เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 277 ประตูหยกตะวันตก (3)
ตอนที่ 277 ประตูหยกตะวันตก (3)
“บิดาข้าเป็นทหารรับจ้างมีชื่อ” หงเฉินขี่ม้าข้างหนิงอี้ เขาพูดเนิบๆ “เขาอยากให้ข้าเข้าสำนักศึกษาเมืองหลวง ฝึกแสงดารา เป็นผู้บำเพ็ญ น่าเสียดายข้ามีพรสวรรค์แย่เกินไป ไม่อาจทะลวงขอบเขตแรกได้ อาจารย์ที่สอนข้าฝึกบำเพ็ญบอกข้าว่าไอวิญญาณแสงดาราใต้ฟ้านี้ ในสายตาอัจฉริยะก็เหมือนทะเลดารากว้างใหญ่ ไม่มีหมดสิ้น การทะลวงขอบเขตแรกไม่ยากเลย”
หงเฉินยิ้ม “ถึงคุณสมบัติของข้าจะต่ำเตี้ย แต่ก็ฝึกกำลังภายในทุกวัน ฝึกกล้ามเนื้อ สนุกไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนไปฝึกวิชาหลอมกาย ยี่สิบสามปีมานี้ พ่อข้าจ่ายทรัพยากรไปเกือบครึ่งตระกูลเพื่อสร้างกายจิตเพชรให้กับข้า ตอนนี้คิดว่าสู้กับผู้บำเพ็ญจุดสูงสุดขอบเขตกลางได้ไม่ตกเป็นรอง”
หนิงอี้เผยแววตาตกใจเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญจุดสูงสุดขอบเขตกลางอายุยี่สิบกว่าปี หากอยู่ในสำนักศึกษาก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะหนุ่ม กายจิตของหงเฉินไม่ธรรมดาจริงๆ แต่การฝึกวิชาหลอมกายเป็นการเผาทรัพย์สินตระกูล หากไม่มีเขาศักดิ์สิทธิ์หนุนหลัง ก็ยากจะทะลวงขอบเขตที่สิบ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงจุดดาราชะตา พิสูจน์มรรคด้านหลัง
ตอนหงเฉินพูดประโยคนี้ น้ำเสียงมีความภูมิใจอยู่สามส่วน
เขานิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “แล้วสหายหนิงล่ะเป็นใครกัน”
หนิงอี้โบกมือด้วยรอยยิ้ม “แค่ชาวบ้านตัวเล็กๆ เท่านั้น”
หงเฉินเองก็ไม่คิดจะถามอะไรมาก
หนิงอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “สหายหงรู้หรือไม่ว่าในกล่องเหล็กนี่มีอะไร”
หงเฉินส่ายหน้า
เขาปรายตามองเหยียนซิ่วชุนข้างหลังก่อนขมวดคิ้วขึ้น “ตามกฎของทหารรับจ้าง กล่องเหล็กที่แม่นางซิ่วชุนถือควรจะต้องให้กลุ่มทหารรับจ้างเราดูแลถึงจะปลอดภัยที่สุด แต่นางไม่ยอม นั่นก็ช่วยไม่ได้ ข้ารู้ทุกซอกทุกมุมในระยะร้อยลี้รอบเมืองอาทิตย์อุทัย กลุ่มโจรที่โหดที่สุดที่นี่อยู่ที่หุบเขาดาบฟันทางตะวันออก พลังบำเพ็ญของหัวหน้าโจรอยู่ราวๆ ขอบเขตกลาง น่าจะสู้ข้าไม่ได้ ครั้งนี้เราไปทางตะวันตก คงไม่เจอกัน ส่งถึงด่านประตูหยกคงไม่มีปัญหาอะไร ต่อให้มี…ข้าก็เตรียมเงินมาให้เป็นสินบนแล้ว”
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “สหายหงเป็นมังกรหงส์ในหมู่ชน ภายภาคหน้าต้องประสบความสำเร็จแน่”
หงเฉินหัวเราะเบาๆ รับไว้อย่างสบายใจ
หนิงอี้ไม่พูดอะไรอีก แต่ลดความเร็วลงทีละนิด
เสียงกระแสจิตของเด็กสาวดังข้างหูหนิงอี้ “เจ้าจะเล่นกับพวกเขาไปอีกนานเท่าไร อย่าลืมว่าพวกเรายังมีเรื่องสำคัญอยู่”
เด็กสาวชุดครามกอดต้นครามหมื่นปี เอานิ้วชี้หลิ่วสืออี
คนคลั่งกระบี่ชุดขาวที่กอดกระบี่ขี่หลังม้าแดงหลับตา ตัวโคลงเคลง ไม่ได้เร่งรัดหนิงอี้กับเผยฝาน
ตอนนี้ตำหนักทะเลสาบกระบี่เกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้
หลิ่วสืออีกำลังรอข้อมูลอย่างละเอียดส่งมา…เขาใช้จิตส่งผ่านป้ายคำสั่งเงียบๆ อีกฝั่งของป้ายชีวิตไม่มีการโต้ตอบใดๆ เลย
หนิงอี้ขยับมาข้างเด็กสาว พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กลุ่มทหารรับจ้างเป็นกลุ่มธรรมดา แต่สี่คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา”
เด็กสาวมีสีหน้าเฉยเมย ยากจะจับความรู้สึกในส่วนลึกแววตาได้
“เจ้าเองก็รู้สึกถึงปฏิกิริยาของยันต์ด้ายทอง สี่คนนั้นเป็นใครกัน”
หนิงอี้ไม่ได้ตอบในทันที แต่ชำเลืองตามองไปข้างหลังอย่างไม่เผยร่องรอยใดๆ หญิงสวมผ้าคลุมไม่พูดไม่จาสี่คนนั้น ระหว่างทางไม่เคยพูดกับเขาเลย
กวาดสายตามองพวกนางแล้ว หนิงอี้ก็หลับตาลง ภาพปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชุดคลุมตัวใหญ่ที่เหมาะกับรูปร่างบุรุษ จี้หยกตรงเอวที่โผล่ออกมาระหว่างม้าโคลงเคลง ลายดอกไม้ของแส้ยาว งานฝีมือตรงขอบกระบอกเสื้อ ปักด้ายดำตรงขอบงอบ…
หนิงอี้ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนพูดเสียงเบา “พวกนางเป็นคนกรมปราบปีศาจ”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววงุนงงเล็กน้อย “กรมปราบปีศาจรึ”
หนิงอี้ยิ้มเล็กน้อย “เจ้าดูให้ดี”
เขาควบม้าเปลี่ยนทิศทาง ทำมือให้เด็กสาวสบายใจ
…..
“ขอบคุณแม่นางซิ่วชุนมากที่มอบม้าให้”
ชุน เซี่ย ชิว ตง แบ่งกันฝั่งละสองคน เหยียนซิ่วชุนนั่งข้างหลัง สองมือกอดกล่องเหล็กนั้น นางเอียงศีรษะ แก้มครึ่งใบหน้าชิดกับแผ่นหลังของสตรีข้างหน้า เห็นหน้าด้านข้างของหนิงอี้ที่ลดความเร็วลงมาจนเท่ากับตน
นางยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรมาก
ออกเดินทางมาข้างนอก พูดคุยกับคน พูดมากไปจะเสียเปล่า
นี่เป็นหลักการที่ ‘อาจารย์’ สอนนาง นางจดไว้ในใจมาตลอด
“แต่มอบม้าของทูตผู้ถือคำสั่งกรมปราบปีศาจตามใจเช่นนี้ แม่นางซิ่วชุนกลับไปจะไม่ถูกลงโทษเอาหรือ” หนิงอี้โพล่งขึ้นมา
เหยียนซิ่วชุนหรี่ตาลง เงยหน้าขึ้นเร็วมากเหมือนกับแมว ใบหน้าตึงเปรี๊ยะ
ไม่ใช่แค่เหยียนซิ่วชุน อีกสามคนยังจ้องหนิงอี้ด้วยความระแวง
“ไม่เป็นไร ข้าเคยได้ยินสหายที่อยู่กรมปราบปีศาจบอกว่าเขตดินแดนกลางจะมีกลุ่มเล็กของกรมปราบปีศาจอยู่ รวมกลุ่มกันหกคน ทูตผู้ถือคำสั่งสองคนนำผู้บำเพ็ญกรมปราบปีศาจสี่คน” หนิงอี้พูดไม่ช้าไม่เร็ว “กลุ่มเล็กกรมปราบปีศาจที่เพิ่งตั้งขึ้นได้รับภารกิจ แต่เพราะเกิดเหตุไม่คาดคิด ผู้ถือคำสั่งสองคนล้มหายตายจาก กลุ่มเล็กนี้จึงเหลือเพียงผู้บำเพ็ญมือใหม่ที่ไม่มีกำลังอะไรสี่คน…พูดกันจริงๆ คือพวกเจ้านับว่าเป็นผู้บำเพ็ญรึ ปล่อยแสงดาราได้หรือไม่”
เหยียนซิ่วชุนพ่นลมหายใจเบา
นางมองหนิงอี้พลางพูดอย่างสัตย์จริง “คุณชายหนิงฉลาดมาก เราไม่มีพลังบำเพ็ญขอบเขตแรกด้วยซ้ำ คงไม่ต้องพูดถึงปล่อยแสงดารา”
หนิงอี้ถามอย่างตรงไปตรงมา “ภารกิจของพวกเจ้าคืออะไร”
เหยียนซิ่วชุนพูดเสียงเบา “ภารกิจของเราคือส่งมันให้ถึงด่านประตูหยก”
กล่องเหล็ก
หนิงอี้สงสัยกล่องเหล็กนี้มาตลอด
ในที่สุดก็เข้าประเด็นสำคัญ
นางเอามือเคาะกล่องเหล็กผ่านผ้าดำเบาๆ “ในเมื่อคุณชายหนิงรู้จักกรมปราบปีศาจดีเช่นนี้ เช่นนั้นก็ต้องรู้ว่า…ใต้ฟ้าต้าสุย ความจริงเป็นที่พักอาศัยของ ‘ยอดปีศาจ’ เพียงแต่มีกำแพงเมืองขวางไว้ จำนวนของเผ่าปีศาจในเขตแดนมีน้อยมาก ภารกิจปกติของกรมปราบปีศาจคือไปตามกระจกส่องปีศาจ วิ่งเต้นไปทุกที่ จัดการกับปีศาจที่ยังอยู่ในช่วงตัวอ่อน”
“แต่พวกเราสี่คนเพิ่งเข้ากรมปราบปีศาจ กลับไม่ได้รับภารกิจเช่นนั้น” เหยียนซิ่วชุนพูดช้าๆ “เดินทางไปทางตะวันตก มุ่งหน้าสู่ด่านประตูหยก ค่ายกลใต้ทะเลทรายด่านประตูหยกที่ผนึกยอดปีศาจจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคลายออกเล็กน้อย ของในกล่องเหล็กนี้ก็คือของจำเป็นในการเสริมพลังค่ายกล เลือดจิ้งจอกสวรรค์”
“ความจริงภารกิจนี้ไม่ยาก แค่เสริมพลังค่ายกลเท่านั้น สำหรับคนภายในต้าสุยไม่ใช่ความลับอะไร ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจเคยแพ้สงครามในแดนอุดร เชลยศึกบางส่วนกลายเป็นพวกเดนตายแห่งแม่น้ำวายุแดงต้าสุย บ้างไม่ยอมศิโรราบ ก็ถูกจับแยก กำราบไว้ใต้ด่านต่างๆ ได้กรมปราบปีศาจเป็นคนดูแล”
หนิงอี้หรี่ตาลง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะได้รู้ข่าวนี้…
“จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางใต้ดินด่านประตูหยกเป็นราชันปีศาจที่ถูกกำราบเมื่อพันปีก่อน มีชื่อว่าเจียหลัว เวลาพันปี มนุษย์คงสลายไปแล้ว ต่อให้เป็นยอดผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ที่เก่งกาจแค่ไหนก็หนีไม่พ้นความตาย แต่ยอดปีศาจที่เผยร่างจริงเผ่าปีศาจกลับรอดไปได้”
เหยียนซิ่วชุนพูดด้วยความกังวล “สภาพแวดล้อมในค่ายกลผนึกเลวร้ายมาก ราชันปีศาจเจียหลัวถูกทรมานทุกอย่าง บางทีอาจจะตายในค่ายกลแล้ว แต่ค่ายกลต้องเสริมพลังทุกปี ตอนนี้ พวกข้าได้รับคำสั่งให้นำเลือดจิ้งจอกสวรรค์ไป ตอนที่สร้างค่ายกลนั้นขึ้น ยอดผู้บำเพ็ญกรมปราบปีศาจได้ลอกหนังเจียหลัวออกมา ใช้เลือดเนื้อวาดลายค่ายกล ต่อมาก็แขวนหนังของเจียหลัวไว้ ใช้วิชาเพาะบ่ม ทุกปีจะกำเนิดเลือดใหม่ ใช้มันเสริมพลังค่ายกล”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
หนิงอี้ไม่เคยได้ยินเรื่องเลือดจิ้งจอกสวรรค์มาก่อน แต่วิธีการลอกหนังเพาะบ่มเลือด…ความจริงนี่ถือว่าเป็นวิชาชั่วร้ายอย่างหนึ่ง เรื่องที่กรมปราบปีศาจกำราบเจียหลัวถือเป็นความลับ มีอยู่ในเอกสารของกรมปราบปีศาจเมืองหลวง แต่ไม่เผยแพร่ต่อสาธารณชน
เหยียนซิ่วชุนกำลังจะบอกว่าใต้ด่านดินแดนมากมายของต้าสุยมีค่ายกลของกรมปราบปีศาจอยู่
ขังยอดผู้บำเพ็ญระดับราชันปีศาจที่แพ้สงครามใต้ฟ้าเผ่าปีศาจในตอนนั้นแล้วไม่ยอมประนีประนอม
ราชนิกุลของต้าสุยวางแผนเอาไว้อย่างดี
หนิงอี้ที่เคยฝึกคัมภีร์แสวงมังกรกับศิษย์พี่เวินเทาเคยเห็นแบบจำลองมุมหนึ่งของใต้ฟ้าต้าสุย แผนภาพโครงสร้างการสถาปนาราชวงศ์รวมถึงการสร้างด่านต่างๆ ทุกด่านจะเหมือนจุดขัดชีพจรมังกร
ดวงชะตาไหลเวียนไม่ขาดสาย
ก็เหมือนการกำราบจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเจียหลัว จับยอดผู้บำเพ็ญใต้ฟ้าเผ่าปีศาจมาขังไว้ใต้ดินของด่าน พลังบำเพ็ญราชันดาราคนหนึ่งไม่ถือว่าอ่อนแอ ใช้ป้อนพลังให้ฟ้าดินได้ บีบบังคับให้ราชันปีศาจเผยร่างจริงก็จะมีชีวิตยืนยาวได้…และในกาลเวลาอันยาวนานนี้ ยอดปีศาจที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลจะดูดซับไอวิญญาณแสงดาราฟ้าดินอยู่ตลอด จากนั้นก็ส่งกลับไปให้ทั้งด่าน
เสริมดวงชะตาให้กับอาณาจักร
กลอุบายนี้ของกรมปราบปีศาจ
นี่มันกลอุบายเทพเซียนชัดๆ
หนิงอี้ปลงอยู่ในใจ
“ระหว่างทางเจอคนเลว อาจารย์ใหญ่กับอาจารย์รองที่พาเราสี่คนมาตายหมดแล้ว” แววตาเหยียนซิ่วชุนเศร้าหมอง นางพูดเสียงแหบ “ภารกิจประตูหยกเหลือเวลาไม่มากแล้ว จะล่าช้าไม่ได้ เราสี่คนพลังบำเพ็ญไม่พอ เรื่องราชันปีศาจเจียหลัว…เป็นความลับระดับสูงยิ่ง ด้วยฐานะของเรา ต่อให้ไปหาทูตผู้ถือคำสั่งในกรมของเมืองอาทิตย์อุทัยก็ต้องถูกกักตัวตรวจสอบ”
หนิงอี้พยักหน้า
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
“คุณชายหนิง ซิ่วชุนแค่อยากไปถึงประตูหยกอย่างปลอดภัย” นางกอดกล่องเหล็ก แววตามืดมนไร้แสงสว่าง นางพูดเสียงเบา “ราดเลือดจิ้งจอกสวรรค์ ทำปณิธานของอาจารย์ใหญ่ให้สำเร็จ และถือว่าจบภารกิจครั้งนี้ หากไม่เจอคุณชาย ข้าคงผูกม้าสองตัวนั้นไว้ที่อาทิตย์อุทัย พามาด้วยไม่ได้ ส่วนการลงโทษของกรมปราบปีศาจหลังจากนี้…”
นางยิ้มเจื่อนๆ ก่อนส่ายหน้า “นั่นไม่ขึ้นอยู่กับข้า ซิ่วชุนได้แค่ทำอย่างสุดความสามารถ”
หนิงอี้ถอนหายใจ
เขาไม่ได้ปลอบอะไร
เขาเพียงแค่พูดเสียงเบา “โลกนี้ไม่ง่าย ขอให้เจ้ากับข้าปลอดภัย”
นอกเมืองอาทิตย์อุทัย เกิดพายุทรายขึ้นทีละนิด
เค้าโครงของจุดตรวจไกลๆ ชัดเจนขึ้น
นั่นเป็นทางเข้าหุบเขาที่คล้ายกับหุบเขาดาบฟัน หินภูเขาสองข้างยกขึ้นค่อนข้างสูง
กลางพายุทรายยังมีเงาคนปรากฏมารางๆ
หลิ่วสืออีที่นั่งกอดกระบี่ลืมตาขึ้นช้าๆ
เด็กสาวที่ได้ยินหนิงอี้กับเหยียนซิ่วชุนคุยกันหมดคลึงแก้ม มองไปบนด่านตรวจด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หนิงอี้เงยหน้า เพ่งสายตามอง “เพียงแต่เรื่องทางโลก ก็ไม่เคยสมใจคนสักครั้ง”
…………………………..