เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 266 ยอดคนดีหนิงอี้
ตอนที่ 266 ยอดคนดีหนิงอี้
หลิ่วสืออีนอนไม่หลับ
ป้ายคำสั่งสื่อสารไม่ได้ส่งข่าวเป็นครั้งที่สาม
ไม่มีข่าวคราวแม้แต่นิด
เขานั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้จวนขุนนางรองท่องกระบี่ นั่งจนฟ้าสาง ตะวันขึ้นทางตะวันออก เสียงนกร้องในเมืองหลวง เด็กหนุ่มชุดขาวหน้าซีดเล็กน้อย ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะบาดเจ็บ อีกครึ่งเป็นเพราะจิตใจไม่สงบ
หนิงอี้เปิดประตูห้องไปฝึกฝนตามปกติ ก็เห็นหลิ่วสืออียังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนก้อนหิน
เขาโคจรวิชาหลอมกายของศิษย์พี่หญิงพันกร ฝึกวิชาหมัดอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
มองไปอีกครั้ง หลิ่วสืออียังคงเหมือนก้อนหิน
กำหนดลมหายใจเข้าออก ฝึกบำเพ็ญ
ตระหนักรู้จิตกระบี่
ทำพวกนี้เสร็จก็กินเวลาไปหนึ่งชั่วยามแล้ว
ในที่สุดหลิ่วสืออีก็พูดขึ้น เขามองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “ข้าจะออกจากเมืองหลวง กลับไปตำหนักทะเลสาบกระบี่”
“พูดได้น่าฟังมาก” หนิงอี้ลืมตาขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าบาดเจ็บหนัก จะกลับไปอย่างไร”
หลิ่วสืออียังไม่หายดี
หลังสังหารพญายมขุมนรกที่เจ็ดที่เมืองรากษส ภายนอกแดนบูรพาไม่โต้ตอบอะไร แต่ข้างในเริ่มตรวจสอบแล้ว…ดีที่ค่ายกลพิฆาตเซียนน้อยของหนิงอี้ไม่เคยปรากฏต่อหน้าปุถุชนมาก่อน ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่พบ สาวมาไม่ถึงตัวเขา
แต่ความตายของพญายมขุมนรกที่เก้า แดนบูรพาคิดว่าหลิ่วสืออีมีส่วนเกี่ยวข้อง
ตอนนี้หลิ่วสืออีไม่ได้โผล่หน้าในเมืองหลวง
เขาซ่อนอยู่ในจวนของหนิงอี้ ที่นี่คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด และก็อันตรายที่สุดเช่นกัน
หากหลิ่วสืออีบุ่มบ่ามปรากฏตัว เช่นนั้นแดนบูรพาจะโถมกำลังมาใส่ผู้ไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ดคนนี้ ชื่อเสียงผู้ไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ดจะมีประโยชน์อะไร ผู้ใต้บัญชาคุณชายน้ำค้างส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบที่ไม่เกรงกลัวความตาย
หนิงอี้ยึดถือหลักการมาตลอดว่าทำความชั่วอย่าได้ทิ้งร่องรอยไว้
เขาคุ้มกันหลิ่วสืออีให้ได้
แต่เขาไม่อยากถูกแดนบูรพาไล่ล่าตอนที่พาคนบาดเจ็บหลิ่วสืออีออกจากเมืองหลวง
เด็กสาวผลักประตูห้อง หนิงอี้เดินเข้าไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคร่าวๆ นางขมวดคิ้วมองหลิ่วสืออี “อยู่ที่นี่รักษาตัวเถอะ หากแผลกระบี่ยังไม่หายดี บาดเจ็บหนักซ้ำเข้าไปอีก มีโอกาสสูงมากที่จะจำกัดขอบเขตพลังบำเพ็ญเจ้า ข้าว่า…เจ้าน่าจะหยุดอยู่แค่ขอบเขตที่สิบ หลิ่วสืออี เจ้าคงไม่อยากเอาอนาคตตัวเองมาเดิมพันหรอกนะ”
หลิ่วสืออีเงียบไปนานมากก่อนพูดอย่างจริงจัง “ข้าเป็นห่วงอาจารย์”
หนิงอี้ถอนหายใจ “ห่วงตัวเจ้าเองก่อนเถอะ คนอย่างหลิ่วสือนับว่าหาได้ยาก ยอดผู้บำเพ็ญที่ใช้พลังบำเพ็ญราชันดาราเข้าหุบเขานิรันดร์ได้ ต่อให้ตำหนักทะเลสาบกระบี่เกิดเรื่อง เขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
ลานบ้านไม่ได้เงียบไปนานนัก
“ข้าเกิดที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ เติบโตที่ตำหนักทะเลสาบกระบี่ ตอนออกจากตำหนักทะเลสาบกระบี่ลงเขาฝึกบำเพ็ญ ข้าพกของมาสามอย่าง”
หลิ่วสืออีพูดเสียงเบา “ชุดขาวหนึ่งตัว กระบี่ยาวหนึ่งเล่ม และเครื่องหยกหนึ่งชิ้น ล้วนเป็นของที่อาจารย์ให้ข้ามา”
หนิงอี้มองหลิ่วสืออี เจ้านี่ยังคงสวมชุดขาวเปื้อนเลือด…มองไม่ออกเลยว่าหลิ่วสืออีเป็นคนรักของเช่นนี้
“ชุดขาวสกปรกก็เปลี่ยนใหม่ได้” หลิ่วสืออีเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองหนิงอี้ “เจ้าทำนางแอ่นคืนรังหัก ก็ไม่เป็นไร”
ระหว่างพูดอยู่นั้น เด็กหนุ่มชุดขาวหยิบเครื่องหยกนั้นขึ้นมาช้าๆ
หนิงอี้ถึงสังเกตเห็นว่าเครื่องหยกสิบรูนั้น ตอนนี้แตกออกจากข้างใน
“เครื่องหยกนี้ ไม่ใช่แค่สื่อสารได้ แต่ยังเป็นป้ายชีวิตของอาจารย์” เสียงหลิ่วสืออีเรียบนิ่งมาก นิ่งจนแทบจะไร้ความรู้สึก แต่มือนั้นที่ถือเครื่องหยกกลับสั่นไหวเบาๆ
เขาพูดด้วยแววตามืดมน “ตำหนักทะเลสาบกระบี่เกิดเรื่อง อาจารย์ข้าเจอกับเรื่องเลวร้าย”
หนิงอี้พูดด้วยความจำใจ “เจ้าหูหนวกหรือตาบอดกันแน่ อาจารย์เจ้าส่งมาทั้งหมดกี่ประโยค เจ้าเห็นแค่ประโยคแรกรึ ประโยคว่า ‘อย่ากลับมา’ ข้างหลังเป็นลมผ่านหูไปแล้วรึ”
หลิ่วสืออีเฉยเมยดุจก้อนหิน เอาแต่ก้มหน้าคำนวณเงียบๆ ในใจ
“หนิงอี้”
หลิ่วสืออีโพล่งขึ้นมา “ข้าถูกแดนบูรพาจับตามองใช่หรือไม่ เจ้ากำลังกังวลเรื่องเมืองรากษสใช่หรือไม่”
หนิงอี้หรี่ตาลง
“ข้าแค่ต้องผลักประตูนี้ ยืนต่อหน้าทุกคนในเมืองหลวง พวกเขาก็จะเข้าใจ” หลิ่วสืออีมองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “ด้วยอาการบาดเจ็บข้าในตอนนี้ จะสังหารพญายมขุมนรกที่เก้าได้ก็ไม่ง่ายแล้ว และคนคนนั้นที่ฆ่าพญายมขุมนรกที่เจ็ดไม่มีทางเป็นข้าเด็ดขาด”
ย่อมเป็นหนิงอี้หลังประตูจวน
หนิงอี้ไม่สนใจความแค้นของแดนบูรพา แต่ลดปัญหาไปได้ก็ดีกว่ามีปัญหาเพิ่มขึ้นมา
พอได้ยินคำพูดหลิ่วสืออี เขาก็อดยิ้มด้วยความโกรธไม่ได้
หนิงอี้ยังคงยิ้ม พูดชมเชย “หลิ่วสืออีหนอ สมองท่อนไม้อย่างเจ้าฉลาดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน ตอนนี้รู้จักข่มขู่คนอื่นแล้วรึ”
หลิ่วสืออีมองหนิงอี้ “ขอโทษ…”
เขานิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “ข้าขออย่างเดียว”
หลิ่วสืออีคำนวณบาดแผลของตนอยู่ในใจ แม่นางเผยพูดไว้ไม่ผิด ตนบาดเจ็บเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ช่วงนี้พักผ่อนจะดีที่สุด ส่วนการจะออกจากเมืองหลวงกลับตำหนักทะเลสาบกระบี่เพียงลำพัง นี่เป็นเรื่องตลก
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูด “ส่งข้าออกจากแดนกลาง ไปถึงชายแดนประจิม เรื่องที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
หนิงอี้ทำเสียงหึ สองมือกอดอก
เขาหันหน้าไปมองเด็กสาว “ยันต์ของเราที่เหลืออยู่พาออกจากแดนกลางได้อย่างปลอดภัยหรือไม่”
“ค่ายกลมารดาบุตรที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ให้พระสนมตำหนักดอกไม้ขาวไปแล้ว” เด็กสาวยักไหล่ “จะวาดขึ้นใหม่ต้องใช้เวลา ถ้าจะออกเดินทางตอนนี้…หากมีสามคนจะต้องใช้พลังของยันต์ขึ้นมาก หากไม่มีอะไรผิดพลาด ออกจากแดนกลางไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่ต้องใช้แรงปณิธานอย่างมาก”
หลิ่วสืออีขมวดคิ้ว “แรงปณิธานคืออะไร…แสงดาราล่ะ”
หนิงอี้พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แสงดารารึ เจ้าคิดเอาว่าดินแดนกลางใหญ่เพียงใด หากใช้แสงดาราปลุกยันต์ข้ามมิติไปเรื่อยๆ แสงดาราที่ส่งเราออกจากเขตแดนกลางได้ก็สูบยอดผู้บำเพ็ญราชันดาราจนแห้งได้คนหนึ่งเลย”
เขตแดนกลาง สามสิบหกเมือง ต่อให้ข้ามเป็นเส้นตรงที่ใกล้ที่สุดก็ต้องใช้แสงดาราจำนวนมาก
มิหนำซ้ำ มีใครใช้ยันต์เดินทางอย่างเดียวบ้าง
หลิ่วสืออีได้ยินว่าในราชวงศ์ต้าสุยมีป้ายหยกเคลื่อนย้ายชนิดหนึ่ง บีบแตกแล้วจะกำหนดจุดเคลื่อนย้ายได้ เชื่อมระหว่างมิติสองฝั่ง…แต่น่าเสียดายที่เพิ่งให้ค่ายกลมารดาบุตรไป อีกทั้งค่ายกลมารดาบุตรยังจำกัดพื้นที่ และที่มากกว่านั้นคือต้องระวังพันธนาการมิติที่แข็งแกร่งฉีกขาด มีค่ายกลมารดาบุตรอยู่ก็หมายความว่าแทบจะเป็นอิสระทั้งหมดแล้ว
เว้นแต่จะอยู่ในเมืองหลวง ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่กินแสงดาราและแรงปณิธานอย่างมากสามารถส่งผู้บำเพ็ญไปทางทะเลพลิกผันแดนอุดรได้
ไม่อย่างนั้นการเดินทางไกลก็ได้แต่อาศัยแรงปณิธาน ‘เคลื่อนย้าย’ ไปทีละนิด
ตามที่หนิงอี้บอก แสงดาราที่สูบผู้บำเพ็ญราชันดาราจนแห้ง…คงเอาออกมาไม่ได้แน่นอน
หลิ่วสืออีฟังหนิงอี้พูด “มีแรงปณิธานอย่างหนึ่งแกร่งกว่าแสงดารามาก…มากๆ”
พอได้ยินดังนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ
หนิงอี้ลุกขึ้นยืน โยนปราณนิรันดร์นั้นออกไป หลิ่วสืออีได้แต่คว้าไว้
“ความจริงต่อให้เจ้าไม่ขู่ข้า ข้าก็จะพาเจ้าออกจากเมืองหลวงอยู่แล้ว” หนิงอี้มองหลิ่วสืออี “เจ้าลัทธิกำลังเดินทางกลับเมืองหลวง อีกไม่กี่วัน รถม้าสำนักเต๋าจะเข้าเมือง ชื่อเสียงยักษ์ใหญ่แดนประจิมใครก็ล่วงเกินไม่ได้ ข้าติดรถม้าไปมาได้ แดนบูรพาก็ดี จวนปฐพีก็ดี หลังออกจากเมืองหลวง ใครก็หาข้าไม่พบ”
หลิ่วสืออีเพ่งพินิจปราณนิรันดร์ สีหน้าดูลังเล
นี่คือกระบี่มีชื่อของเขาเชียงซาน ระดับสูงยิ่ง เหนือกว่านางแอ่นคืนรังของเขาไม่รู้เท่าไร ตอนนี้ในตัวเขาไม่มีของที่ใช้สู้เลย การมีกระบี่เช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งยวด
“ไม่โทษเจ้าหรอก เป็นกรรมที่ข้าก่อไว้เอง” หนิงอี้ถอนหายใจเบา “ถ้าได้ไปหุบเขานิรันดร์อีกครั้ง ข้าจะไม่หักกระบี่นั่นของเจ้า ให้เจ้าแบกนางแอ่นคืนรัง ที่ไหนเย็นสบายก็ไปที่นั่น ไม่ติดค้างน้ำใจเจ้า วันนี้ก็คงไม่มีเรื่องยุ่งยากเยอะขนาดนั้น ถูกหรือไม่”
หลิ่วสืออีพ่นลมหายใจ
เขาผูกปราณนิรันดร์ไว้ข้างหลัง จากนั้นยืนขึ้นโค้งตัวลงลึก
“ขอบคุณ!”
“ต้องออกจากเมืองหลวงโดยเร็ว” หนิงอี้พูดปลง “มีกระบี่ก็ไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ด ไม่มีกระบี่ก็ยากจะเดินแม้แต่ก้าวเดียว ตอนนี้เจ้ามีกระบี่แล้ว แต่ไม่มีข้า เจ้าก็ยังเดินไปได้ยากอยู่ดี”
หลิ่วสืออีรู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ
หนิงอี้ด่ายิ้มๆ “คิดเสียว่าข้าเป็นยอดคนดี เป็นคนดีต้องเป็นให้สุด ส่งพระต้องส่งถึงตะวันตก เลยไปส่งเจ้าแล้วกัน”
…….
หอยอดวิสุทธิ์
ในลานบ้านเล็กวางกระดานหมากอันหนึ่ง ซูมู่เอามือข้างหนึ่งดันแก้ม ตัวหมากบนกระดานไม่เคยขยับ ตำราโบราณการเล่นหมากที่เปิดอยู่และวางตรงตักเปิดพลิกหน้าไปตามสายลม
วันนั้นหลังจากประมือกับเจ้ากรมข่าวกรองใหญ่อวิ๋นสวิน ซูมู่ก็เริ่มจริงจังกับวิถีหมาก
เขาพึมพำกับตัวเอง “เมื่อหลายวันก่อนได้ยินว่าท่านเจ้าลัทธิจะมาเมืองหลวง ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไรกัน”
เมื่อสิ้นเสียง
ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ
นักพรตชุดหยาบเคาะประตูอย่างร้อนใจจากข้างนอก
ถ้าไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร ปกติเขาจะเตือนนักพรตชุดหยาบพวกนั้นว่าไม่ว่าจะออกไปข้างนอกหรือทำอะไรในหอยอดวิสุทธิ์จำต้องสุขุม อย่าตื่นตระหนกทำขายหน้าสำนักเต๋า
เหตุใดเสียงเคาะประตูตอนนี้ถึงมีความลนลานอยู่สามส่วน
“เข้ามา”
ซูมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบ
นักพรตชุดหยาบผลักประตูไม้ เสียงก็ดังเข้ามา
“ท่านซูมู่ เมื่อไม่นานมานี้ที่เมืองรากษส พญายมขุมนรกที่เจ็ดกับเก้าตายแล้ว…”
“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว” นักพรตชุดหยาบยังไม่ทันพูดจบ ซูมู่ก็พูดขัด ใบหน้ายังคงไม่ใส่ใจ เขาเอามือข้างหนึ่งกดหน้ากระดาษที่พลิกไปตามสายลม ก่อนจะพูดเรียบๆ “พญายมขุมนรกที่เจ็ดเป็นผู้รับช่วงต่อของสามเคราะห์สี่หายนะแดนบูรพา น้ำค้างหมายหัวหลิ่วสืออีแล้ว”
นักพรตชุดหยาบโค้งตัวพูด “ใช่…”
ซูมู่พูดนิ่งๆ “เรื่องแค่นี้ ไฉนต้องทำเป็นกระต่ายตื่นตูมกัน”
นักพรตชุดหยาบก้มหน้าลง “ใต้ดินแดนบูรพาออกคำสั่งล่าสังหารขอรับ ล่าสังหารหลิ่วสืออีกับคุณชายหนิงอี้”
“หนิงอี้รึ” ซูมู่ปิดตำราการเล่นหมาก ลุกขึ้นก่อนขมวดคิ้วพูด “หนิงอี้เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือ…”
เขาจำได้ว่าหนิงอี้อยู่ในจวนเจ้าลัทธิ
“หนิงอี้อยู่ที่ใด”
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าอยากจะพูด…ตอนนี้คุณชายหนิงอี้ออกจากเมืองหลวงแล้ว ทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง” นักพรตชุดหยาบส่งจดหมายให้ด้วยสองมือ “จดหมายนี่ หนิงอี้อยากมอบให้ท่านเจ้าลัทธิ!”
……………………..