เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 265 แขกวิมานเทพ
ตอนที่ 265 แขกวิมานเทพ
หนิงอี้ได้ฟังคำพูดหลิ่วสืออีก็เงียบ
นี่มันอะไรกัน…
“สืออี ได้ยินว่าช่วงนี้เจ้าตระหนักขอบเขตกระบี่ หลังหุบเขานิรันดร์ครั้งก่อน ข้ามีคำถามมาตลอด…” หนิงอี้ลุกขึ้นอย่างไม่มีเจตนาดี เขากดมือข้างหนึ่งที่ร่มกระดาษมัน ปราณกระบี่ไหลเวียนในแกนกระบี่
ร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์ ริมทะเลสาบอิสระ ทำให้หนิงอี้ในตอนนี้อึดอัดอยู่ในใจ
เขาอยากหาคู่ต่อสู้สักคน รับสักสองกระบวนท่า ระบายความกลุ้มในอก…และหลิ่วสืออีคือคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุด
หลิ่วสืออีก็ไม่โง่
เขาจะมองความตั้งใจของหนิงอี้ไม่ออกได้อย่างไร
เด็กหนุ่มชุดขาวมองค้อน “ข้าไม่สู้กับเจ้าหรอก เอาปราณนิรันดร์คืนไป รอข้าหากระบี่ที่เหมาะสมพบ แผลหายดีแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยมาสู้กัน!”
แสงเงินสายหนึ่งลากผ่านกลางอากาศ
หนิงอี้รับปราณนิรันดร์มาก็ได้ยินหลิ่วสืออีพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าช่วยข้าที่เมืองรากษส บุญคุณนี้ ข้าจำเอาไว้แล้ว”
หนิงอี้ปล่อยพินิจเหมันต์ ใช้ผ้ามัดปราณนิรันดร์สูงเท่าคนเล่มนี้ไว้อย่างดี ก่อนจะถอนหายใจ “บุญคุณอะไรกัน ไม่ต้องพูดแล้ว…เอาโอสถเซียนวิมานเทพมาให้ข้าสักเม็ดก็พอ”
พูดถึงช่วงหลังก็เผยเจตนาชัดเจน
สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็คือโอสถเซียนวิมานเทพนั่น
ตอนนั้นที่สวีจั้งสังหารซูขู่ เดิมทีคิดว่ายอดผู้บำเพ็ญดาราชะตาคนใหม่นี้จะมีโอสถเซียนวิมานเทพในกระเป๋า แต่ไม่นึกเลยว่าระดับความล้ำค่าของโอสถเซียนวิมานเทพนี้ แทบจะอยู่สามอันดับแรกในตำหนักทะเลสาบกระบี่ นอกจากกระบี่ ‘ยอดเหมันต์’ ประจำตำหนักแล้ว ก็คือโอสถเซียนนี้
นอกจากหลิ่วสือ ยอดผู้บำเพ็ญคนอื่นในตำหนักทะเลสาบกระบี่ไม่เคยได้ลองโอสถเซียนวิมานเทพ
ความจริงแล้วหนิงอี้พูดเล่น
เขารู้ว่าโอสถเซียนวิมานเทพมีความหมายอย่างไรในตำหนักทะเลสาบกระบี่ และรู้ว่าต่อให้หลิ่วสือจะเป็นผู้รับช่วงต่อของตำหนักทะเลสาบกระบี่ในอนาคต แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็เอาโอสถเม็ดนี้มาไม่ได้
ดังนั้นจึงแค่พูดไปอย่างนั้น
แต่ไม่นึกเลยว่าหลิ่วสืออีจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ โอสถเซียนวิมานเทพหนึ่งเม็ด”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยความตกใจ “เหตุใดเถ้าแก่หลิ่วถึงใจกว้างเช่นนี้กัน”
หลิ่วสืออีโบกมือ ก่อนจะพูด “โอสถเซียนวิมานเทพเม็ดเดียว ตำหนักทะเลสาบกระบี่เอามาให้ได้อยู่แล้ว ข้าจะไปขออาจารย์ให้ ชีวิตข้าสำคัญกว่าโอสถนี่มาก”
หนิงอี้ทำเสียงจิ๊ๆ “โอสถเซียนไม่ต้องหรอก แค่พูดไปอย่างนั้น รอเจ้านั่งตำแหน่งเจ้าตำหนักเมื่อไร มีกินมีใช้ ก็อย่าลืมเอาทองแท้เงินขาวมาให้ข้าก็พอ”
หลิ่วสืออีหัวเราะ
หลังจากตื่นจากการตระหนักรู้ หกสัมผัสของเขากว้างขึ้นทีละนิด ตอนนี้รู้สึกได้ว่าป้ายคำสั่งสื่อสารตำหนักทะเลสาบกระบี่ในกระเป๋าเอวตนที่เคยสั่นไหวอยู่หลายครั้ง ตอนนี้สงบลงแล้ว
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หลิ่วสืออีขมวดคิ้ว ก่อนนำป้ายคำสั่งสื่อสารนั่นออกมา
ป้ายคำสั่งสื่อสารตำหนักทะเลสาบกระบี่นั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือ เป็นทรงสี่เหลี่ยม ตรงกลางเจาะเป็นรูกลมสิบกว่ารู เหมือนถูกกระบี่แทง มีสีเครื่องหยก ดูเปราะบาง แต่ความจริงค่อนข้างทนทาน ไม่แตกหักง่ายๆ
นี่คือป้ายคำสั่งสื่อสารระหว่างเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่กับศิษย์สายตรง
สิบรูก็คือรุ่นที่สิบที่สืบทอดป้ายคำสั่งนี้มา
หลิ่วสือ ให้หลิ่วสืออี
หลิ่วสืออีสงสัยเล็กน้อย…ตั้งแต่เขาออกจากภูเขามา อาจารย์ก็ไม่เคยส่งข่าวหาเขา
วิธีการสื่อสารของเครื่องหยกนี่เหนือชั้นยิ่ง มองข้ามมิติได้ ต่อให้มีค่ายกลใหญ่หลายสิบค่ายปกคลุมอยู่ก็ยังส่งข่าวมาได้ในพริบตา นี่คือของเอาตัวรอดที่สำคัญที่สุดของหลิ่วสืออี
แต่เขาไม่เคยคิดจะใช้มันเลย
ตั้งแต่ออกจากเขามาก็นอนอยู่ก้นกระเป๋าเอวมาตลอด
ตอนนั้นที่บาดเจ็บสาหัสนอกเมืองหลวง หลิ่วสืออีถูกพญายมขุมนรกที่เก้ากับพญายมขุมนรกที่เจ็ดจู่โจมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยใช้ป้ายคำสั่งสื่อสารนี้ หากหนิงอี้ไม่เปิดประตูจวนหรือสถานการณ์แย่กว่านี้อีก บางทีเขาถึงจะยอมใช้ป้ายคำสั่งนี้
หลิ่วสืออีเป็นคนแบบนี้มาตลอด รับน้ำใจจากคนอื่นน้อยมาก
ส่วนนิสัยนี้เอามาจากใคร…ย่อมไม่ต้องพูดมาก
นี่ก็คือเหตุผลที่หลิ่วสืออีสงสัย อาจารย์ไม่มีทางส่งข่าวหาตนด้วยเรื่องเล็กน้อยเด็ดขาด
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
หลังนำป้ายคำสั่งสื่อสารออกมา หนิงอี้ก็สังเกตเห็นว่าหลิ่วสืออีสีหน้าทะมึนลงทีละนิด
“มีอะไร”
หนิงอี้ถามด้วยความระมัดระวัง
หลิ่วสืออีเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ
“ตำหนักทะเลสาบกระบี่เกิดเรื่อง…”
นิ่งไปครู่หนึ่ง
คำสั่งที่สองกับคำสั่งแรกห่างกันช่วงเวลาหนึ่ง
‘อย่ากลับมา’
นี่เป็นคำพูดจากในป้ายคำสั่งสื่อสาร
หนิงอี้ตกใจเล็กน้อย หลิ่วสือเป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่ ทำให้เจ้าตำหนักพูดว่าเกิดเรื่องได้ นี่ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
……
ค่ำคืนยาวนานของตำหนักทะเลสาบกระบี่ไม่เงียบสงบนัก
เดิมทีเป็นฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นดอกไม้บาน
ใต้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หญ้าป่าเกิดน้ำค้าง ต้นหญ้าแข็งจนขยับไม่ได้ ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายหนาวเยือกสุดขีด
ฟ้าหิมะดินน้ำแข็ง
ตีนภูเขาตำหนักทะเลสาบกระบี่ คนสวมชุดคลุมดำตัวใหญ่โบกสะบัดในพายุหิมะขมุกขมัว ข้างหลังเขามีคนหนุ่มสาวตามมาสองคน สวมชุดขาวคนหนึ่ง ชุดเทาอีกคน มองจากรูปร่างจะเห็นว่าคนหนึ่งเป็นสตรีวัยเยาว์งดงาม อีกคนเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ชายกับหญิงตามคนชุดคลุมดำโบกสะบัดกลางพายุหิมะ ขึ้นเขาไปช้าๆ
ครั้งก่อนตำหนักทะเลสาบกระบี่มีแขกไม่ได้รับเชิญขึ้นภูเขา ระยะเวลาก็ไม่ห่างกันมาก
บุรุษคนนั้นชื่อสวีจั้ง
ทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่บนฟ้าทะเลสาบน้ำหลาก มีค่ายกลสุดยอดมากมายดันตัวภูเขา ปกติประชากรใต้เมืองน้ำหลากจะถวายแรงปณิธานให้กับการลอยฟ้าและฝึกบำเพ็ญของตำหนักทะเลสาบกระบี่
เพราะความละอายใจ ครั้งก่อนที่สวีจั้งขึ้นภูเขา หลิ่วสือจึงไม่ได้เปิดค่ายกลคุ้มกัน
ไม่อย่างนั้นเกรงว่าสวีจั้งจะต้องบุกเข้ามาในเมืองเขาอนันต์เล็ก ใช้พินิจเหมันต์ทำลายค่ายกลคุ้มกันของตำหนักทะเลสาบกระบี่ก่อนถึงจะขึ้นยอดเขาได้
แต่แขกไม่ได้รับเชิญในตอนนี้มีเพียงสามคน
หลิ่วสือที่ยืนบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์วางเครื่องหยกสิบรูในมือลง เขาเพิ่งใช้พลังจิตส่งข่าว…
ตำหนักทะเลสาบกระบี่เกิดเรื่อง!
หลิ่วสือเก็บป้ายคำสั่งและมองแขกสามคนจากใต้ภูเขา
ชายหญิงหนุ่มสาวนั้น เขามองพลังบำเพ็ญออก แค่ขอบเขตที่สิบ แต่อายุยังน้อยจนน่าตกใจ เป็นหน่ออ่อนดีสมบูรณ์ ในใต้ฟ้าต้าสุย ไม่รู้ว่าเป็นเทพเซียนใดถึงบ่มเพาะศิษย์สองคนที่ดีเช่นนี้ได้
หลิ่วสือพูดเสียงต่ำ “ท่านเป็นใครกัน”
คนที่หลิ่วสืออ่านไม่ออกก็คือคนชุดคลุมใหญ่สีดำนั้นที่นำหน้ามา พายุหิมะก่อตัวลอยขึ้นข้างบน แรงกดดันจากที่คนคนนั้นขึ้นเขาส่งเข้ามา ชวนให้หายใจติดขัดเล็กน้อย…พลังบำเพ็ญเช่นนี้น่าเหลือเชื่อจริงๆ
คนในชุดคลุมใหญ่สีดำที่กำลังขึ้นเขามาไม่ตอบหลิ่วสือ
นี่เป็นเรื่องน่าแปลก เขาใช้พลังจิตเรียกรวมยอดผู้บำเพ็ญตำหนักทะเลสาบกระบี่ แต่พบว่าผู้อาวุโสหลายคนในตำหนักไม่โต้ตอบ ส่วนศิษย์ตำหนักทะเลสาบอยู่นอกถ้ำในยามราตรีอันยาวนาน หลับไม่ตื่น
ทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์เงียบสงัด!
หลิ่วสือไม่เกรงใจอีก เขาพูดอย่างเย็นชา “ขอให้ทั้งสามท่านหยุดด้วย”
ตอนเอ่ยคำพูดนี้ คนชุดคลุมดำยังอยู่กลางภูเขา
ทว่าเมื่อเอ่ยจบ ความเร็วกลับไม่ลดลง แต่ขยับร่างทีเดียวก็มาปรากฏห่างไปสิบจั้ง เหมือนลอยล่อง ภาพตัดฉาก ราวกับว่าปรากฏตัวมาอย่างไม่มีสาเหตุ
หลิ่วสือกดฝ่ามือลง
ยอดค่ายกลตำหนักทะเลสาบกระบี่ทำงาน
ครืน!
ทะเลสาบน้ำหลากม้วนตัว หยดน้ำมากมายไหลวน ขยับไปมาเดือดพล่านทั้งทะเลสาบใหญ่ ตัวภูเขาจมลงไป ใจกลางทะเลสาบระเบิดออกเป็นพื้นที่ว่างเปล่า น้ำทะเลสาบล้อมรอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นปราการ ก่อนค่ายกลจะสว่างขึ้นทีละค่าย
เปิดค่ายกล
ทว่าสามร่างเงาที่ขยับวูบไหวขึ้นเขามาไม่หยุดนั้นไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
แสงกระบี่ค่ายกลแต่ละค่ายพุ่งออกจากความว่างเปล่า อ้อมร่างเงาขึ้นเขาสามร่างนี้ ก่อนจะกลับเข้าสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง
ค่ายกลตรวจไม่พบศัตรู
หลิ่วสือหรี่ตาลง
นี่มันอะไรกัน
“หลิ่วสือ”
พริบตาต่อมาก็เกิดพายุหิมะขึ้น
คนชุดคลุมดำนั้นพลันมาถึงบนยอดเขา แทบจะหน้าแนบหน้ากับหลิ่วสือ
คนชุดคลุมดำตะโกนนามของหลิ่วสือ ราวกับว่าพวกเขาเคยสนิทกันมาก เคยเจอกันที่ใดมาก่อน และมีความสัมพันธ์และความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา
“ค่ายกลตำหนักทะเลสาบกระบี่ไม่โจมตีข้า เพราะข้าเป็นคนที่นี่ ทุกเส้นสายหวนคืนสู่รากกำเนิด” คนชุดคลุมดำยิ้ม “ไม่ได้เจอกันนาน เจ้าอ่อนแอกว่าที่ข้าคิดไว้มากเลย นี่คือหลิ่วสือที่ฝึกกระบี่ด้วยกันตอนนั้นรึ”
“เป็นเจ้า…”
หลิ่วสือมีสีหน้าไม่แน่ใจนิดๆ
เขาพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ในเมื่อออกไปแล้ว ไฉนต้องกลับมาอีก”
ศิษย์ขอบเขตที่สิบสองคนนั้นยังคงขึ้นเขามาช้าๆ สองขาลอยจากพื้น ระหว่างขยับวูบวาบ ราวสามสี่ลมหายใจก็มาอยู่ข้างหลังคนชุดคลุมดำ
คนชุดคลุมดำพูดเสียงเบา “เดิมทีข้าอยู่ทะเลประจิม ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบที่วิมานเทพ แต่ได้ยินว่าอาจารย์ตายแล้ว เจ้าได้เป็นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่คนใหม่…ข้าเลยอยากมามอบของขวัญให้ศิษย์พี่สักหน่อย”
เขาเอามือลูบเส้นผมใต้ชุดคลุมดำ มีเศษน้ำแข็งเกาะแล้ว มันแตกออกดังกึกๆ
พายุหิมะพลันหนาวเหน็บขึ้นมา
คนชุดคลุมดำพูดอย่างเฉยชา “แต่ไม่นึกเลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไร…ในตำหนักทะเลสาบกระบี่ จิตใจผู้คนไม่มั่นคง เหมือนว่าจะมีความคับแค้นใจกับเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่คนใหม่”
หลิ่วสือหมุนตัวกลับมาอย่างเฉยเมย
ที่ด้านหลังของเขา ยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะใช้จิตสื่อสารอย่างไรก็ติดต่อไม่ได้พวกนั้น ตอนนี้พากันโผล่ออกมา
“หลิ่วสือ…ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะสังหารยอดผู้บำเพ็ญในตำหนักเพื่อขอโทษคนอื่น น่าขำจริงๆ ขี้ขลาดชะมัด” คนชุดคลุมดำยิ้ม “บุรุษชื่อสวีจั้งคนนั้นเก่งมากรึ หากเป็นข้า กระบี่เดียวก็ตัดหัวเขาได้แล้ว”
หลิ่วสือไม่สนใจคนชุดคลุมดำ แต่มองผู้อาวุโสตำหนักทะเลสาบกระบี่สามคนพลางพูดนิ่งๆ “ในตำหนักมียอดผู้บำเพ็ญทั้งหมดเก้าคน ข้าสังหารด้วยตัวเองไปสามคน หกคนที่เหลือ มีสามคนออกไปทำภารกิจข้างนอก เหลือแค่พวกเจ้าสามคนพอดี ถึงได้เกิดเหตุการณ์อย่างตอนนี้”
“ไม่พอใจข้ารึ” หลิ่วสือเอ่ยราบเรียบ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือการทรยศ”
ผู้อาวุโสตำหนักทะเลสาบกระบี่สามคนไม่พูดไม่จา ในมือพวกเขาถือยันต์คำสั่งสื่อสารของศิษย์ทั้งภูเขา พลังจิตของหลิ่วสือถูกปิดกั้นไว้ข้างนอกก็เป็นหนึ่งในแผนการ
“ดูท่าศิษย์น้องคงมาต้าสุยตั้งนานแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” หลิ่วสือเก็บมือนั้นเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนพูดอย่างเฉยชา “เจ้าทำแบบนี้เพื่ออะไร”
คนชุดคลุมดำหัวเราะ ไม่ได้ปฏิเสธ
เขาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะพูดด้วยแววตาอ่อนโยน “ศิษย์พี่ ศิษย์เจ้าอยู่ไหนล่ะ”
หลิ่วสือยิ้ม
ในแขนเสื้อเขาส่งคำสั่งที่สองออกไป
บนเขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่ คนชุดคลุมดำเดินหนึ่งก้าว หลิ่วสือเดินหนึ่งก้าวเช่นกัน ทั้งทะเลสาบน้ำหลากเกิดเสาน้ำพุ่งขึ้นฟ้า
คำสั่งที่สองมีเพียงสามคำง่ายๆ
‘อย่ากลับมา’
………………………..