เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 269 ภูลำธารในโลกนี้
ตอนที่ 269 ภูลำธารในโลกนี้
สิ่งปลูกสร้างเมืองอาทิตย์อุทัยเป็นแบบหอ เอนเอียงไปทางคำว่าเก่าแก่ ซ้อนกันเป็นตับ แต่มีลำดับอย่างมาก ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่มีหอไม้สองข้างล้อมเป็นวงกลมซ้ายขวา ไม่ถือว่าสูงนัก ที่สูงที่สุดก็ราวหอห้าชั้น
สำหรับโรงเตี๊ยมหอสุรา หอห้าชั้นไม่ถือว่าสูงจริงๆ
หอสุราของเมืองหลวงมีชื่อเสียงอยู่หลายที่ อย่างเช่นหอเด็ดดารา อย่างเช่นโรงกระบี่ โรงกระบี่ที่ตั้งชื่อจากความยิ่งใหญ่และสง่างามของยอดนักกระบี่ท่านหนึ่งนี้ สร้างออกมาได้ยิ่งใหญ่มาก มีถึงสามสิบหกชั้น หกมุมหลังคา ใต้ชายคาจะห้อยกระบี่หนึ่งเล่ม มีทั้งหมดสองร้อยสิบหกเล่ม จะเปลี่ยนใหม่ทุกปี ระดับก็ไม่ธรรมดา มองจากข้างล่างขึ้นไปจะเหมือนหอคอยสูงที่มีปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า
เมืองโบราณอาทิตย์อุทัยจะเห็นธงสีแดงใหญ่เก่าแก่โบกสะบัดอยู่ทุกที่ ตัวธงสีลอกแล้ว ตรงขอบเป็นสีขาว สะบัดไปตามสายลม
ร้านค้าด้านหน้าวางเรียงกันหลายร้าน ล้วนเป็นตึกสูงสองชั้น ธงเปล่งแสงแวววาว โคมไฟโคลงไปมาตามลม บนธงยังวาดอักษรใหญ่ไม่ต่างกันมาก
หลิ่วสืออีอ่านไปทีละคำ “รุ่งเรืองนิรันดร์ สมปณิธาน รุ่งเรืองบริสุทธิ์ แสงเจริญ…”
เพ่งสายตามองไปอีก ตรงประตูทุกร้านจะมีบุรุษร่างใหญ่ยืนอยู่คนสองคน สวมเกราะง่ายๆ ลายเส้นกล้ามเนื้อชัดเจน พิงหน้าประตูหลับตาพักผ่อน
เด็กสาวเอ่ยอย่างเฉยชา “นี่คือกลุ่มทหารรับจ้าง จะไปจะกลับเมืองอาทิตย์อุทัย ก็อาจจะมาซื้อม้าดีจากพวกเขาได้”
“กลุ่มทหารรับจ้างคืออะไร” หลิ่วสืออีถามด้วยความสงสัย “ออกจากเมืองอาทิตย์อุทัยไปเราต้องขี่ม้ารึ ไม่ขี่กระบี่บินรึ”
ตอนพูด หลิ่วสืออีกดเสียงต่ำมาก เขาขมวดคิ้วพลางพูดด้วยความกลัดกลุ้ม “ถ้าขี่ม้า ก็ไม่รู้จะไปถึงเมื่อไร…”
เขาสวมงอบไม้ไผ่ใบใหญ่ ฝุ่นตามชุดขาวถูกแสงดาราพัดจนสะอาด ผนวกกับฝึกวิถีกระบี่ ไม่ว่าจะมองไกลๆ หรือใกล้ๆ หลิ่วสืออีก็เหมือนคุณชายจากตระกูลขุนนางใหญ่
เพียงแต่เพราะบาดแผลกระบี่ เวลาหลิ่วสืออีเดินจะกระแอมไอเป็นบางครั้ง เขาใช้หลังมือปิดปากไว้ตามจิตใต้สำนึก มีกลิ่นอายเจ็บปวดวนเวียนอยู่สามส่วน
ส่วนหนิงอี้สวมชุดคลุมดำทั้งตัว เงียบเคร่งขรึม ถูกแสงสว่างสวยงามของหลิ่วสืออีกดลงไป อีกทั้งด้วยร่มกระดาษมันตรงเอว…มองทีแรกก็เหมือนเด็กรับใช้ถือร่มให้คุณชาย
เผยฝานสวมงอบ ตัวไม่สูง อุ้มต้นคราม ดูเหมือนหญิงรับใช้
สามคนเดินบนถนน จึงเหมือนกลุ่มคุณชายออกมาข้างนอก พาหญิงรับใช้กับเด็กรับใช้มาด้วย
มีโอกาสทำให้คนหันมามองไม่น้อย
แต่ความจริงตรงกันข้ามเลย
หลิ่วสืออีเป็นนักกระบี่จิตกระบี่บริสุทธิ์ อยู่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ เขาคือศิษย์สายตรงของหลิ่วสือ วางในทางโลกใต้ฟ้าต้าสุย เขาไม่นับว่าเป็นอะไรเลย…ถ้าจะให้พูด
เขาเป็นได้แค่คนปัญญาอ่อน
แต่หนิงอี้ไม่เหมือนกัน
นี่คือครั้งแรกที่หนิงอี้ออกจากเมืองหลวง ใช้ตัวตนอิสระออกมาข้างนอก เมื่อก่อนบนเขาน้ำค้างเล็กก็ได้เห็นจิตใจคนในใต้ฟ้าต้าสุย แต่ไม่เคยได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อน
หนิงอี้พูดอย่างอดทน “กลุ่มทหารรับจ้างอยู่ในยุทธภพใต้ฟ้าต้าสุย ไม่ว่าของเล็กหรือใหญ่ ของสำคัญอะไรก็จ้างให้กลุ่มทหารรับจ้างไปส่งถึงที่หมายได้”
หลิ่วสืออีขมวดคิ้ว มองบุรุษกำยำตรงประตู “พวกเขาคือใคร”
บุรุษที่หลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ป้ายกลุ่มทหารรับจ้างสมปณิธานคนหนึ่งเหมือนรู้สึกถึงสายตา เขาลืมตาขึ้น เห็นกลุ่มคุณชายกับเด็กรับใช้สองคนบนถนนก็แสยะปากเผยฟันขาว ป้องมือยิ้มให้กับหลิ่วสืออี
หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “เขาเป็นคนของกลุ่มทหารรับจ้าง ใช้ความสามารถหากิน จะไปข้างนอกก็ต้องมีทหารคุ้มกันไปด้วยสองสามคน”
หลิ่วสืออีก็ยังไม่เข้าใจ “แต่เหตุใดพวกเขาถึงไม่มีพลังบำเพ็ญล่ะ”
หนิงอี้มองหลิ่วสืออี
เจ้านี่โง่จริงๆ
“เจ้าคิดว่าการฝึกบำเพ็ญง่ายนักรึ” หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกดงอบ มองค้อน “ผู้บำเพ็ญใต้ฟ้าต้าสุย มีใครบ้างที่อยู่สูงส่งแล้วยังต้องทำงานทหารรับจ้างเลี้ยงชีพกัน ถ้าบอกว่าในเมืองอาทิตย์อุทัยมีชาวเมืองสองแสนคน เช่นนั้นผู้บำเพ็ญก็มีไม่เกินพันคนหรอก อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นทหารลาดตระเวนของจวนเจ้าเมืองกับสามกรม ทั้งเมืองนี้ หากเดาไม่ผิด ไม่มียอดผู้บำเพ็ญเหนือกว่าขอบเขตดาราชะตาเลย”
หลิ่วสืออีทำเสียง ‘อ๋อ’ เป็นเชิงเข้าใจ…
เขาเอามือสอดเข้าไปในงอบ ขยับตำแหน่งให้ตรง ก่อนจะพูดเขินๆ “ข้าได้ยินมาว่าทางโลกมีจุดพักม้าอยู่ ถ้าออกเดินทางก็จ่ายมัดจำ เช่าม้าที่จุดพักม้า ถึงที่ต่อไปก็คืนม้าได้”
หนิงอี้มองหลิ่วสืออีอย่างจริงจัง มองเจ้าคนหัวใจเด็กทารกเคลือบเงามันทั้งตัวนี่ มั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พกเงินติดตัวมาเลย ทว่ากลับลงจากตำหนักทะเลสาบกระบี่มาถึงเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น นี่มันเรื่องปาฏิหาริย์ชัดๆ
เขาแปลกใจขึ้นมา “เจ้าเดินทางมาอย่างไรกัน”
หลิ่วสืออีพูดอย่างระมัดระวัง “นั่งเรือก่อน ข้ามแม่น้ำหลีเจียง แล้วก็เช่าม้ามาดินแดนกลาง หลังคืนม้าก็เดินเท้า”
เขารีบพูดต่อ “ระหว่างทาง ข้าหลิ่วสืออีไม่ได้ติดเงินใครเลย”
“ไม่ติดเงินใครรึ ครั้งก่อนคนที่จ่ายเงินค่าเช่าม้าให้เจ้าคือใคร” หนิงอี้มองหลิ่วสืออีด้วยสีหน้าแปลกๆ
แววตาหลิ่วสืออีไม่แน่ใจเล็กน้อย
เขาส่ายหน้าพูดหน้าเศร้า “เป็นคนชื่อเซียวจิ่ว เขาตายแล้ว”
หนิงอี้ตบบ่าหลิ่วสืออีก่อนพูดอธิบาย “ที่ไม่เช่าม้าที่จุดพักม้าก็เพราะครั้งนี้ต้องเดินทางไกลมาก ซับซ้อนกว่าตอนเจ้าลงเขามาก ม้าที่จุดพักม้าห้ามแบกรับภาระหนักขนาดนี้ และยังเร็วไม่พออีก แต่ม้าของกลุ่มทหารรับจ้างแม้จะมีนิสัยดุร้าย แต่เหมาะสมกับการเดินทางไกล พูดตรงๆ ก็ทนใช้งาน”
หลิ่วสืออีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “หนิงอี้…เมื่อก่อนเจ้าเคยท่องยุทธภพหรือไม่”
หนิงอี้ส่ายหน้า “เสียที่ไหน มาต้าสุยก็เคยไปอยู่สองที่ หนึ่งปิดด่านบำเพ็ญที่เขาน้ำค้างเล็ก อีกที่ก็ฝึกฝนในเมืองหลวง ครั้งนี้ออกมาครั้งแรกถึงรู้สึกว่าอากาศข้างนอกปลอดโปร่งกว่าเมืองหลวง”
เด็กสาวใช้มือข้างหนึ่งกอดต้นใบคราม อีกมือชี้ไปตรงจุดที่สูงสุดของเมืองอาทิตย์อุทัย
“อาจจะเป็นเพราะมัน” เผยฝานพูดอย่างจริงจัง “แม่น้ำวายุแดงไหลผ่านอาทิตย์อุทัย แยกเป็นหนึ่งสายไหลบนเขาอาทิตย์อุทัย ด้านหนึ่งเป็นน้ำพุไหลย้อน อีกด้านเป็นน้ำตก ไหลย้อนขึ้นไปและก็ไหลหลากลงมา”
หอเมืองอาทิตย์อุทัยไม่สูง มองเห็นสิ่งที่อยู่สูงสุดได้ นั่นคือภูเขาอาทิตย์อุทัยกลางเมือง
นี่ก็เย็นแล้ว ยามสนธยาอากาศเย็นสบาย สายลมพัดมาเป็นระลอก
น้ำตกไกลๆ อบอวลด้วยละอองน้ำ ขึ้นเป็นหมอกขมุกขมัว
หลิ่วสืออีพูดปลงเสียงเบา “ตะวันขึ้นตะวันลับ ดวงจันทร์ขึ้นดวงจันทร์ลับ ภูเขาสูงจันทร์เล็ก น้ำลดหินโผล่ มองไกลๆ เทียบกับน้ำตกตำหนักทะเลสาบกระบี่แล้วยังขาดพลังไปอีกเล็กน้อย แต่ก็มีท่วงทำนองประชันกันได้”
หลิ่วสืออียิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “เมื่อก่อนตอนที่ข้านั่งมองหินผาใต้น้ำตก กลับมองข้ามทิวทัศน์เช่นนี้ไป”
หนิงอี้มองหลิ่วสืออีอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “เมื่อก่อนตอนที่สวีจั้งพลังบำเพ็ญลดและหนีตาย ก็เคยหนีจากแดนบูรพาไปถึงแดนประจิม จากแดนประจิมหนีไปแดนบูรพาอีก ถึงจะหนีตาย แต่ความจริงก็เป็นการท่องต้าสุย ท่องยุทธภพ เขาบอกข้าว่าอย่าเอาแต่ปิดด่านบำเพ็ญ ผู้ฝึกบำเพ็ญขี่กระบี่บินแล้วก็ต้องเดินบนพื้นดินด้วย ลองเดินสำรวจใต้ฟ้าต้าสุยด้วยตัวเองสักครั้ง ดูภูลำธารในโลกนี้สะท้อนในดวงตา ดูว่าเหมือนกับในใจตนหรือไม่”
………………………..