เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 275 ประตูหยกตะวันตก (1)
ตอนที่ 275 ประตูหยกตะวันตก (1)
หลิ่วสืออีหน้าดำเคร่งเครียด หนิงอี้เงยหน้ายิ้มหยีตามองมา ถ้าไม่ใช่เพราะตนบาดเจ็บ ก็อยากจะปาฝักกระบี่ใส่สักที…
ม้านี่อัปลักษณ์มาก
ม้าแคระสีแดงนั้นเบิกตากลมโตจ้องมองอยู่ในคอกม้า กำลังเคี้ยวหญ้า เหมือนจะเข้าใจมนุษย์ ฟังคำพูดของหนิงอี้เข้าใจก็เงยหน้าขึ้น ขาหน้าสองข้างกระทืบพื้นอย่างไม่ยอม ตัวถอยไปข้างหลัง
“สหาย ม้านี่ขายอย่างไร”
หนิงอี้เดินเข้าไปจริงๆ ตีสนิทกับทหารรับจ้าง
หน้าประตูจวนกลุ่มทหารรับจ้างสมปณิธานมีทหารรับจ้างหนุ่มเดินออกมาพอดี สวมอาภรณ์แบบจีนสีขาว ตรงหน้าผากเป็นเงาวาว หลังศีรษะไว้ผมเปียยาว ถักเป็นปมๆ เหมือนกับหางแมงป่อง การแต่งตัวเช่นนี้หาได้ยากมาก ต่างกับกลุ่มทหารรับจ้างอื่น
ทว่าใบหน้าเขาดูเป็นมิตร คิ้วหนาดวงตาโต ยังหนุ่มแต่กลับไว้หนวดยาวลงมา
คนคนนั้นเมื่อเห็นใบหน้าหนิงอี้ ก็เห็นเป็นกลุ่มคุณชายผู้สูงส่ง หญิงรับใช้ชุดครามและเด็กรับใช้แบกร่มชุดดำ
เขาป้องมือพูดด้วยความเสียดาย “ท่านลูกค้า ม้าของกลุ่มทหารรับจ้างห้ามขาย…”
หนิงอี้ยิ้มหยีตาพลางนำบัตรเงินแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
ประกายในแววตาทหารรับจ้างหนุ่มเปลี่ยนไปทันที “ตัวไหนรึ”
หนิงอี้ชี้ม้าแดงที่ผอมเล็กที่สุดในคอกม้า ก่อนจะชี้หลิ่วสืออีที่หน้าซีดขาว กระแอมไออยู่หลายทีก่อนจะพูดข้างหูเสียงเบา “ตัวนั้น…คุณชายของข้าร่างกายอ่อนแอโรคเยอะ เจ้าดูเขาสิหน้าซีดเชียว ควบม้าพยศไม่ไหว”
ทหารรับจ้างหนุ่มเขย่งเท้าเห็นม้าแดงนั่นแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้ง เขามองคุณชายชุดขาวสง่างามนั้นแปลกๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าคุณชายชุดขาวท่านนี้ แม้จะแบกกระบี่ยาวสูงเท่าคน แต่ก็มีสีหน้าไม่ดีจริงๆ ดูอ่อนแรงนิดหน่อย
เดิมทีหลิ่วสืออีหน้าซีดอยู่แล้ว
ตอนนี้โกรธจนหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม
“ดี ดี ดี” หลิ่วสืออีพูดดีสามครั้งติด เขามองหนิงอี้ “เจ้าดีมาก”
เด็กสาวหัวเราะร่วน
ต้นครามหมื่นปี ‘กิ่งดอกพลิ้วไหว’
หนิงอี้ทำพวกนี้เสร็จก็ไม่หุบรอยยิ้มลงเลย “ข้าอยากซื้อม้าอีกสองตัว”
เขานำถุงผ้าเล็กออกมาจากอกเสื้อ พลันมีใบทองสิบเจ็ดใบ ตอนที่มองคอกม้ายังเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย “สองตัวนั้น”
สองตัวนี้ มองทีแรกก็เป็นม้าสูงใหญ่ม้าพยศ หลังดำขนแผงคอแดง สูงกว่าม้าตัวอื่น ดื้อไม่เชื่อฟัง กระทืบเท้าม้ากับพื้นไม่หยุด ฝุ่นดินกระจายตลอด
ทหารรับจ้างหนุ่มคนนี้เผยแววตาตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
เขาส่ายหน้า ไม่ได้รับถุงผ้าเล็กที่เต็มไปด้วยใบทองนั้น แต่ยื่นมือมาข้างหนึ่ง ผลักกลับไปอย่างไม่เผยร่องรอย “คุณชายมีเงินทอง แต่ม้าสองตัวนี้ไม่ใช่ของกลุ่มทหารรับจ้าง ซื้อขายไม่ได้”
เขากดเสียงต่ำลง “ม้าสองตัวนี้มีลูกค้าจูงมา นิสัยดุร้ายมาก ไม่ให้ความร่วมมือระหว่างทาง ราวกั้นคอกม้าถูกถีบแตกไปหลายอันแล้ว ต่อให้เงินตรงนี้ซื้อได้ แต่เกรงว่าคุณชายคงกำราบมันไม่ได้”
ม้าสองตัวนี้ ใช่ม้าที่ไหนกัน
นี่มันเจ้าพ่อชัดๆ
ตอนที่เพิ่งจูงมา ยังก่อเรื่องจนทั้งจวนวุ่นวายกันหมด
ไม่ได้นอนหลับสบายกันเลย
ตอนนี้สงบลงหน่อยแล้ว เขาอยากจะให้ลูกค้าพวกนั้นพาพวกมันไปใจจะขาด
หนิงอี้ยิ้มและยัดถุงใบทองไปในอ้อมอกอีกฝ่าย
เขาเดินสองสามก้าวมาถึงข้างคอกม้า มองราวกั้นไม้ที่ถูกถีบแตกโยกเยกไปมา ก่อนจะยื่นมือออกไป “ได้ยินว่าเจ้าพยศมากรึ”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ ม้าใหญ่หลังดำขนคอแดงนั้นก็ส่งเสียงร้อง เสียงร้องยังไม่ทันออกจากคอ หนิงอี้ก็กดมือที่หน้าผากมันเบาๆ ม้าดำขนสั่นทั้งตัว เสียงร้องมาถึงริมฝีปากกลับเปลี่ยนเป็นเสียงร้องเบา
ทหารรับจ้างที่กอดใบทองอยู่เหมือนกับเห็นผี
นี่คือม้าพยศที่เมื่อคืนวานถีบราวกั้นไม้แตกและยังถีบเป้ากางเกงเด็กคอกม้ารึ
เหตุใดตอนนี้…ถึงอ่อนแอกว่าม้าแคระแดงนั่นอีก
ท่ามกลางความอึ้งงันนั้น
“คุณชายหง จะออกเดินทางเมื่อไร” เสียงสตรีแปลกหูดังมาจากข้างจวน
คนที่พูดสวมผ้าคลุมสีดำดูจืดจางมาก ตัวไม่สูง แต่ใต้งอบจะเห็นช่วงเอวคอด อายุไม่มาก ข้างกายเป็นหญิงที่แต่งตัวแบบเดียวกันสามคน งอบและผ้าคลุมดำสีเดียวกัน ปกปิดใบหน้า
การแต่งตัวเช่นนี้ ในยุทธภพที่มีคนทุกประเภท นับว่ามีให้เห็นทุกที่
หญิงผ้าคลุมดำคนนั้น ในมือถือกล่องเล็กสี่เหลี่ยมทำจากเหล็ก ข้างนอกคลุมด้วยผ้าดำ
ยันต์ด้ายทองในแขนเสื้อหนิงอี้พลันสว่างขึ้นมา
ไม่ใช่แค่หนิงอี้ ยันต์ด้ายทองที่พกติดตัวหลิ่วสืออีและเผยฝานต่างเกิดปฏิกิริยาขึ้น
ไอชั่วร้าย…หากไม่ใช่ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนบูรพาก็เป็นปีศาจในต้าสุย
ทั้งสามคนมีสีหน้าเฉยเมย มองไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย หลิ่วสืออีสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ดับยันต์ เด็กสาวใช้จิตลูบรอยยับของยันต์ด้ายทองให้เรียบ หนิงอี้เอามือลูบผ่านแขนเสื้อ ดับแสงด้ายทอง และยังถือโอกาสทำท่าทางยกแขนเสื้อขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านคือ?”
ระหว่างพูดอยู่นั้นเขากวาดสายตามองไป
วิชาสัมผัสของเขาสู่ซานทำให้เห็นใบหน้าใต้งอบของสี่คนนี้ชัดเจน
เป็นสตรีทั้งหมด
อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนบูรพาอะไร ในร่างกายไม่มีแม้แต่พลังบำเพ็ญ ในผ้าคลุมตรงเอวซ่อนดาบสั้นไว้ ไม่ออกมือสู้กันก็จะไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ฝึกหลอมกายหรือไม่ แต่สี่คนรวมกัน ไม่ได้สร้างแรงกดดันให้หนิงอี้แม้แต่น้อย
น่าจะเป็นคนธรรมดา
หญิงสวมผ้าคลุมที่จะก้าวออกจากประตูคนนั้นขมวดคิ้ว ไม่รู้เจตนา
ทหารรับจ้างที่ถูกเรียกว่า ‘คุณชายหง’ ยังกอดถุงผ้าใบทองอยู่เลย มือเท้าเขาพันกันไปหมด รีบป้องมือพูด “บิดาข้าคือหงจื้อหัวหน้าใหญ่กลุ่มทหารรับจ้างสมปณิธาน ส่วนข้าหงเฉิน สี่ท่านนี้เป็นแขกคนสำคัญที่ออกเร่ค้าจากทางใต้ จ้างทหารที่อาทิตย์อุทัย…จะไปทางตะวันตก”
ทางตะวันตก?
หนิงอี้จับคำนี้ได้ ก็เห็นว่าหลิ่วสืออีกับเผยฝานมีสีหน้าเหมือนกับตน
บังเอิญเสียจริง
คำพูดทางนี้ค่อนข้างเบา หงเฉินหันหน้ามาชี้สามคนทางคอกม้า ก่อนหิ้วถุงใบทองนั้นขึ้น พูดอย่างจนปัญญา “พวกเขาจะซื้อม้าของพวกเจ้า…”
หญิงสวมผ้าคลุมคนนั้นกอดกล่องเหล็กสี่เหลี่ยม เอามือข้างหนึ่งลูบผ้าดำให้เรียบ
นางถามเสียงเบา “คุณชายแซ่ใดกัน”
หนิงอี้แบมือก่อนพูดยิ้มๆ “ข้าแซ่หนิง เป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ในเมืองหลวง”
เมืองหลวง แซ่หนิง
นางขมวดคิ้ว นึกไปถึงชื่อที่เหมือนสายฟ้าผ่านหู จากนั้นก็ส่ายหน้า ความเหนื่อยล้าและความยากลำบากตลอดหลายวันมานี้หนักหนายิ่งนัก ตอนนี้นางไม่มีแรงไปคิดนอกเรื่องแล้ว
เดินทางมาข้างนอกจนถึงตอนนี้ สิ่งที่นางไม่อยากเห็นมากที่สุดคือกลุ่มของตนกระทบกระทั่งกับคนอื่น
นางพูดเสียงแหบอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายหนิง การซื้อขายเป็นเรื่องความยินยอมของสองฝ่าย หลักการนี้ ไม่ผิดใช่หรือไม่”
หนิงอี้พยักหน้า
นางก็พยักหน้าเช่นกัน
ดีมาก สองฝ่ายความเห็นตรงกัน
นางพูดอย่างเหนื่อยล้า “คุณชายหนิงอยากซื้อ แต่ข้าไม่อยากขาย นี่ไม่เกี่ยวกับราคา ขออภัยด้วย”
นางโยนถุงใบทองนั้นกลับไป
หนิงอี้รับถุงใบทอง ยิ้มบางๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่ขายจริงๆ รึ”
เขาพูดด้วยความเสียดายนิดๆ “ทั้งสี่ท่านพาม้ามาด้วย ตอนออกเดินทาง ก็คงพาไปไม่ได้ทั้งหมดหรอกกระมัง”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน” อีกคนข้างหลังหญิงกอดกล่องเหล็กพูดอย่างเย็นชา
เพิ่งพูดจบก็ถูกมือยื่นมาขวางไว้
คำพูดนี้ฟังดูตีความได้หลายอย่าง
แต่หนิงอี้…ไม่ได้คิดข่มขู่อะไรเลยจริงๆ
เพียงแค่เสียดาย
ม้าพยศสองตัวนั่น พวกนางพาไปไม่ได้
หญิงกอดกล่องเหล็กผ้าดำยืนอยู่หน้าทั้งสามคน คำพูดและการกระทำเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้นำของกลุ่ม โลกของผู้บำเพ็ญแค่ผิวเผิน แต่ทางโลกปกติโหดเหี้ยม หนิงอี้เองก็เคยได้ประสบการณ์จากเทือกเขาประจิมมาบ้าง…ด้วยศักยภาพของสี่คนนี้ จะต้องเชิญทหารรับจ้างมาช่วยจริงๆ ถึงจะรับรองความปลอดภัยได้
มีความเป็นไปได้สูงมากที่พวกนางจะเป็นผู้หญิงยิงเรือ…ต่อให้ไม่ใช่สตรีอ่อนแอไร้กำลังจับนก มีกลอุบายอยู่บ้าง แต่อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่แมวสามขาที่ไม่เข้าขั้น
คนเช่นนี้จะควบม้าพยศเช่นนี้ได้อย่างไร
หนิงอี้เอ่ยเรียบๆ “เจ้าของคนก่อนของม้าดีสองตัวนี้คงจะตายนอกเมืองอาทิตย์อุทัยแล้ว หากแม่นางทั้งสี่ไม่สนใจเงินทอง…ข้าก็จะให้ ‘ราคา’ ที่สูงกว่า”
หญิงสวมงอบคนนั้นหรี่ตาลง มองม้าแผงคอแดงที่เอาศีรษะถูหนุ่มน้อยพกร่มแซ่หนิงคนนั้นไม่หยุดในราวกั้นคอกม้า ต่อให้เป็นท่านทูต…ม้าหลังดำแผงคอแดงตัวนี้ก็ยังไม่สนิทสนมเช่นนี้
นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรเอง
คุณชายหนิงคนนี้พกร่มกระดาษมัน…แววตาโหดเหี้ยม เขาพูดไม่ผิดสักนิด ม้าดีสองตัวนี้ กลุ่มตนคงพาไปด้วยไม่ไหว จะเป็นภาระเสียเปล่าๆ ได้แต่ฝากไว้ในเมืองอาทิตย์อุทัย รอกลับมารับทีหลัง
แต่หากเกิดอะไรขึ้น…ตายไป จะได้มาพากลับเมื่อไร?
นางหรี่ตาลง “ข้าไม่ต้องการตำลึงเงิน ใบทอง หรือใบเงิน”
หนิงอี้ยิ้ม “ไม่เกี่ยวกับอะไรพวกนี้เลย”
เขามองเผยฝานและหลิ่วสืออี ก็เห็นสองคนพยักหน้าให้ตน
หนิงอี้ถามอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะไปที่ใดกัน”
หญิงสามคนข้างหลังมองหนิงอี้ รู้สึกว่าคนแปลกหน้าคนนี้แปลกและอันตราย เว้นระยะห่างไว้จะดีกว่า มีคนมาดึงแขนเสื้อหญิงสวมผ้าคลุมแล้ว
ทว่าหญิงผู้นำกลับตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย
แซ่หนิง เมืองหลวง
คุ้มที่จะเดิมพันหรือไม่?
นางกัดฟันพูด “ประตูหยก”
นางรวมความกล้าขึ้นอีก “แล้วข้าจะเชื่อใจคุณชายหนิงได้อย่างไร”
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกดร่มกระดาษมัน ดีดนิ้วเบาๆ
ในฝักกระบี่สั่นไหว ไม่มีใครเห็น
เส้นผมงามข้างหูขาดลงมาเส้นหนึ่ง
ข้างหูหญิงสวมผ้าคลุมมีแต่เสียงวิ้งๆ สั่นไหว
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่ต้องการเงิน ไปประตูหยกแดนตะวันตก เป็นทางผ่านพอดี ข้าจะไปส่งพวกเจ้าเอง”
นางโค้งตัวแสดงความเคารพ “ม้าสองตัวนี้ ขอยกให้คุณชายหนิง!”
……………………….