มีเจียหลัวอยู่ก็คือบ้านเกิด
เขาอยู่กับข้าตอนกำเนิด
ข้าก็จะหลับใหลชั่วนิรันดร์กับเขา
ส่วนทิวทัศน์สวยงามข้างนอกนั่น มหาสมุทรสุดแดนเหนือนั่น
ข้าไม่สนใจ
ประตูหยกมีพายุทรายแรงมาก แต่ประตูหยกมีเจียหลัว ดังนั้นพายุทรายจึงไม่แรงอีกแล้ว
เดิมทีข้าคิดว่ากาลเวลาใต้ประตูหยกจะไหลไปช้าๆ จนถึงสุดทางชีวิตของข้า เพลิงจิ้งจอกของเจียหลัวจะจุดแสงส่องความมืด ไล่ความหนาวเหน็บ
แต่ข้าคิดผิด
เมื่อยอดผู้บำเพ็ญกรมปราบปีศาจนำเลือกจิ้งจอกสวรรค์เดือดมาทะเลทรายประตูหยก
ข้าก็ได้ยินคำสั่งของเจ้าของใต้ฟ้าต้าสุยตอนนั้น
เลือดจิ้งจอกสวรรค์เดือดนั้นราดลงในทราย ข้านึกถึงภาพตอนที่เปิดจิตวิญญาณ…กรมปราบปีศาจถลกหนังเจียหลัว บ่มเพาะเลือดปีศาจ หลังข้าเปิดจิตวิญญาณ พวกเขาก็ไม่มาอีก เหตุใดวันนี้ถึงมาที่นี่กัน
เลือดไหลซึมลงไป
ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นคุ้นเคยในเลือด
เลือดของเจียหลัวไม่ได้มาพร้อมกับความอบอุ่น
ขณะที่หยดเลือดไหลลงมา เพลิงจิ้งจอกสว่างดุจตะเกียงวูบไหวไปมา
เกือบจะดับลง
ผู้บำเพ็ญเมืองหลวงจะเสริมพลังค่ายกลทุกร้อยปี
ข้าจะออกจากประตูหยกเพื่อช่วยเจียหลัว
ต่อมาข้าถึงรู้ว่าต้าสุยมาถึงยุครุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จักรพรรดิองค์ใหม่เอาชนะเผ่าปีศาจมหาสมุทรทางเหนือ ต่อให้ข้าฝึกฝนจนเป็นยอดปีศาจเชื่อมฟ้าเชื่อมปฐพี การจะพาเจียหลัวกลับบ้านเกิดก็คงเป็นไปไม่ได้
ใต้ด่านของต้าสุยขังราชันปีศาจอายุยืนยาวไว้ เจียหลัวเป็นเพียงหนึ่งในนั้น
หลังจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ กรมปราบปีศาจก็เริ่มผนึกประตูหยกอีกครั้ง
ทุกครั้งที่ราดเลือดจิ้งจอกสวรรค์ สำหรับเจียหลัวแล้วเป็นความเจ็บปวดแผดเผาจิตวิญญาณ ในกายข้ามีเลือดเขาไหลเวียน เดิมทีข้าควรอยู่ เจ็บปวดร่วมกับเขา แต่ข้าไม่
ข้าต้องออกจากประตูหยก
ตอนที่ข้าออกจากประตูหยก ไม่ได้เอาอะไรไปเลย เอาไปเพียงดินเหลืองกำหนึ่ง ใส่ในกระเป๋า ห้อยคอไว้
เจียหลัวบอกข้าว่าเขาจะมอบของขวัญให้ข้าชิ้นหนึ่ง รอเจอกันครั้งหน้า ข้าจะรู้ว่าคืออะไร
ตอนจากกัน ข้าโบกมือลา เสียงเจียหลัวดังก้องอยู่ข้างหู เขาถามข้าว่าจำวันนั้นที่เปิดจิตวิญญาณได้หรือไม่
ข้าบอกว่าข้าจำได้แน่นอน
วันนั้นที่เปิดจิตวิญญาณ ข้าถามเจียหลัวหลายคำถามมาก
เจียหลัวก็ตอบอย่างไม่รำคาญ
ข้าจำคำพูดเจียหลัวได้ เขาบอกว่าตัวเองเสียทุกอย่าง ตอนนี้เหลือของเพียงสองอย่าง หนึ่งในนั้นคือกาลเวลาอันยาวนาน
เช่นนั้น…อีกอย่างคืออะไรกัน
ตอนจากกัน ข้าถามคำถามนี้กับเจียหลัว แต่เจียหลัวไม่ตอบ
ต้าสุยมีคำพูดหนึ่ง ส่งราชันพันลี้ สุดท้ายก็ต้องจากกัน
ตอนที่ข้าออกจากประตูหยกก็โดดเดี่ยวคนเดียวแล้ว
เจียหลัวหลับใหลรออยู่ใต้ดินประตูหยก ข้าเดินทางไปบนทะเลทรายเพียงลำพัง
ข้ากับเขาห่างกันไกลขึ้นเรื่อยๆ
ไกลออกไปมีเสียงเพลงรื่นหู
กระดิ่งลาแกว่งไปมา คนที่ร้องเพลงนอนบนเส้นขอบฟ้าด่านประตูหยก โคลงเคลงไปมา
เงาถูกดวงตะวันยามอัสดงลากไปยาวขึ้นเรื่อยๆ
ไกลพันลี้
ราตรีอันยาวนาน
ทะเลทรายกว้างใหญ่ มีจิ้งจอกหัวเราะเบาๆ
ผงทาแก้มสีแดงชาด เพลงกล่อมทางใต้แม่น้ำ
ภูเขามีสิ้นสุด ทะเลไม่เหือดแห้ง
ผ่านปีไปเช่นนี้ แสงตะเกียงไหวไปมา
เพียงแต่ไม่รู้
ยามที่พบกันอีกครั้ง ราชันจะจำได้หรือไม่
ออกจากประตูหยกก็เพื่อเจอกันครั้งหน้าตามที่เจียหลัวบอก
และเพื่อ…ไม่ต้องจากกันอีกตามที่ข้าต้องการ
……
ข้าได้ยินว่าใต้ฟ้าเผ่าปีศาจมีตะพาบใหญ่หมื่นปีตัวหนึ่ง ฝึกจากวิญญาณปีศาจปกติจนกลายเป็นเจ้าเมืองธารน้ำ ตอนที่เผยร่างจริง ร่างสูงเสียดฟ้า แข็งแกร่งทนทาน แค่ใช้จิตก็ท่องไปบนทะเลหมอก ท่องไปในสวรรค์เก้าชั้นได้
ตะพาบใหญ่นั่นอยู่มาหมื่นปีแล้ว
ข้ายังได้ยินมาว่า
สุดทางทะเลพลิกผันแดนอุดรมีนกใหญ่ปีกทองที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ สู้กับจักรพรรดิหนุ่มก่อนขึ้นครองราชย์ได้สูสี ไม่มีใครยอมใคร มีแขกวารีที่ปกครองใต้ฟ้าสี่สมุทร เดิมทีควรจะตายไปในกาลเวลาแล้ว แต่มีข่าวลือว่าคืนชีพมาอีกครั้ง มีวานรอริยะสัประยุทธ์ที่ใช้ฝ่ามือเดียวดันภูเขาตัดแม่น้ำได้ มียอดปีศาจกิเลนที่ควบคุมพายุสายฟ้ากลืนกินภูลำธารได้ มีมังกรจู๋หลงโบราณที่ปกครองเขตเพลิงแดนอุดร
หากข้าเป็นใครสักคนในพวกเขา
การจะช่วยเจียหลัวออกมาก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ข้าเป็นเพียงต้นหลิ่วรวงสั้น
ข้าไม่เคยได้ยินว่าทางแดนอุดร ในใต้ฟ้าเผ่าปีศาจจะมีต้นไม้ฝึกบำเพ็ญตนจนเป็นเจ้าปกครองหนึ่งดินแดนได้
ต่อให้เป็นคนชราที่เล่าลือว่ามีพรสวรรค์ทั่วไป ตอนที่ขึ้นหัวเมืองธารน้ำ…ก็ฝึกมาแล้วหมื่นปี
ข้ารอถึงหมื่นปีไม่ไหว
ข้าเคยคิดจะชิงหนังจิ้งจอกสวรรค์ในเมืองหลวง แต่ตอนที่ข้ามาถึงแดนกลางถึงได้รู้จักสิ่งที่มีชื่อว่า ‘ไข่มุกเชื่อมฟ้า’ ใต้การปกครองของจักรพรรดิ เขาจึงเห็นใบหน้าประชากรทุกคนชัดเจน
ข้าเป็นเพียงปีศาจน้อย เข้าเมืองหลวงก็เท่ากับส่งตัวเองไปตาย
ข้าฝึกฝนและเดินทางมาตลอดทาง
ข้าถูกนักพรตชุดหยาบแห่งสำนักเต๋าในอารามเต๋าเทือกเขาประจิมล่วงรู้ตัวตนปีศาจ เกือบเอาชีวิตไม่รอด
ข้าถูกผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเขาวิญญาณในอารามโพธิ์ดินบูรพาตัดตบะไปร้อยปี
ข้าถูกนักกระบี่แดนกลางทำลายร่างปีศาจไปครึ่งร่าง
ข้าห้อยถุงที่บรรจุทรายจากประตูหยกไว้ที่คออย่างระมัดระวัง หลังออกจากประตูหยก ข้ายิ่งเดินไปไกลมากเท่าไร น้ำหนักในใจก็เบาลงเรื่อยๆ เช่นกัน
เวลาจะเอาบางสิ่งไป
ต่อให้วางลงอีกครั้ง น้ำหนักก็จะไม่เหมือนเดิม
ในที่สุดข้าก็รู้ความหมายของคำว่าชีวิตไม่แน่นอน คนคนหนึ่ง ยิ่งมองของสิ่งหนึ่งล้ำค่ามากเท่าไร ยิ่งรักษาไว้ดีมากเท่าไร ก็จะยิ่งไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
ถุงกันทรายประตูหยกไหลออกไปได้ แต่กันการเปลี่ยนผ่านของเวลาไม่ได้
อารามเต๋าเทือกเขาประจิม อารามโพธิ์ดินบูรพา น้ำตกภูเขาลำธารแดนกลาง…ทุกครั้งที่ผ่านความเป็นตาย หลังรอดมาได้ ถุงที่ห้อยไว้ตรงคอข้าก็เหมือนจะเบาลงเล็กน้อย
ทรายไหลออกมา ไม่ได้ยินเสียง ไม่เห็น
ข้าท่องไปในใต้ฟ้าต้าสุย เห็นแต่ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์หลากหลาย นักพรตเต๋าที่เกือบจะฆ่าข้าที่อารามเต๋าเทือกเขาประจิมคนนั้น ต่อมาแก่ชราตายในอารามเต๋า ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเขาวิญญาณที่ตัดตบะข้า หลังนั่งละสังขารก็สลายเป็นเถ้าธุลี นักกระบี่แดนกลางที่ทำลายกายปีศาจข้าตายในการต่อสู้กับนักกระบี่คนอื่น
พวกเขาทำกับข้าเช่นนี้ ข้าไม่แค้นพวกเขาเลย ข้าถามตัวเองว่าหากเปลี่ยนจุดยืนกัน ข้าก็อาจจะลงมือโหดเหี้ยมกว่าพวกเขา เส้นทางการสังหารของคนกับปีศาจ เป็นตายขึ้นอยู่กับชะตา นี่คือหลักการของต้าสุย เหตุและผลกำหนดไว้แล้วว่าควรเป็นเช่นนี้
จะโทษก็โทษว่าข้ามีพลังบำเพ็ญต่ำต้อย
แต่เจตจำนงสวรรค์คาดเดาไม่ได้
พวกเขาตายแล้ว ข้ากลับยังมีชีวิต
ข้าเดินไปถึงสุดทางเรื่องราวชีวิตพวกเขาโดยไม่รู้สึกตัว
เมื่อทรายในถุงไหลออกมาหมด หันกลับไปมอง ข้าออกจากประตูหยกมาไม่รู้กี่ปีแล้ว เดิมทีคิดว่าอีกไม่นานข้าก็จะได้กลับไปถิ่นกำเนิดนั้นแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าทุกย่างก้าวจะไกลจากปลายทางขึ้นเรื่อยๆ และไกลขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจหลักการที่เจียหลัวบอกข้าแล้ว
ในที่สุดก็เข้าใจว่าของขวัญที่เขาจะมอบให้ข้า เรียกว่า ‘สติปัญญา’
เผ่าปีศาจมีอายุขัยมากกว่ามนุษย์มาก
ข้าเดินทางไปเหนือใต้ต้าสุย เห็นคนทุกยุค ดอกไม้บานดอกไม้โรยรา เกิดแก่เจ็บตาย กระดูกแห้ง สุดท้ายก็แยกจาก
เจียหลัวบอกข้าว่าอย่าเสียใจ อย่าเคียดแค้น นี่คือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด
ความเจ็บปวดทุกอย่างของมนุษย์มาจากความสุข รวมถึงความเศร้าหลังจากความสุขแตกสลาย
ทุกคนโหดเหี้ยมขึ้นได้ ขอแค่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าริษยา
ความแค้นจากความรัก ความรักเกิดจากความแค้น วนเวียนไปเนิ่นนาน กาลเวลาสั้น
แข็งแกร่งขึ้นได้ก็ต้องรู้จักลืมความรู้สึกพวกนี้
จะลืมความเศร้า ก็ต้องลืมความสุข
จะลืมความแค้น ก็ต้องลืมความชอบ
ข้าสังหารคนแรกที่ถิ่นรกร้างเทือกเขาประจิม เป็นนักพรตเต๋าที่เพิ่งออกเดินทางครั้งแรก ตบะน้อยมาก คุมตัวปีศาจพฤกษาที่เพิ่งเปิดจิตวิญญาณสามตนกลับสำนัก
น่าขำที่นักพรตเต๋าน้อยคนนั้นโง่เขลา มีความไร้เดียงสาที่เผ่ามนุษย์ไม่ควรมี ไม่เคยเห็นความซับซ้อนและบิดเบี้ยวของโลก ดังนั้นจึงสะอาดเหมือนกระดาษขาว
หากข้าชอบกลอน ข้าก็จะท่องกลอนแต่งคำ หากข้าชอบดนตรี ข้าก็จะดีดพิณเป่าขลุ่ย
โลกนี้ไม่มีบุรุษทึ่มทื่อไร้ความรู้ใดจะรังเกียจแม่นางที่ทั้งงดงามอ่อนโยนและยังชำนาญทุกอย่าง ดีกับเขาอีกต่างหาก
เขามองตัวตนข้าไม่ออก กระดิ่งสามวิสุทธิ์ที่อาจารย์มอบให้พังในการต่อสู้ ยันต์ด้ายทองก็เสียหาย ดังนั้นจึงรีบมาช่วยข้าที่ ‘บาดเจ็บ’
ข้าขอให้เขาพาข้าเดินทางไปด้วย
เขาไม่ปฏิเสธ
เวลาระหว่างทางสั้นมาก สำหรับข้าเป็นแค่พริบตาเดียว
ตอนจะแยกกัน เขากลับพูดกับข้าว่าเวลาระหว่างทางช่างยาวนานและกระวนกระวายใจ
ข้ารู้ว่าเขามีใจแล้ว
นี่เรียกว่าความชอบ
ชอบมากถึงที่สุด ข้าต้องการอะไรเขาก็จะให้
สุดท้ายข้าต้องการหัวใจจริงๆ ของเขา
และเขาก็ให้ข้า
……
นี่เป็นการฆ่าคนครั้งแรกของข้า ข้าพบว่ามีของอย่างหนึ่งที่คมกว่าดาบและกระบี่
ของสิ่งนั้นเรียกว่าใจคน
……………………..