เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 276 ประตูหยกตะวันตก (2)
ตอนที่ 276 ประตูหยกตะวันตก (2)
ด่านประตูหยก ตั้งอยู่ตรงจุดเชื่อมเขตแดนประจิมกับแดนกลาง
ประตูหยกตะวันตกเป็นเส้นยาว เส้นทางที่จะไปก็คือเส้นที่ใกล้ที่สุดและตรงที่สุด
หนิงอี้กับเด็กสาวต่างขี่ม้าหลังดำแผงคอแดง ออกจากประตูเมืองอาทิตย์อุทัย สายลมสดชื่นพัดผ่าน เขาหรี่ตาลง จอนผมพลิ้วไหว ม้าเหยียบพื้นสองสามก้าว ขนแผงคอกับอาภรณ์ก็สะบัดไปพร้อมกัน ดูน่าเกรงขามมาก
ดูองอาจห้าวหาญ
หญิงสวมผ้าคลุมสวมชุดเนื้อหยาบสีดำสี่คนข้างหลัง สองคนขี่ม้าหนึ่งตัว พอเห็นภาพนี้ก็หน้านิ่งไป คำว่า ‘คู่ชีวิตเทพเซียน’ ลอยขึ้นมาในความคิด ลบไม่ออก
มีความสง่างามอยู่สองสามส่วนจริงๆ แต่ไม่ถึงกับล้ำเลิศ
สองคนเคียงข้างกัน ตอนนี้เป็นที่สนใจของผู้คน แต่ส่วนใหญ่จะมาจากแม่นางชุดครามคนนั้น
เผยฝานใช้วิชาแสงดาราลูบใบหน้า ทำให้นางดูไม่เด่นตามากเกินไป มีความงามเหลืออยู่หกเจ็ดส่วน แต่ก็ยังงดงามมาก ท่วงท่ามีความวิจิตรแวววาว เย็นเยือกและฉลาด
ส่วน ‘พลัง’ ในตัวหนิงอี้…
เรียกว่าถูกต้องชอบธรรมไม่ได้ สิ่งที่ไหลเวียนในสายเลือดเขาไม่ใช่รูปแบบของสำนักมีชื่อเสียง อาจารย์คือหินผาบูรพาเจ้าหรุยแห่งเขาสู่ซานแดนประจิมที่มีชื่อเสียงก็จริง แต่คนที่สอนเขาถือกระบี่คือ ‘ยอดคนชั่ว’ สวีจั้ง ดังนั้นเขาหมุนม้าไปมาสองรอบ กวาดสายตามองด้านล่าง หญิงสวมผ้าคลุมที่กอดกล่องเหล็กดำก็พบว่าอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้มักจะมองคนอื่นด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปตลอด มีทั้งยิ้มโกรธด่าทอ แต่ส่วนลึกในดวงตากลับไม่เปลี่ยนไปเลย…
ในความเรียบนิ่งมีความเฉยชาสามส่วน
ไม่ยี่หระอะไร ไร้ความรู้สึก
เว้นแต่จะมองแม่นางชุดครามคนข้างกายเขา
แม่นางชุดครามคนนั้น เดาว่าคงเป็นคนสำคัญของคนแซ่หนิง
ได้ยินว่าคนแซ่หนิงผู้นั้นในเมืองหลวงได้รับสืบทอดต่อจากสวีจั้ง ดูท่าระหว่างทางมาถึงอันดับหนึ่งรายนามดารา คงจะสังหารคนมามาก
นี่คือ ‘พลัง’ ที่แผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัวในชั่วพริบตารูปแบบหนึ่ง
หญิงสวมผ้าคลุมสี่คน ก่อนขึ้นม้าก็เคยแนะนำตัวเอง ผู้นำแซ่เหยียน ชื่อเหยียนซิ่วชุน อีกสามคนไม่ค่อยเผยตัวตนเท่าไร อยู่กับคนนอกก็ไม่เป็นตัวเอง กดงอบต่ำน้ำค้างเกาะเต็มหน้า แค่พูดง่ายๆ และพูดเร็วมาก หนิงอี้ไม่ได้คิดอะไร จำแค่ว่าสี่คนแบ่งกันเป็นชุน เซี่ย ชิว ตง
ทุกคนพลิกตัวขึ้นม้าแล้ว
คนที่เด่นตาที่สุดในนั้น…ไม่ใช่หนิงอี้กับเผยฝาน
แต่เป็นหลิ่วสืออี
ม้าแดงเล็กและอ่อนแอนั้นส่ายหนีไปมา ถลึงตามองหลิ่วสืออี ไม่ยอมให้เขาขี่หลังมัน
คนคลั่งกระบี่พยายามใจเย็นอยู่นาน ก็พบว่าม้าแดงจะเล่นไม้นี้กับตน ส่ายตัวหนีซ้ำไปมาอย่างไม่รำคาญ เขาจึงเอามือจับศีรษะม้าแดง ก้มตัวลงกระซิบข้างหู “ถ้าไม่ฟังกันข้าจะตุ๋นเจ้า อย่างมากก็ซื้อใหม่อีกตัว”
ปราณกระบี่ไหลผ่านฝ่ามือวนเวียนในกายรอบหนึ่งก่อนจะกลับเข้าฝ่ามือช้าๆ
หลิ่วสืออียิ้มมองม้าแดง
ม้าแดงตัวนั้นน้ำตาไหลนอง
หลิ่วสืออีพลิกตัวขึ้นม้า นั่งบนหลังม้าแดง ไม่พูดไม่จาอะไร สองมือกอดปราณนิรันดร์และเข้าสู่การตระหนักกระบี่เช่นนี้
เสียงตะโกนพร้อมเพรียงกันดังแว่วมา
“ฮาอู้!”
กลุ่มทหารรับจ้างสมปณิธานส่งรถคุ้มกันมาสามสี่คัน ไม่รวมพวกหนิงอี้สามคน มีคนและม้าเป็นสิบ ออกเดินทางกันไปเช่นนี้
……
เขตเมืองหลวง จะบอกว่าสงบก็ไม่ใช่ จะบอกว่าไม่สงบก็ไม่เชิง
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นเพราะเงินทอง ไม่ได้มาก็ต้องปล้นชิง
ภายใต้การคุ้มกันของกฎต้าสุย ในสี่แดน สามกรมไปที่ใดก็จะสงบสุข
หากจะกลัวก็มีเพียงบางเขตแดนที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน สามกรมมือสั้น มังกรแข็งแกร่งไม่อาจกดงูดินท้องถิ่นได้ ตอนพ่อค้าส่งสินค้าก็ต้องการรับรองความปลอดภัย
ดังนั้นถึงได้มีทหารรับจ้างคุ้มกัน
แกะคำว่าทหารรับจ้างออก ซ้ายเป็นคำว่าทองขวาเป็นคำว่าเงิน
รับเงินคน ช่วยคุ้มกันคน
ตอนคุ้มกันจะตะโกน ‘ฮาอู้’ หมายถึง ‘ขอให้ปลอดภัย’ ใต้ฟ้ากว้างใหญ่มีสิ่งอัศจรรย์หลากหลาย ทหารรับจ้างแดนกลางทำการค้ารุ่งเรืองได้ เบื้องหลังมีนายทุนหนุนหลังอยู่ จุดพักม้าและโรงเตี๊ยมที่สามกรมสร้างจะมอบสวัสดิการและผลประโยชน์ที่เหมาะสมกับกลุ่มทหารรับจ้างใหญ่ กลุ่มทหารรับจ้างสมปณิธานไม่ได้มีชื่อเสียงมาก แต่อยู่เงียบๆ มีศักยภาพไม่ธรรมดา
หนิงอี้ควบม้ามาอยู่ข้างหงเฉิน ก่อนหน้านี้อยู่ในเมืองอาทิตย์อุทัย เหยียนซิ่วชุนจ่ายหนัก กว่าจะเชิญบุตรชายของหัวหน้ากลุ่มคนนี้มาคุ้มกันให้ได้ ของที่ไปส่งย่อมเป็นกล่องเหล็กที่นางกอดไว้ตลอดเวลา
ทหารรับจ้างแซ่หงคนนี้ดูไม่พอใจกับการมาของตนอย่างชัดเจน แต่หนิงอี้แสดงออกว่าตนแค่เดินทางไปด้วย ไม่ได้จะแย่งงาน อีกทั้งยังยัดใบทองถุงนั้นใส่อกหงเฉิน สองฝ่ายผลักกันไปมาก่อนหงเฉินจะรับไว้ ทั้งยังรับปากว่าจะรับรองความปลอดภัยให้สามคนไปจนถึงหน้าด่านประตูหยก
หนิงอี้ยิ้มพลางป้องมือขอบคุณ
ก่อนหน้านี้เขายืนอยู่หน้าประตูกลุ่มทหารรับจ้าง ท่าทางกดร่มดีดฝักดูลึกลับยิ่ง นอกจากเหยียนซิ่วชุนแล้ว ทั้งกลุ่มทหารรับจ้างไม่มีใครรู้ เด็กหนุ่มชุดดำคนนี้ ความจริงเป็นผู้บำเพ็ญที่ ‘มีพลังบำเพ็ญ’ อยู่บ้าง
ตอนนี้คุ้มกันออกเดินทาง
หนิงอี้มาข้างหงเฉิน ถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายหง ช่วงนี้กิจการของกลุ่มเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หงเฉินลังเลชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
“ก็พอใช้ได้”
เส้นทางอีกยาวไกล หนิงอี้มาท่องโลกต้าสุยครั้งแรก ทหารรับจ้างนั้น แม้อาจจะไม่ได้เติบใหญ่กันมาด้วยการกินข้าวนับร้อยบ้าน แต่ทหารรับจ้างที่สุกงอมอย่างแท้จริงจะต้องไปในสถานที่ต่างกันเป็นหลายร้อยแห่งแน่นอน ใต้ฟ้าต้าสุยไม่มีข้อดีอื่น มีเพียงอาณาเขตกว้างใหญ่ ฟ้าดินอากาศ หลักการทางโลกล้วนสลักอยู่ในตำรา คลังตำราเมืองหลวงมีอยู่ทุกที่
ทว่าสิ่งที่อยู่ในตำรานั้นตื้นเขิน
หากอยากเรียนรู้อะไร จะทำตัวอยู่เหนือไม่ได้ แต่ต้องก้มตัวลงต่ำ และลงต่ำไปอีก
หนิงอี้มาจากจุดต่ำสุดของเทือกเขาประจิม เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองสูงส่งเลย ตอนนี้แค่เปลี่ยนสถานที่ ออกจากตะวันตกอาทิตย์อุทัย ได้ยินว่าต้องผ่านเมืองเล็กใหญ่ไม่น้อย ห้าวันสี่คืน จึงอาศัยโอกาสนี้ขอคำชี้แนะ ตีสนิทและเปิดโลก
ตอนหนิงอี้ใช้ชีวิตในเมืองไร้มลทิน เขารังเกียจคนชั่วที่สุด ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญขี่กระบี่บินพวกนั้น ผู้บำเพ็ญพวกนั้นสำหรับเขาเป็น ‘เซียน’ บนฟ้า ไม่กินไม่ดื่ม ไม่รู้จักความหนาวร้อนในโลก ตนห่างไกลมากเกินไป แม้แต่ธรณีประตูยังคลำไม่เจอ จึงไม่มีความอิจฉาริษยาเลย มีแต่ความชื่นชมอยู่สามส่วนในใจ
คนที่เขารังเกียจคือผู้มีอำนาจในเมืองไร้มลทิน
และเขารังเกียจผู้มีอำนาจหนุ่มในเมืองไร้มลทินที่สุด
เพราะหนิงอี้เห็นคนหนุ่มสาวพวกนั้นต่างลุ่มหลงในเงินทอง โปรยเงินออกไปกำใหญ่ นอกเมืองเทือกเขาประจิมศพยังไม่ทันเย็น ในเมืองก็มีควันไฟพวยพุ่ง ร้องเล่นเต้นระบำกัน สองสถานการณ์เทียบกัน อย่างแรกทนดูไม่ได้เลย แต่ทุกที่ในเขตเทือกเขาประจิมก็เป็นเช่นนั้น
พลุกลับขาวยิ่งกว่ากระดูกขาว
ดังนั้นหนิงอี้จึงไม่อยากเป็นคนประเภทนั้นมากที่สุด ตอนนี้เขาก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญ ต่อให้ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางรองท่องกระบี่ เงินทองในโลกนี้ก็ยังเป็นของนอกกาย
หนิงอี้ไม่ลืมเจตนาเดิม แต่ก็เตือนตัวเองตลอด
เมื่อตนมีกำลัง เขาจะไม่เป็นคนดีมากเกินไป จะไม่สนใจแต่ความสุขของตัวเอง แต่จะเป็นคนเฉยชาที่ปฏิเสธคนใกล้ตายไว้นอกประตู
หนิงอี้อาศัยคำพูดเมื่อครู่เปิดหัวข้อสนทนา ถามหงเฉินถึงสถานการณ์ช่วงนี้ของเขตเมืองหลวง เมืองในดินแดนกลางปลอดภัยมาก ถิ่นกันดารบางแห่งไม่มีสามกรมคุ้มกัน แต่ประชากรในเมืองกลับใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ต้องกลัวถูกหิมะฝังกลบใต้ดิน
หงเฉินมองหนิงอี้ แววตามีความสงสัยเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วขึ้น “คุณชายหนิงไม่ใช่คนที่นี่รึ”
หนิงอี้ส่ายหน้า “มาจากเทือกเขาประจิม”
มาจากเทือกเขาประจิมรึ
หงเฉินมองหนิงอี้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณชายชุดดำที่จับจ่ายอย่างใจกว้างคนนี้จะมาจากเทือกเขาประจิมที่ยากจนและเปลี่ยวร้างที่สุดในต้าสุย เจ้าหนูแซ่หนิงดูไม่เหมือนคนบ้านนอกเทือกเขาประจิมพวกนั้นเลย เศรษฐีทางเทือกเขาประจิมนั้น เดิมทีจะ ‘ยอมเป็นหัวไก่แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์’ ยอมซื้อสุรานารีในเมืองเก่าเทือกเขาประจิม แต่ไม่ยอมซื้อบัตรผ่านกำแพงเมืองแดนประจิม บางคนแก่ตายในเทือกเขาประจิม บางคนปักหลักครอบครัวที่นั่น ดูดเอาพลังชีวิตของดินเสื่อมสภาพมาเสริมให้ตัวเอง
พวกผู้มีอำนาจหนุ่มของเทือกเขาประจิม หากอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่มีค่าอะไรเลย
ต่อให้อยู่ในเมืองอาทิตย์อุทัยก็เทียบกันไม่ได้
หงเฉินมองหนิงอี้ “เจ้ามาจากเทือกเขาประจิม เหตุใดถึงมาแดนข้างใน ไม่อยู่เสพสุขที่นั่น ออกท่องยุทธภพเพื่ออะไรกัน”
“โลกกว้างใหญ่ ข้าแค่อยากเห็น เมื่อไม่นานมานี้ก็ไปเมืองหลวงมา ในที่สุดก็เข้าใจหลักการอย่างหนึ่ง ว่าเหตุใดคนมากมายถึงอยากจะข้ามกำแพงเมืองแดนประจิมมากัน” หนิงอี้ยิ้ม “เมืองหลวงดีกว่าที่แซ่หนิงคิดไว้มาก…มีภูเขามีน้ำมีกลุ่มทหารรับจ้าง ประชาชนอยู่อย่างสงบ อยู่เย็นเป็นสุข”
หงเฉินยิ้ม
เขายื่นมือมา นิ้วกลางถูกับนิ้วโป้งเบาๆ
“มีภูเขามีน้ำมีกลุ่มทหารรับจ้าง ไม่ผิด” หงเฉินเอ่ยเรียบๆ “แต่ประชนอยู่อย่างสงบ นั่นต้องมีสิ่งนี้”
เงินทอง
หงเฉินพูดได้ถูกต้อง
มีคำกล่าวว่าเงินทองล้มวีรบุรุษ ต่อให้เจ้าเป็นจอมยุทธที่สุดของยุค ต่อให้เจ้ามีความสามารถเหนือชั้น จะมีประโยชน์อะไร
ก้าวหน้าไปได้ยาก
ภาษิตกล่าวไว้ว่า เงินทองไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงินทองก็จะทำอะไรไม่ได้เลย
ภาษิตนี้จริงมาก
หนิงอี้ยิ้มไม่ปฏิเสธ “บิดาของคุณชายหงนามว่าหงจื้อ ชื่อนี้ข้าเคยได้ยินมาก่อน เป็นผู้อาวุโสทหารรับจ้างต้าสุยที่มีชื่อเสียง สองฝ่ามือเหล็ก จิตใจยึดมั่นแน่วแน่ดุจเหล็กกล้า แค่นามหงจื้อบิดาของเจ้าก็ทำให้เจ้าสบายไปทั้งชีวิตแล้ว นั่งใช้เงินทองที่ไม่มีวันหมดได้ แล้วเหตุใดถึงออกมาเป็นทหารรับจ้างกัน”
หงเฉินพูดอย่างเฉยเมย “จะทำอะไรต้องมีเหตุผลอะไรมากนักหรือ”
เขามองหนิงอี้ “ข้าไม่มีเรื่องราวอะไร คุณชายหนิง ทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ข้าเป็นคนไม่ชอบทำตามกฎ บิดาข้ามีชื่อเสียงเงินทองมีมากแค่ไหน นั่นก็เป็นของเขา ไม่เกี่ยวกับข้า ที่มาเป็นทหารรับจ้างก็เพราะข้าชอบชีวิตแบบนี้”
หงเฉินนิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “แม่น้ำยังมีขึ้นลง ไม่รอด ก็ตาย”
……………………….