เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 290 เจ้าจะฆ่าเขา ข้าก็จะฆ่าเจ้า
ตอนที่ 290 เจ้าจะฆ่าเขา ข้าก็จะฆ่าเจ้า
ใยฝนที่ปาออกไปนั้นลอยอยู่กลางอากาศ
ซูชีมีสามกระบี่
นอกจากปิ่นปักผมข้างหลังศีรษะที่ซ่อนไว้ลึกมากแล้ว
อีกสองเล่มห้อยไว้กับตัว
หนึ่งใช้สังหาร อีกเล่มใช้เดินทาง
กระบี่ไม้เล่มนั้นที่เพิ่งพุ่งออกไปทำลายร่างปีศาจพฤกษาไปตนหนึ่ง ตอกนางไว้ในทราย ความจริงกระบี่บินนั้นใช้แค่เดินทาง แต่พอใช้ขึ้นมาจริงๆ กลับมีอานุภาพน่าตกใจ
ปีศาจพฤกษาสามตน พลังบำเพ็ญอยู่เพียงขอบเขตกลาง ด้อยกว่าขอบเขตหลังไปขั้นใหญ่
เส้นทางบำเพ็ญ ต่างกันเพียงเล็กน้อยก็ผิดกันไกลพันลี้
มิหนำซ้ำ เหนือกว่าขอบเขตหลังยังมีขอบเขตที่สิบ หลังจากขอบเขตที่สิบถึงจะเป็นขอบเขตดาราชะตาจุดดารา
อย่าว่าแต่ปีศาจพฤกษาขอบเขตกลางสามตนนี้เลย
ต่อให้ตอนนี้ซูชีเข้าไปในป่าปีศาจ ถูกปีศาจพฤกษานับร้อยปิดล้อม ใช้แค่กระบี่ไม้เล่มเดียวก็สังหารปีศาจพฤกษาที่ขวางทางทั้งหมดได้
ทะเลทรายกว้างใหญ่
ปีศาจพฤกษาสองตนแผดเสียงร้องแหลมเล็ก เห็นพี่น้องตายกับตาตัวเอง พวกนางหันมามองด้วยความตื่นตระหนก จ้องยอดผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์คนนี้
‘ใยฝน’ ที่ลอยอยู่กลางอากาศทะเลทรายเล่มนั้น เนื่องจากแสงดาราถูกผนึก ปราณกระบี่ดิ้นรน จึงฟันลงมาในทันทีไม่ได้ ซูชีทำปางมือข้างหนึ่ง ก่อนเดินหน้าด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์
ตรงหน้าเขา ร่างหญิงชุดดำสองคนพลันขยายร่าง ไม้แห่งโผล่มาจากในชุดคลุม แขนเสื้อฉีกขาด ผ้าขาด หนึ่งในนั้นยกมือขึ้น ฝ่ามือสตรีที่เดิมทีขาวหิมะดุจหยก ตอนนี้เกิดรอยแตกแห้ง ฝ่ามือปริแตกช้าๆ ไอปีศาจในแขนแผ่มาไม่ขาดสาย
ก่อนธนูไม้สามดอกจะพุ่งออกมาจากรอยแตกนั้น
ซูชีแค่นยิ้ม เขาไม่ได้ใช้ใยฝน แต่เดินหนึ่งก้าว พลันมาอยู่หน้าหญิงปีศาจพฤกษาตนนั้น ธนูสามดอกเข้ามาใกล้แล้ว แต่กลับระเบิดดังปังห่างจากเขาไปสามฉื่อ เศษไม้กระจายยังไม่ทันมาถึงก็ถูกแขนเสื้อใหญ่กวาด หลังรวบไว้แล้วก็สะบัดไปด้านข้าง
เศษไม้ระเบิดดังปังๆ
ยอดนักกระบี่ชุดขาวฟาดแขนเสื้อ ตบเศษธนูไม้แตกและยังถือโอกาสมาอยู่ตรงหน้าหญิงปีศาจพฤกษาตนนี้ มือที่ฟาดแขนเสื้อก็ลงตรงคองามพอดี
ซูชีบีบคออีกฝ่ายไว้ ยกขึ้นสูง
ปีศาจพฤกษานั้นเผยร่างจริงมาครึ่งเดียว ครึ่งบนยังเป็นหญิงอรชร ร่างระหงขยับขึ้นลง ใบหน้าแดงอมเขียว
“ท่าน…ไว้ชีวิต…”
ยังไม่ทันพูด
ซูชียกหญิงงาม ‘วัยแรกแย้ม’ คนนี้ด้วยใบหน้าเฉยเมย หมดความอดทนแล้ว
พลันเคลื่อนจิตสังหาร
ปราณกระบี่ขอบเขตดาราชะตามหาศาลพุ่งออกจากฝ่ามือ
หญิงชุดดำที่ถูกซูชียกขึ้น ครึ่งตัวบนพลันระเบิดกระจาย สิ้นชีพไปเดี๋ยวนั้น ทว่าที่น่าตกใจคือซูชีบีบคอนางระเบิด ทั้งศีรษะระเบิด แต่กลับไม่มีเลือดสาด ทว่าเป็นเศษไม้ระเบิดกระจาย ลอยเป็นควันไปตามทราย
ภูตผีร่ำไห้ วิญญาณปีศาจดับสลาย
ใยฝนที่ลอยอยู่กลางอากาศตัวกระบี่สั่นไหว ลอยสูงเหมือนดวงจันทร์สุกสกาว ยังคงสั่งสมพลังอยู่
ที่นี่ผนึกแสงดารา ซูชีจึงปล่อยปราณกระบี่มหาศาลของตนให้ไหลเวียนกลางพายุทราย หล่อหลอมหลายร้อยครั้ง สุดท้ายก็เข้าไปในคมกระบี่เรียวยาวที่ ‘สังหารเทพภูตผีได้ง่ายดาย’ เล่มนี้ช้าๆ
หลังจากเขาระเบิดร่างปีศาจพฤกษาด้วยมือเปล่าไปอีกตน
ชุดคลุมขาวซูชีพลิ้วไหว เขาหันหน้ามาช้าๆ
เขามองไปใจกลางทะเลทรายอย่างเฉยชา
ร่างเงาสีดำดุจสายฟ้าร่างหนึ่งพุ่งไปทางตาค่ายกลประตูหยกสุดชีวิต
ยอดนักกระบี่ชุดยาวมีสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเดินหน้าอีกก้าว ตัวโน้มไปข้างหน้า หัวไหล่ตกลงเล็กน้อย
หญิงปีศาจพฤกษาที่หนีตายตนสุดท้ายนั่นมีใบหน้าเศร้า หันไปมองร่างเงาสีขาวขมุกขมัวที่ใกล้จะมาถึง จากนั้นชั่วอึดใจเดียวก็ถูกซูชีตามทัน ยอดนักกระบี่คนนี้ไม่เคยลงมือกับออกกระบี่เลย แค่ใช้หัวไหล่ชน ร่างครึ่งตัวของนางก็ถูกชนแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกครึ่งตัวกระเด็นลอยไปตกบนพื้นทราย
ผู้บำเพ็ญตำหนักทะเลสาบกระบี่ไม่ฝึกกายเนื้อ ซูชีก็เช่นกัน เพียงแต่ฝึกถึงดาราชะตา กายจิตถูกแสงดาราหล่อหลอมจึงเหนือกว่าสิบขอบเขตมาก ต่อให้เขาเก็บปราณกระบี่สามฉื่อรอบตัวก็พุ่งชนปีศาจน้อยพลังต่ำกว่าสิบขอบเขตตนนี้ตายได้
หญิงปีศาจกระเด็นออกไป ขณะอยู่กลางอากาศยังถูกปราณกระบี่ของซูชีห่อหุ้ม ปราณกระบี่เต็มฟ้าเหมือนสายฝนปรอย และยังเหมือนตั๊กแตนที่มองไม่เห็น ชั่วอึดใจเดียวก็กินสตรีชุดดำคนนั้นจนหมด ไอปีศาจยังไม่ทันกระจายก็ถูกกินไป
ชุดคลุมดำตัวโคร่งขาดวิ่นทั้งตัวไม่มีเลือดสักหยด แห้งจนเหมือนใยฝ้ายเบาในสายลม ตกลงพื้นตามสายลม ยังไม่ทันลอยขึ้นก็ถูกทรายกลบ
…….
กลางเงามืดพายุทราย
พวกหนิงอี้สามคนมีสีหน้าจริงจัง พวกเขาอยู่ในส่วนลึกสุดของพายุทราย เห็นการสังหารของซูชีตำหนักทะเลสาบกระบี่ทุกอย่างชัดเจน
ในระยะสิบลี้ไม่สงบ
หลิ่วสืออีขมวดคิ้ว “เลือดของเจียหลัวกำลังไหลย้อนกลับ นี่กำลังมอบพลังรึ”
พายุหมุนทรายลอยขึ้นจากพื้น
พลังหลังเจียหลัวหลุดจากค่ายกลรุนแรงกว่าที่พวกหนิงอี้สามคนคิด ไอปีศาจซึมออกมาจากใต้ดิน เป็นอย่างที่หลิ่วสืออีบอก ตอนนี้รวมอยู่ที่ตัวเหยียนซิ่วชุน เพียงแต่หลายสิบลมหายใจ ไอปีศาจในตัวหญิงคนนั้นก็มีแนวโน้มจะทะลวงสิบขอบเขตเสียแล้ว
จิ้งจอกสวรรค์ตัวนั้น หลายปีมานี้สั่งสมพลังไว้เท่าไรกันแน่?
ขอพูดอย่างไม่เกินจริงเลยคือ…ดวงชะตาทั้งประตูหยกอาศัยยอดปีศาจตนนี้ในการหมุนโคจร
หญิงชุดแดงที่กอดกล่องเหล็กดูดซับเลือดจิ้งจอกสวรรค์ของราชันปีศาจเจียหลัวแล้ว แววตามีความเฉียบคมขึ้นสามส่วน
หลังพลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้น หกสัมผัสและไหวพริบของนางเพิ่มขึ้นถึงระดับน่าเหลือเชื่อ
เหยียนซิ่วชุนหันหน้ามาช้าๆ มองไปในทิศทางซ่อนเร้นแห่งหนึ่งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
หนิงอี้ใจเต้นตึกตัก
สองคนสบตากัน
“นางเห็นพวกเราแล้ว…” เขาพูดพึมพำ
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายคือเหยียนซิ่วชุนไม่ได้ลงมือในทันที แต่ละสายตากลับมาช้าๆ เบนสายตามองไกลออกไปทางยอดนักกระบี่ชุดขาวแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่
หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อน การสบตากันเมื่อครู่ทำให้เขาไม่เข้าใจความหมายนิดๆ
หญิงกอดเลือดจิ้งจอกสวรรค์หยัดกายขึ้นช้าๆ ตัวโซเซ
พายุทรายรุนแรงขึ้น
นางเดินไปทางชุดคลุมขาว
…….
สังหารปีศาจเก็บกระบี่ ง่ายเหมือนดื่มน้ำเหมือนการหายใจ
ทำทุกอย่างเรียบร้อย ซูชีก็คลึงระหว่างคิ้ว พ่นลมหายใจขุ่นเบาๆ
ใยฝนที่ลอยอยู่บนฟ้าเล่มนั้น แสงสว่างในตัวกระบี่ ตอนนี้เริ่มสว่างออกมาทีละนิด
ดวงจันทร์สุกสกาว
ฝุ่นธุลีรอบกายแผ่กระจายไปรอบๆ
ซูชียื่นมือไปคว้าใยฝน
ปราณกระบี่พุ่งออกไป!
ปราณกระบี่เต็มฟ้าลากเป็นร่องยาวสายหนึ่ง ซูชียืนอยู่ตรงสุดทางร่องยาว สิบลี้รอบทะเลทรายล้วนมีแต่ปราณกระบี่ของเขา
ปราณกระบี่คือดวงตาของเขา
ปราณกระบี่คือหูของเขา
แต่เขามองไม่เห็นหนิงอี้ ไม่ได้ยินเสียงหนิงอี้
ซูชีขมวดคิ้วขึ้น
ตรงหน้าผากเขาเกิดเงามืดขึ้นช้าๆ
ค่ำคืนยาวนานของประตูหยก ดวงจันทร์ใหญ่ถูกทรายบดบัง
ในทะเลทรายแห่งนี้มีบางสิ่งเรียวยาวผุดขึ้นมาจากใต้ดินช้าๆ เหมือนช้างยักษ์เงยหน้าขึ้น เม็ดทรายโปรยปรายลงมา
นั่นคือหางจิ้งจอกปีศาจยักษ์
พูดให้ถูกคือ…ไม่ใช่แค่หางเดียว
แต่เป็นเก้าหาง
ยอดนักกระบี่ชุดขาวแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่ยืนใจกลางปราณกระบี่หน้าซีดขาว มองหางทรายยักษ์เก้าหางที่บดบังฟ้าขังตนไว้ตรงกลางเหมือนคุก
เขานึกไปถึงความลับที่เจอในเอกสารลับตำหนักทะเลสาบกระบี่
ด่านประตูหยก ใต้ดินขังราชันปีศาจเจียหลัวไว้
ซูชีพูดพึมพำ “จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง…”
หางใหญ่เก้าหางไม่ได้บดบังฟ้าจริงๆ แต่ยังมีช่องเว้าอยู่ แสงจันทร์จึงสาดส่องลงมาจากฟ้า
ส่องที่สตรีกลางอากาศคนหนึ่ง
หญิงคนนั้นสวมผ้าคลุมดำตรงบ่า กอดกล่องเหล็กสีดำไว้ ผ้าคลุมสีดำสะบัดตามสายลมสองสามทีก็ลอยขึ้น ลอยไปบนฟ้า
นางเท้าเปล่าทั้งสองข้าง ผมดำผิวขาวหิมะ รูปร่างสมส่วน งดงามสง่างาม ลอยล่องเหมือนเซียน
งดงามที่สุดในโลกก็คงประมาณนี้
อาภรณ์แดงของนางแดงเหมือนเลือด มีความร้ายอยู่สามส่วน บริสุทธิ์แต่ก็สวยหยาดเยิ้ม
ยอดนักกระบี่ชุดขาวหน้ามืดทะมึน เขามองทุกชีวิตเหมือนหญ้า หญิงตรงหน้าดูงดงามน่าหลงใหล แต่โดยเนื้อแท้ไม่ต่างอะไรกับสามคนที่ตนเพิ่งสังหารไป
นางงามแค่ไหนก็ยังเป็นปีศาจ!
“ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตดาราชะตา”
หญิงอาภรณ์แดงลืมตาขึ้นช้าๆ ในดวงตานางว่างเปล่า
“เจ้ากับข้าไม่มีความแค้นต่อกัน ไฉนต้องสู้กันถึงตาย”
เหยียนซิ่วชุนพูดเสียงเบา “หากเจ้ากลับไปตอนนี้ ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เจ้าฆ่าปีศาจ”
“หญิงปีศาจ…คิดว่าทำตัวให้ดูลึกลับแล้วข้าจะกลัวเจ้ารึ เจ้าก็แค่ปีศาจน้อยที่ได้รับพลังจากราชันปีศาจเท่านั้น” ซูชีมีใบหน้าไร้ความรู้สึก เขาคีบสองมือและลากบนคมกระบี่ เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นต่อเนื่องกัน
ซูชีตั้งสองนิ้วมือ ปราณกระบี่ไหลหลากออกไป
เขาพูดอย่างเฉยชา “หากข้าจะฆ่าเจ้า เชื่อหรือไม่ว่าไม่ต้องใช้กระบี่เลย แค่สองนิ้วมือก็พอแล้ว”
เหยียนซิ่วชุนทำเป็นไม่ได้ยิน
ซูชีกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนพูดเสียงต่ำ “สามคนนั้นที่เพิ่งเข้ามาที่นี่ล่ะ”
ยอดนักกระบี่แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ทำเสียงและหน้าตาเคร่งขรึมก่อน คำพูดมีแต่การกดดัน แต่พอพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงกลับอ่อนลงเล็กน้อย
ซูชีเลิกคิ้วขึ้นก่อนพูดเนิบๆ “หากเจ้าส่งพวกมันสามคนมา เจ้ากับข้าจะจบกันแค่นี้ แซ่ซูทำเป็นไม่สนใจเรื่องราชันปีศาจได้”
เขาเอาสองนิ้วมือถูปลายกระบี่อีกครั้ง ประกายสายฟ้ารวมที่คมกระบี่ดังเปรี๊ยะๆ เมื่อครู่ออกจากแดนเคราะห์สายฟ้ามา เขาดูดเอาไอวิญญาณสายฟ้ามาเล็กน้อยด้วย ตอนนี้ได้โอกาสใช้พอดี
ประกายสายฟ้าดังเปรี๊ยะๆ
เผยฝานในชุดครามที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกพายุทรายได้ยินคำพูดซูชีก็มีสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมจะเคลื่อน ‘ใต้ฟ้าต้าสุยปราณกระบี่ท่องหล้า’ ทุกเมื่อ หากเหยียนซิ่วชุนตกลงกับซูชี นางก็จะใช้ปราณกระบี่ของบิดาเผยหมินหนีออกจากที่นี่ หนีต่อไปทันที
แต่ไม่คาดคิดเลยว่า
หญิงอาภรณ์แดงจะพูดเสียงเบา “เจ้ากำลังตามหาคุณชายหนิงอี้แห่งเมืองหลวงรึ”
ซูชีพยักหน้า
เขามองไปสุดพายุทราย เนื่องจากยันต์ มองไปจึงมีแต่ความกว้างใหญ่ไพศาล
ไม่เห็นหนิงอี้เลย
เหยียนซิ่วชุนพูดเบาๆ “เจ้าจะฆ่าเขารึ”
ซูชีพยักหน้าอีกครั้ง
ครั้งนี้เหยียนซิ่วชุนพยักหน้าเช่นกัน
“ดีมาก”
นางเอ่ยเสียงเบา “เจ้าจะฆ่าเขา ข้าก็จะฆ่าเจ้า”
………………………..