เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 271 ผ่าเปิดแสงสว่าง (1)
ตอนที่ 271 ผ่าเปิดแสงสว่าง (1)
ภายในถ้ำ
เผยฝานยกต้นครามให้หนิงอี้ ก่อนเดินเข้าไปตรวจดูโซ่เหล็กที่ทะลวงร่างบุรุษผอมแห้ง
โซ่นี้ทำจากอะไรไม่รู้ คนนอกสัมผัสไม่ได้ เจ้ากรมผู้คุมกฎใหญ่ม่อโส่วเมืองหลวงวางยันต์ในโซ่ด้วยตัวเอง เจ้ากรมใหญ่ทุกคนในกรมผู้คุมกฎใต้ฟ้าต้าสุยนั้น ม่อโส่วที่ประจำการเมืองหลวงมีพลังบำเพ็ญสูงสุด วิถีแห่งยันต์ก็กว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร ต่อให้เป็นเด็กสาวก็มองออกแค่เล็กน้อย ไม่กล้าปลดง่ายๆ
หลังคืนโลหิตเมืองหลวงตอนนั้น หน่วยเก่าของเผยหมินถูกล้างบาง
ราชันดาราใต้บัญชาเผยหมินมีสามคน ราชันหุบเหวลึกที่ประจำการแดนอุดรย้ายข้างกะทันหัน หลังคืนโลหิตเมืองหลวง ราชันดาราอีกสองคนที่รับช่วงจวนแม่ทัพใหญ่แดนอุดรก็หายตัวไป
คนที่ถูกเจ้ากรมผู้คุมกฎใหญ่เมืองหลวงม่อโส่วขังไว้ที่นี่คือ ‘ราชันชนรุ่นหลัง’ หนึ่งในสามราชันดารา
“อย่าลองเลย…ไม่มีประโยชน์ หลังแม่ทัพตาย…ข้าก็สู้กับม่อโส่วที่น้ำตกอาทิตย์อุทัย” เสียงของราชันชนรุ่นหลังมีความเศร้านิดๆ “สามสิบสองคนถูกขังไว้ที่นี่ ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน หลังแพ้ศึก ข้ามีใจใฝ่หาความตาย ขังจิตวิญญาณไว้ ไม่โคจรพลังอีก…ต่อให้ปลดพันธนาการไป ข้าก็ยังไม่เป็นอิสระ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เผยฝานหน้าเศร้าขึ้นมา
นางยืนตรงหน้าบุรุษผอมแห้ง หันกลับมามองหนิงอี้
หนิงอี้ถามในทะเลสาบจิต “ผู้อาวุโส มีวิธีปลดพันธนาการหรือไม่”
เคียงกระบี่นั่งบนฟ้าทะเลสาบจิต เขาส่ายหน้า “ไม่เกี่ยวกับพันธนาการ เมื่อครู่เขาก็บอกแล้วว่าโซ่ของเจ้ากรมผู้คุมกฎใหญ่เมืองหลวงขังได้แค่ร่างกาย ยอดผู้บำเพ็ญขอบเขตราชันดารา เว้นแต่ผู้ฝึกหลอมกาย ละทิ้งกายเนื้อไปก็ยังมีชีวิตรอดได้ วิญญาณของคนผู้นี้เหลือส่วนเดียว ยื้อมาสิบสองปี ต่อให้ปลดพันธนาการจริงๆ ก็ไม่ได้อิสระ แต่เป็นการหลุดพ้นชั่วนิรันดร์”
หนิงอี้กอดต้นครามมองเผยฝานและส่ายหน้าเบาๆ
ไม่มีหนทาง
เผยฝานเม้มริมฝีปาก ขณะกำลังจะพูดอะไรนั้น ราชันชนรุ่นหลังก็ค่อยๆ เอ่ยปากพูด “นายหญิง พวกเราเคยพบหน้ากัน…ตอนเด็กท่านอยู่ที่จวนแม่ทัพ ข้ากับหุบเหวลึกและภูผาน้ำแข็งสามคน มอบกระบี่ให้ท่านคนละเล่มในวันส่งท้ายปีเก่า ยังจำได้หรือไม่”
เด็กสาวส่ายหน้า เรื่องก่อนอารามโพธิ์กลายเป็นฝันร้ายในวันที่เป็นไข้ติดต่อกันหลายคืน กลายเป็นเถ้าถ่านแทบจะไม่เห็นอะไร อีกอย่างตอนนั้นยังเด็กมาก นึกอย่างไรก็เห็นแต่ความขมุกขมัว
ก่อนที่จวนแม่ทัพจะถูกทำลาย มีแขกคุ้นหน้ามาอยู่บ่อยครั้งจริง
ราชันชนรุ่นหลังพูดเสียงเศร้า “เป็นแค่เรื่องเล็กๆ จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ”
เขามองหนิงอี้ก่อนพูดเสียงเบา “ท่านนี้คือใคร”
“เขาชื่อหนิงอี้” เผยฝานตอบ “หลังจากผู้อาวุโสสวีจั้งพาข้าออกจากเมืองหลวงก็เกิดศึกโลหิตสามวันสามคืน เป็นหนิงอี้ที่ช่วยข้าไว้ แล้วก็ใช้ชีวิตด้วยกันมาในเทือกเขาประจิม”
ราชันชนรุ่นหลังพูดด้วยรอยยิ้ม “กระบี่นั้นมีชื่อว่าอะไร”
หนิงอี้ตอบนิ่งๆ “พินิจเหมันต์”
ราชันชนรุ่นหลังตาเป็นประกายขึ้นมาสามส่วน ทำเสียงอ้อเข้าใจแจ่มแจ้ง เขามองร่มกระดาษมันตรงเอวหนิงอี้ นัยน์ตายังมีความกลัวอยู่สามส่วน ก่อนพูดด้วยความแปลกใจ “พินิจเหมันต์ของสวีจั้งรึ มิน่ากระบี่เมื่อครู่ถึงมีอานุภาพขนาดนั้น…เจ้าคือผู้สืบทอดของสวีจั้งรึ”
หนิงอี้ส่ายหน้า ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ
เขากอดอก วางต้นครามไว้บนพื้น มองราชันชนรุ่นหลังที่ถูกขังในถ้ำน้ำตกจากบนลงล่าง
โซ่สองเส้นยาวมาก เว้นแต่จะเป็นยอดผู้บำเพ็ญระดับราชันดาราลงมืออย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นจะไม่อาจฟันจากข้างนอกได้
ส่วนจะหลุดจากข้างในยิ่งเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่า
ราชันชนรุ่นหลังอยากออกจากที่นี่ ก็ไม่มีหวังจริงๆ
สถานการณ์เงียบไปชั่วอึดใจสั้นๆ
บุรุษผอมแห้งนิ่งเงียบไปก่อนจะพูดอย่างลังเล “ตอนนี้สวีจั้งอยู่ที่ใด มากับพวกเจ้าหรือไม่”
เด็กสาวส่ายหน้าพูดด้วยความขมขื่น “หลับใหลไปชั่วนิรันดร์แล้ว”
ราชันชนรุ่นหลังอึ้งงัน
เขาไม่อยากเชื่อเรื่องนี้เลย เขามองนายหญิงน้อยอึ้งๆ จากนั้นมองหนิงอี้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าจริงจังไม่มีล้อเล่นแม้แต่นิดแล้ว
ราชันชนรุ่นหลังก็พูดงึมงำ “สวีจั้งตายแล้ว…สวีจั้งตายได้อย่างไรกัน”
คนเปลี่ยน แต่สิ่งของไม่เปลี่ยน
คนไป หอว่างเปล่า
เขามีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
ราชันชนรุ่นหลังเงยหน้าขึ้นมองเผยฝานก่อนพูดอย่างจริงจัง “นายหญิงน้อย…หลายปีมานี้ข้าทำพลาดไปเรื่องหนึ่ง อยากจะขอโทษท่านจากใจจริง”
ตอนพูดประโยคนี้ บุรุษผอมแห้งมีสีหน้าอ่อนโยนขึ้น หัวไหล่สองข้างถูกทะลวง เส้นผมกระเซอะกระเซิงดูน่าสงสารมาก ตอนนี้ยิ้ม พูดเย้ยเยาะตัวเอง “ข้าฝึกวิชาทาสกระบี่ ข้าผิดต่อแม่ทัพ และผิดต่อชื่อเสียงของราชันชนรุ่นหลัง”
เดิมทีเขาไม่อยากมีชีวิต ถูกขังในน้ำตกอาทิตย์อุทัยและตายไปโดยไม่มีใครถามไถ่เช่นนี้
แต่เหล่าพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาดึงปราณกระบี่ออกมาและใส่ไว้ในร่างกายเขา
เก็บลมหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ให้เขา เขาได้แต่มองพวกเขาตายไปทีละคน ปราณกระบี่ออกจากทวาร เลือดเนื้อสลายไป พิงผนังหินกลายเป็นโครงกระดูกไปทีละคน
กาลเวลาสิบสองปี สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วไม่ถือว่านาน แต่ถูกขังที่นี่ ทุกวินาทีทุกนาที ผ่านวันเหมือนผ่านปี
ทรมานอย่างยิ่ง
ปราณกระบี่ที่ถูกส่งเข้าไปในร่างกายกำเนิดขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นพลังต้นกำเนิดที่ทำให้เขามีชีวิตต่อไป ราชันชนรุ่นหลังไม่รู้ว่าตนมีชีวิตไปเพื่ออะไร จนเขาได้เห็นผู้บำเพ็ญคนแรกที่ลอบเข้ามาในน้ำตก
เขาลืมภาพในวันนั้น แต่เขายังจำความสุขที่ได้กินมูมมามได้ เป็นความสุขที่มาจากความว่างเปล่า
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกขยายตัวในท้อง เลือดที่ริมฝีปาก และยังมีกระดูกบนพื้น กำลังบอกเขาว่าตนเองทำเรื่องที่ผิดมหันต์เพียงใดลงไป
เผยฝานเงียบลง
นางเดาได้แล้ว
ราชันชนรุ่นหลังสำนึกเสียใจในความผิดพลาดนี้
บุรุษผอมแห้งพูดช้าๆ “หลายปีมานี้ ข้าบอกตัวเองซ้ำไปมาว่าราชันชนรุ่นหลังแห่งแดนอุดรได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ที่เหลืออยู่เป็นเพียงเปลือกนอก ข้าลืมไปแล้วว่าข้ากินเลือดเนื้อคนเป็นไปเท่าไร สังหารทาสกระบี่ตายไปเท่าไร”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเผยฝานก่อนพูดงึมงำ “บางครั้งข้าคลุ้มคลั่ง บางครั้งก็ลืมตัวเอง หลังฝึกวิชาทาสกระบี่ ข้าไม่ต่างอะไรกับคนบ้าพวกนั้นแห่งแดนทักษิณเลย…ดังนั้นตอนที่ข้ามีสติ เลยแปะยันต์นั้นไว้ เตือนคนนอกว่าอย่าเข้ามา”
“ข้าทำความผิดที่ไม่มีวันชดใช้ได้…ข้าเป็นคนบาป นายหญิง…ราชันชนรุ่นหลังเป็นคนบาป…”
บุรุษผอมแห้งมีสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมา
เขามองเผยฝานพลางพูดเสียงแหบ “นายหญิง…นายหญิง…เผย…”
ขณะพูดอยู่นั้น สีหน้าบุรุษผอมแห้งเปลี่ยนไป
หัวไหล่เขาชักกระตุก โซ่ที่ทะลวงสองหัวไหล่เขาพลันสั่นสะเทือน ตราผนึกของเจ้ากรมใหญ่ม่อโส่วเด้งออกมาข้างนอกทีละตัวด้วยความถี่สูงมาก สายฟ้าไหลเวียนดังเปรี๊ยะๆ ไหลไปรวมบนใบหน้าราชันชนรุ่นหลัง เปลวเพลิงดอกบัวบนบ่าเด็กสาวดับลงทันที
ทั้งถ้ำมืดมิดเกิดแสงสว่างสายฟ้าขึ้น
ราชันชนรุ่นหลังเงยหน้า แสงสว่างสีขาวส่องใบหน้าที่เจ็บปวดครึ่งหนึ่งและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครึ่งหนึ่ง
“นายหญิง ข้าหิวมากจริงๆ”
เลือดไหลอาบ อ้าปากงับไปที่คอเด็กสาว
เผยฝานหน้าเปลี่ยนสี ถอยมาไม่ทันแล้ว
ปากกัดลงไป แต่ไม่ใช่เสียงเลือดเนื้อฉีกขาด ไม่มีภาพเลือดสาดกระจาย
แต่เป็นเสียงดัง ‘กึก’
เสียงฟันกระทบกับคมกระบี่
พินิจเหมันต์หมุนคมกระบี่ ฟันของราชันชนรุ่นหลังกลับไม่ยอมปล่อยเลย งับเข้าที่คมกระบี่อย่างนั้น แสงสีเงินวิ่งพล่าน ดวงตาบุรุษผอมแห้งมืดทะมึนลง อยากจะลองกัดกระบี่ที่คุณชายเจ้าหรุยหลอมขึ้นให้แตก
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งปกป้องเด็กสาวไว้และถอยมาข้างหลัง ก่อนดึงกระบี่ออกมาด้วยแววตาเย็นยะเยือก
ฉึก!
ฟันหลายซี่ถูกปราณกระบี่ฟันออกมา เลือดสาดกระจาย
บุรุษผอมแห้งแผดเสียงคำรามพร้อมกับเดินไปข้างหน้า โซ่ส่งเสียงชนกันดังสนั่น โซ่สองเส้นพลันตึงขึ้นมา ลากสองหัวไหล่เขาไปข้างหลัง ก้าวเดินจึงยกค้างอยู่อย่างนั้น ทั้งถ้ำน้ำตกเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง
โซ่สีดำสองเส้นที่เป็นวิชาผนึกของเจ้ากรมผู้คุมกฎใหญ่เปล่งแสงสว่างจ้า ส่งเข้ามาเป็นจังหวะ จากนั้นระเบิดสองข้างหัวไหล่ราชันชนรุ่นหลังเลือดเนื้อกระจาย
ยอดผู้บำเพ็ญราชันดาราใต้บัญชาแม่ทัพแดนอุดรคนนี้ คิดจะตัดสองหัวไหล่ตัวเองเพื่อหลุดจากพันธนาการ!
น่าเสียดายแม้หัวไหล่จะระเบิดหายไป ค่ายกลที่ม่อโส่ววาดไว้ก็ยังมีอานุภาพอยู่ อักขระเล็กมากมายล้อมรอบราชันชนรุ่นหลัง ทันทีที่สัมผัสได้ถึงความคิดปั่นป่วนนี้ก็รวมเข้าด้วยกันและทำการกำราบไว้โดยพลัน
เสียงคำรามด้วยความโกรธ เสียงตะโกนแหบแห้งรวมถึงเสียงดัง ‘ฟิ้วๆ’ ในความเงียบงัน เหมือนกับข้ามผ่านควันไฟในคืนมืดมิด
ในดวงตาราชันชนรุ่นหลังมีประกายแสงเย็นเยียบพุ่งเข้ามา
จากนั้นก็ระเบิด!
ร่างของหนิงอี้ลอยไปเหมือนจอกแหน พลันออกหนึ่งกระบี่
ความเป็นเทพมหาศาลถาโถมเข้ามา!
อานุภาพเทพสว่างไสวไม่อาจต้านทาน
…..
เกิดเสียงดังสนั่น
ถ้ำสั่นสะเทือน กำแพงภูเขาแทบจะถล่มลง ร่างหนึ่งกระเด็นออกไปท่ามกลางฝุ่นควัน
ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหนิงอี้นั่นเอง
เผยฝานกดปลายเท้ากับพื้นพุ่งออกไป ใช้สองแขนรับหนิงอี้ไว้ ตัวพลันตกลง ทั้งสองคนซวนเซถอยหลัง ลดแรงลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังชนกับผนังหินอย่างแรง จนผนังหินแตกเป็นรอยใยแมงมุม
ในหมอก ดวงตาของราชันชนรุ่นหลังเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ
ยันต์ของเจ้ากรมผู้คุมกฎม่อโส่วทำการลงทัณฑ์เขาไม่หยุด ยันต์ค่ายกลล้อมรอบไม่ขาดสาย แต่ละแผ่นเหมือนกับดอกบัวพุทราแดง ตอนที่พุ่งออกไปจะขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นผนึก ตบเข้าผิวหนัง ฝังเข้าเลือดเนื้อ เกิดควันขาวลอยโขมงขึ้น
ราชันชนรุ่นหลังมีสีหน้าปกติ
มองข้ามความเจ็บปวดทั้งหมด
บุรุษคนหนึ่ง หากทนกับความมืดและโดดเดี่ยวที่สุดในโลกนี้ได้ ความเจ็บปวดพวกนี้ก็ไม่เท่าไรเลยจริงๆ
เสียงของค่ายกลรวมถึงเสียงลมหายใจหนักๆ ดังขึ้นในถ้ำจนได้ยินชัดเจน
ท่ามกลางความเงียบสงัด
เสียงสั่นสะเทือนวิ้งๆ ดังมาจากกระบี่
โครงกระดูกที่นั่งพิงผนังหินเหมือนสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ศีรษะหมุนเล็กน้อยมองไปทางราชันชนรุ่นหลัง พริบตาต่อมา กระบี่โบราณพวกนั้นในอ้อมกอดต่างก็หลุดจากอก ลอยขึ้นฟ้า
กระบี่โบราณออกจากอ้อมอก โครงกระดูกพวกนั้นจึงเสียที่ยึด ศีรษะถล่มลง ตกลงพื้น กระจายเป็นฝุ่นควัน
ปราณกระบี่ส่งเสียงร้องก้องไปทั้งถ้ำ
บุรุษผอมแห้งพูดเสียงเบา “ชีวิตคนมีแต่ความทุกข์ สู้หลุดพ้นเสียดีกว่า นายหญิง แม่ทัพตายแล้ว ไฉนท่านต้องมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ให้ราชันชนรุ่นหลังส่งท่านเถอะ ไว้ไปเจอกันในยมโลก…ว่าอย่างไร”
เผยฝานมองราชันชนรุ่นหลังพลางพูดงึมงำ “เจ้ามันคนบ้า…”
ราชันชนรุ่นหลังเพียงแค่ยิ้ม
ปล่อยให้โซ่พัน ประกายฟ้าผ่าลงมา เขากลับไม่เจ็บปวดเลยสักนิด
ดวงตาดำมืด มองไม่เห็นความรู้สึกใดๆ
หนิงอี้เช็ดมุมปาก ส่งความเป็นเทพเข้าไปในตัวกระบี่พินิจเหมันต์เงียบๆ
กระบี่ลอยอยู่รอบด้าน
ในแดนผนึกแห่งนี้มีศพเต็มไปหมด คนที่เคยฝ่าเข้ามาที่นี่ล้วนไม่มีจุดจบที่ดี
สายลมเย็นพัดผ่าน สายฟ้าส่งเสียงดัง ราชันชนรุ่นหลังยิ้มมองหนิงอี้กับเผยฝาน “ตอนเห็นพินิจเหมันต์ ข้ายังกังวลว่าสวีจั้งตามหลังพวกเจ้ามา หากสวีจั้งยังมีชีวิต เช่นนั้นจะฆ่าพวกเจ้าก็ต้องรีบลงมือ แต่ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว”
ชุดผ้าเนื้อหยาบขาดวิ่นบนตัวเขาถูกสายลมเย็นพัดขึ้น
ผ้าเนื้อหยาบตรงท้องถูกลมพัดเปิดขึ้น เผยท้องน้อยแห้ง รอยแผลเป็นมีไม่รู้เท่าไร ดูแล้วน่ากลัวมาก แต่หลังผ้าหยาบนั้น ตรงท้องที่เผยออกมาก่อนกลับไม่ใช่เลือดเนื้อ
แต่เป็นดวงตาหลายดวง เบิกตาโต กลอกตามองหนิงอี้กับเผยฝาน
“ทุกครั้งที่ฆ่าทาสกระบี่หนึ่งคน ข้าจะควักดวงตาพวกเขามา เพื่อยืนยันชีวิตแสนลำบากที่นี่…บางทีข้าอาจจะมีวันนั้นที่ได้ออกจากที่นี่จริงๆ” ราชันชนรุ่นหลังพูดเสียงเบา “ข้าหิวมาก ถ้าจะบังคับให้ข้าลงมือ พวกเจ้าคงตายไม่น่าดูเท่าไร แต่ถ้าเข้ามาให้ข้ากิน ข้าจะเหลือดวงตาพวกเจ้าไว้ มีชีวิตในโลกสกปรกนี่และตายไปอย่างเจ็บปวดด้วยกันดีหรือไม่”
แววตาเผยฝานไม่โกรธแล้ว แต่ผิดหวังที่สุด
เย็นชา
ราชันชนรุ่นหลังมารเข้าแทรกแล้ว
อีกทั้งยังมารเข้าแทรกถึงที่สุด หากให้เขาหลุดจากพันธนาการที่นี่ ออกจากถ้ำแห่งนี้ ก็จะกลายเป็นมารร้ายที่น่ากลัว ประเภทที่หากอยู่ในแดนทักษิณก็ถึงขั้นก่อตั้งสำนักได้
…………………………