เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 270 ถ้ำสิบสองปี (1)
ตอนที่ 270 ถ้ำสิบสองปี (1)
ทั้งสามคนหาโรงเตี๊ยมหลังหนึ่ง เปิดคนละห้องและพักผ่อนอยู่ที่นี่
ที่นี่คืออาทิตย์อุทัย เขตดินแดนกลาง สามสิบหกเมือง นอกจากจวนเจ้าเมืองแล้ว จะมีสามกรมประจำการอยู่ทุกที่ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเคาะประตูกลางดึก นอนหลับถึงเช้าได้อย่างปลอดภัย
เปิดหน้าต่างออก เผยฝานกอดต้นใบครามนั้นหันหลังพิงกรอบหน้าต่าง ครึ่งตัวอยู่ข้างใน อีกครึ่งข้างนอกแกว่งไปมา นางมองดวงจันทร์ใหญ่เหนือศีรษะด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
ภูมิประเทศเมืองอาทิตย์อุทัยค่อนข้างสูง มีภูเขาเล็กในเมือง สายน้ำไหลขึ้นและตกลงมา
แม้โรงเตี๊ยมนี้จะเตี้ย แต่ก็ยังเห็นแสงจันทร์สุกสกาว สว่างไสว
ภายในใจเงียบสงบ
ยามฝึกบำเพ็ญจะให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจมากที่สุด คนที่จิตใจสงบจะเจอกับธรณีการฝึกบำเพ็ญ จะไม่เกิดจิตมารง่ายๆ ไม่ร้อนใจกับสิ่งใด
เผยฝานครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
นางมาอาทิตย์อุทัยก็เกิดความคิดคุ้นเคยในใจ…แต่ถูกกดเอาไว้ จนถึงตอนนี้ นางไม่คิดจะกดความคิดนั้นไว้อีก
เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ยันต์สีขาวหิมะแผ่นหนึ่งพุ่งมาจากแขนเสื้อ ตรงขอบโดยรอบปักด้วยด้ายทองรอบหนึ่ง
ยันต์กระดิ่งทอง
หลังมาถึงอาทิตย์อุทัย แรงกดดันไร้รูปข้างหลังน้อยลงไปมาก
ยันต์กระดิ่งทองนี้ เดิมทีจะรอผู้บำเพ็ญภูตผีสองคนจากแดนบูรพาปรากฏตัวแล้วค่อยใช้ ตอนนี้ดูแล้วคงกังวลไปเอง
เผยฝานเก็บยันต์กระดิ่งทอง ใช้มือข้างหนึ่งกดขอบหน้าต่างเบาๆ พลิกตัวออกไป ร่างตกลงบนถนน นางกอดต้นครามหมื่นปีไว้ หลังลงถึงพื้นก็มองไปรอบๆ ก่อน
โคมไฟสีแดงของอาทิตย์อุทัยโคลงเคลงไปมาใต้ชายคา ลอยไปตามลม เป็นฤดูใบไม้ผลิดอกไม้บานแล้ว สายลมอบอุ่นพัดมา และยังมีเสียงพ่อค้าตะโกนเรียกลูกค้า
ยืนยันทิศทางแล้ว
เดินสามก้าวห้าก้าว ก้าวของเด็กสาวเบาและเร็ว ใบยาวของต้นครามหมื่นปีโอนเอนไปมา
ร่างเด็กสาวข้ามผ่านถนนใหญ่ตรอกเล็ก มุ่งหน้าไปน้ำตกภูเขาอาทิตย์อุทัย
……
สายน้ำไหลแยกจากแม่น้ำวายุแดง เป็นหนึ่ง ‘ลำธาร’ ไหลมา เหมือนเพราะแรงดูดที่ไม่อาจควบคุมได้บางอย่างจึงไหลขึ้นภูเขา หลังไหลย้อนขึ้นไปแล้วก็ตกลงมา
วางอยู่ในอาทิตย์อุทัย เป็นทิวทัศน์ที่แปลกตาในโลก
มีคนบอกว่าเป็นเพราะก้นภูเขาอาทิตย์อุทัยมีแสงดาราไหลมารวมกันจึงเกิดปาฏิหาริย์สายน้ำไหลขึ้นฟ้า คล้ายๆ กับบนฟ้าที่เป็นทะเลพลิกผันของเผ่าปีศาจแดนอุดร
เมื่อยืนดูใกล้ๆ จะดูอัศจรรย์จริงๆ
เด็กสาวกอดใบครามเหมือนกอดแมวขี้เกียจ ยืนอยู่ใต้ภูเขา เสียงน้ำตกดังลั่น เงาเด็กสาวเล็กจิ๋ว มุมชุดคลุมครามเปียกจากละอองน้ำกระเด็น
เผยฝานมองน้ำตกภูลำธาร
น้ำตกอาทิตย์อุทัย นอกระยะหนึ่งลี้โดยรอบเป็นจุดชมทิวทัศน์ มีศาลาใหญ่และทางเดิน
ในหนึ่งลี้เป็นเขตต้องห้าม
คำอธิบายของจวนเจ้าเมืองคือกลัวชาวบ้านจมน้ำ
สามกรมสร้างปราการค่ายกลหลายค่าย ผู้ฝ่าฝืนจะถูกจับกุม ชมแค่ระยะหนึ่งลี้ก็พอแล้ว จึงไม่มีใครฝ่าฝืนกฎนี้
ตอนนี้เด็กสาวยืนอยู่ในระยะหนึ่งลี้
ยืนอยู่ใต้น้ำตกแทบจะหน้าแนบหน้า
ด้วยความสามารถของนาง ค่ายกลย่อมขวางไว้ไม่ได้ สามารถเข้าไปได้อย่างเงียบเชียบ
ยืนใต้ภูเขา พิจารณามอง
หลิ่วสืออีพูดไว้ไม่ผิด ภูเขาสูงดวงจันทร์เล็ก น้ำลดหินโผล่
ความรู้สึกลับๆ นั้นในใจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เด็กสาวยื่นมือออกไปกดที่กระบี่ซ่อนตรงระหว่างคิ้วเบาๆ
เด็กสาวยืนหน้าน้ำตกอาทิตย์อุทัย สายน้ำไหลสาดกระเซ็น นางพูดเสียงเบา “เปิด!”
น้ำตกแหวกออกโดยพลัน ปราณกระบี่สายหนึ่งฟันออกไป มังกรน้ำถูกฟันผ่ากลางเอว น้ำไหลถูกขวางไว้บนยอดเขา ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้คงอยู่นานนัก น้ำตกแหวกจากนั้นก็รวมกันใหม่ ดูเหมือนการอุดตันอย่างน่าประหลาด น้ำไหลเชี่ยวทำลายหินใหญ่บางก่อน ดังนั้นไม่ทันไรก็ได้กลับคืนสู่ความสงบนิ่ง
หน้าน้ำตกภูลำธาร ร่างเงาของเด็กสาวกับต้นใบครามหายไปอย่างเงียบเชียบ
…..
ในห้องของหนิงอี้
หนิงอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่กำลังดูดซับแสงดารานิ่งๆ
หายใจเข้าออกซ่อนจังหวะไว้ภายใน มหามรรคซ่อนไว้ลึกก็อยู่ในนั้น
ผู้บำเพ็ญทุกคน ต่อให้เป็นผู้ฝึกหลอมกายก็ไม่พ้นการดูดซับและเข้าสู่ความสงบนิ่ง
ในระหว่างการดูดซับมีข้อห้ามหลายอย่าง ข้อห้ามที่ร้ายแรงที่สุดในนั้นคือการแบ่งสมาธิไปกับอย่างอื่น
เมื่อเข้าสู่การดูดซับห้วงลึก สมาธิของผู้บำเพ็ญมักจะจดจ่อโดยไม่รู้ตัว เข้าสู่สภาวะงีบหลับรูปแบบหนึ่ง กระทั่งทำการ ‘ถอดจิต’ ได้ ท่องไปในความว่างเปล่า ความจริงเส้นทางของนักกระบี่ คุมกระบี่บิน สังหารศัตรูนอกพันลี้ก็มีความลี้ลับนี้อยู่ ยามที่นักกระบี่งีบหลับ พลังวิญญาณกับกระบี่บินประจำตัวจะเชื่อมต่อกัน ดังนั้นจิตวิญญาณจึงควบคุมกระบี่ให้พุ่งไปในพันลี้ ตัดหัวของอีกฝ่ายได้
จิตวิญญาณจะออกก็ไม่ออก
หนิงอี้พลันลืมตาขึ้น น้ำเสียงเย็นเยียบ
“กลิ่นอายของยัยเด็กนั่นหายไป!”
เขาพลันตื่นขึ้นมา…ต่อให้กำลังฝึกฝนดูดซับพลังอยู่ในสภาวะกึ่งงีบหลับ เขาก็ยังเบนสมาธิส่วนหนึ่งไปที่เด็กสาว
ในสัมผัสของเขา เผยฝานพลันหายตัวไปในเมืองอาทิตย์อุทัย
หนิงอี้ลุกขึ้น สวมชุดคลุมดำ เขาผลักหน้าต่างไม้ออก ภาพในความคิดลอยขึ้นมาช้าๆ กลิ่นอายของเด็กสาวอยู่ในพื้นที่สัมผัสของตนตลอด นางออกจากโรงเตี๊ยมไปก่อน เดิมทีคิดว่านางแค่อยากเที่ยวเล่นในเมืองนี้ ขอแค่ไม่ออกจากสัมผัสก็ไม่เป็นไร ยันต์กระดิ่งทองของหนิงอี้ยังไม่ดัง ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจ
หนิงอี้หยิบร่มกระดาษมันก่อนจะทะยานออกหน้าต่าง เหยียบอิฐเหยียบกระเบื้อง กดตัวต่ำลงมากหลบการตรวจตราของสามกรม เคลื่อนไหวเช่นนี้ทั้งเร็วและมั่นคงที่สุด
ไปตามรอยของเด็กสาวตามกลิ่นอายพลังในความคิด
หนิงอี้ยังไม่ทันหาเจอ เคียงกระบี่ก็บอกในทะเลสาบจิตอย่างเข้าใจกัน
แค่สองคำก็เพียงพอ
“น้ำตก”
ตอนนี้ผู้อาวุโสเคียงกระบี่คืนชีพแล้ว วิญญาณออกจากร่าง ยอดฝีมือขอบเขตนิพพานวิถีกระบี่ท่านนี้มีพลังจิตสูงส่งกว่าตนมาก แม้จะเหลือเพียงดวงจิต แต่พลังสัมผัสแกร่งกว่าไม่รู้เท่าไร
หนิงอี้พูดขอบคุณ
ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางน้ำตกอาทิตย์อุทัยอย่างไม่ลังเลอีก
…..
น้ำตกเปิดออก ข้างในมืดมิด
เด็กสาวใช้มือข้างหนึ่งกอดต้นคราม อีกมือนิ้วชี้กับนิ้วนางหุบลง วางตรงริมฝีปากเบาๆ ก่อนเป่าลมออกไป
ปลายนิ้วจุดเปลวไฟขึ้น
ข้างหลังเป็นน้ำตกอาทิตย์อุทัย ข้างหน้าเป็นความมืด มีสายลมเย็นพัดมา
เปลวเพลิงตรงปลายนิ้วชี้เผยฝานลุกขึ้นตามลม แสงสว่างขึ้น ส่องแสงในระยะสามฉื่อ
สายลมในถ้ำพัดผ่านเหมือนมีคนลูบคอเบาๆ และยังเป่าลมข้างหู เด็กสาวมีสีหน้าไร้ความรู้สึก หลังฝึกกระบี่ซ่อน ปราณกระบี่ในกายนางร้อนขึ้น เป็นของแปลกของภูตผีปีศาจโดยแท้ ไม่เข้าใกล้ก็แล้วไป แต่หากเข้ามาในระยะสามฉื่อจะถูกปราณกระบี่ฟัน ชั่วอึดใจเดียวจะถูกปราณกระบี่ร้อนระอุระเบิดตัวตาย
ในน้ำตก ในถ้ำ มียันต์ลอยอยู่แผ่นหนึ่ง
‘คนนอกห้ามย่างกราย’
เผยฝานก้มหน้าลงยิ้ม มองยันต์นี้ด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะจุดไฟที่สองนิ้วขึ้นอย่างไม่ลังเล กำหมัดเบาๆ ก็กุมไฟนี้ไว้ในมือ จากนั้นแบมือออกดันขึ้นข้างบน เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ขาวบริสุทธิ์ดุจดอกบัวก็ลอยอยู่บนบ่าเด็กสาวเอง
นางใช้มือข้างหนึ่งถอดยันต์ออก ไม่ได้ทิ้งไปทันที แต่พับไว้อย่างเรียบร้อยและใส่ไปในกระเป๋าเอวของตนอย่างดี
ยันต์หายไปแล้ว สายลมเย็นในถ้ำก็รุนแรงขึ้น พัดเพลิงดอกบัวนั้นวูบไหวจนแทบจะดับลง
เผยฝานเข้าไปในน้ำ ทิ้งเสียงน้ำตกอาทิตย์อุทัยไว้ข้างหลัง ที่นี่เหมือนกับสุสานมากกว่า เกิดเสียงกึกดังขึ้นใต้เท้า พอก้มหน้ามองก็เห็นปลายขาโครงกระดูก เจ้าของที่นี่ไม่รู้ตายไปนานเท่าไรแล้ว ร่างกายหมดสภาพเสื่อมโทรม ถูกเด็กสาวเหยียบทีหนึ่ง กระดูกขาตรงที่เหยียบก็สลายเป็นเถ้าธุลี
เผยฝานนั่งยองลง พิจารณามองโครงกระดูกนี้
โครงกระดูกเอาหลังพิงผนังหิน กระดูกหัวไหล่ถูกหินย้อนตกใส่เป็นรู ร่างเอียงเอน กอดกระบี่นั่งอยู่ หัวกะโหลกตกลงมาชิดกับด้ามกระบี่ ทั้งตัวถูกกาลเวลากดดันอย่างหนัก พร้อมจะกลายเป็นเถ้าธุลีได้ทุกเมื่อ แต่กระบี่โบราณในอ้อมกอดเพียงแค่มีใยแมงมุมขึ้น เกิดสนิม ดูแล้วยังใช้งานได้
เผยฝานวางต้นครามลง ใช้มือข้างหนึ่งดึงกระบี่โบราณมาจากอ้อมกอดเจ้าของอย่างเบามือ ศีรษะเจ้าของโครงกระดูกไม่มีอะไรค้ำแล้วก็ตกลงแตก
กลางฝุ่นละออง เผยฝานกำฝักกระบี่ อีกมือชักกระบี่โบราณออกมาช้าๆ
เกิดเสียงดัง ‘ชิ้ง’
แสงกระบี่เย็นสดชื่นสว่างขึ้นในถ้ำมืด ดูเหมือนไม่ถูกกาลเวลากัดกร่อน แต่ทันทีที่ชักกระบี่ ตัวกระบี่กลับแตกเป็นเสี่ยงๆ หลังดึงออกมาทั้งหมด แสงกระบี่ยังอยู่ แต่ตัวกระบี่กลับแตกเป็นชิ้น ตกลงพื้นดังแปะๆ
ก็ยังไม่อาจต้านทานการกัดกินของเวลาได้
เผยฝานถอนหายใจเบา ปักกระบี่เข้าไปในฝักอีกครั้งและวางไว้ข้างผนังหิน
ตอนวางกระบี่นางยังเห็นว่าบนพื้นข้างโครงกระดูกมีป้ายคำสั่งเก่าแก่อยู่ชิ้นหนึ่ง
บนนั้นแกะสลักอักษรเป็นลายพร้อย
‘อุดร’
……………………….