เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 264 คำว่าชอบมันขัดแข้งขัดขา
ตอนที่ 264 คำว่าชอบมันขัดแข้งขัดขา
ทั้งสองคนออกจากร้านน้ำชา อ้อมกระแสผู้คนไป เพื่อรับรองความปลอดภัย หนิงอี้ยังใช้ยันต์อำพรางพลังแผ่นหนึ่ง ดีที่ทุกอย่างราบรื่นมาก ไม่เกิดปัญหาอะไร
อารมณ์สุนทรีย์กับการดื่มชาถูกรบกวน หนิงอี้จึงถามความเห็นของสวีชิงเยี่ยน
เดิมทีเขาคิดว่านี่ก็สายแล้ว ส่งอีกฝ่ายกลับวัง วันนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดลง
แต่แม่นางสวีคนนี้ดูไม่อยากรีบกลับวังเท่าไร จึงเสนอจะไปเดินเล่นที่ทะเลสาบอิสระ
หนิงอี้จนปัญญานิดๆ เหตุใดคนพวกนี้ถึงชอบไปทะเลสาบอิสระกันจัง
เดินรอบทะเลสาบสองรอบก็เงียบจนน่าแปลก
สองคนไม่ได้พูดอะไร
ความจริงหนิงอี้ก็รู้แก่ใจดีว่าแม่นางสวีคนนี้…รู้สึกกับตนไม่ปกตินิดๆ
เขาเองก็ไม่ใช่ท่อนไม้
สวีชิงเยี่ยนพบตนที่อารามรู้กรรม ได้เห็นแสงสว่าง
ความจริงเขาก็คิดเหมือนกับหลี่ไป๋เจียว
นกในกรง ไม่ได้เห็นแสงสว่าง ตนคือคนเปิดกรง
แต่คนเปิดกรงแล้วอย่างไร เขากับแม่นางสวีอยู่คนละโลกกัน เมื่อวานไม่ใช่ วันนี้ไม่ใช่ พรุ่งนี้ก็ไม่ใช่ ความรู้สึกห่างเหินเช่นนี้ หนิงอี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
บางทีอาจเป็นเพราะนางงดงามมากเกินไป งามจนไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา
แต่เหมือนเทพเจ้าที่ดูหมิ่นไม่ได้มากกว่า
……
“คุณชายหนิงอี้ คิดว่าข้างดงามหรือไม่”
เดินไปเดินมา จู่ๆ สวีชิงเยี่ยนก็ถามคำถามนี้
นางไม่ได้ถอดหมวก ก็เพราะกลัวสร้างความตื่นตกใจ
หนิงอี้เองก็ตอบไปโดยไม่ต้องคิด “งดงาม”
นี่เป็นคำตอบที่ไม่ต้องสงสัยเลย
หนิงอี้ชะงักไปก่อนจะพูดต่อ “เหตุใดถึงถามเช่นนี้”
สวีชิงเยี่ยนไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ
นางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงถามเช่นนี้…อยู่กับหนิงอี้ นางมักจะสนใจความคิดอีกฝ่าย ไม่กล้าพูด กลัวพูดไปจะทำให้เสียบรรยากาศ และก็กลัวว่าตนจะพูดผิด ไปเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่ควร
แต่ในร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์ คำถามนั้นขององค์รัชทายาทได้วนเวียนอยู่ข้างหูตลอด
แม่นางสวีเป็นอะไรกับคุณชายหนิง
นางเองก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน
เมื่อพูดออกไปแล้ว ความจริงสวีชิงเยี่ยนเสียใจภายหลังนิดๆ แต่มาถึงตอนนี้แล้วก็ได้แต่พูดต่อไป
นางพูดเบาๆ “ความจริงข้าไม่ชอบใบหน้านี้เลย”
หนิงอี้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพูดอย่างจนปัญญา “อุทกภัยในโลกก็จำกัดอยู่แค่นั้น ตัวอยู่ในความสุขแต่ไม่รู้ว่าสุข”
“เมื่อก่อน ข้าฝึกฝนกับฆราวาส ฆราวาสบอกข้าว่าต้นไม้ใบหญ้าในโลกล้วนมีจิตวิญญาณ” สวีชิงเยี่ยนมองหนิงอี้ ผ้าปิดหน้าใต้หมวกถูกลมพัดเบาๆ ก่อนนางจะพูดอย่างจริงจัง “สิ่งที่มีจิตวิญญาณจะชอบใบหน้าข้า ดังนั้นถ้าข้านั่งยองลง ใบหญ้าจะขยับเข้ามาทักทาย นี่เป็นความชอบอย่างหนึ่ง ข้ายื่นมือออกไป สัตว์เทพเชื่อฟัง เข้ามาถูมือ นี่ก็เป็นความชอบอย่างหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ความจริงข้าก็ชอบตัวเองมากเหมือนกัน”
พูดไปพูดมา ความคิดที่ซ่อนอยู่ในใจนั้นก็พรั่งพรูขึ้นมา
บางครั้ง คนก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์แปลกประหลาด
มีของสามสิ่งซ่อนไว้ไม่ได้ ความชอบก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สวีชิงเยี่ยนเงียบไป
นางมองหนิงอี้ ในความคิดเต็มไปด้วยภาพวันนั้นที่กลับมาจากภูเขาแดง…หนิงอี้หมดสติ นางรออยู่ในลานบ้านนานมาก จนต้องรับคำสั่งกลับวังหนิงอี้ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา
นางเคยรวบรวมความกล้า อยากจะพูดคำนั้นกับหนิงอี้
ข้าชอบเจ้า
ถ้าบอกว่าการไม่อยากจาก ไม่อยากแยกกันคือความชอบ เช่นนั้นนี่ก็คือความชอบ
สวีชิงเยี่ยนกัดฟันรวบรวมความกล้า “เกิดมามีใบหน้าเช่นนี้ หากคนที่ข้าชอบไม่ชอบข้า เช่นนั้นความชอบของคนอื่นจะมีความหมายอะไร”
คำพูดนี้คือขีดจำกัดที่นางพูดได้แล้ว
ไม่นึกเลยว่าหนิงอี้จะแค่พูดสบายๆ “ความชอบระหว่างชายหญิงกับอีกฝ่ายเกิดมาหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันมากนักหรอก”
สวีชิงเยี่ยนอึ้งงัน
หนิงอี้เหลือบตามองผ้าปิดหน้าใต้หมวกเด็กสาวก่อนจะพูดนิ่งๆ “อีกอย่างแม่นางสวีงดงามเช่นนี้ วัดกันที่ใบหน้า คงไม่มีใครไม่ชอบเจ้า”
สวีชิงเยี่ยนอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็เงียบไป
“แซ่หนิงมีใจฝึกบำเพ็ญ ปรารถนาแค่ขึ้นสู่ยอดในเส้นทางใหญ่ในเร็ววันเท่านั้น” หนิงอี้สอดแขนเสื้อเข้าด้วยกัน พูดเสียงเบามาก “มีใจฝึกวิถีกระบี่ ไม่มีความคิดอย่างอื่น”
สวีชิงเยี่ยนยิ้มแป้น “คุณชายฝึกกระบี่เพราะเหตุใด”
หนิงอี้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “บุญคุณความแค้นมีมากเกินไป เรื่องทางโลกก็ยาก วางไม่ลง มีเพียงกระบี่เร็วพอถึงจะตัดขาดได้”
สวีชิงเยี่ยนถามต่อด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีใจสักนิดเลยหรือ”
คำถามนี้มาอย่างกะทันหัน แต่ไม่ได้คำตอบ
“แม่นางสวี นี่ก็เย็นแล้ว”
หนิงอี้ถอนหายใจ “ข้าจะส่งเจ้ากลับ”
เด็กสาวสวมหมวกยังคงยิ้ม เพียงแต่ไม่พูดอีก ผ้าปิดหน้าตกลง รอยยิ้มบนใบหน้านางหายไปทีละนิด น้ำตาใสไหลลงมาสองสาย ถูกลมพัดจนแห้ง
ในดวงตานางเต็มไปด้วยความเหม่อลอย
ทึ่มทื่อ
กลับมาถึงในวัง ผู้บำเพ็ญทุกรกิริยาเขาวิญญาณสองคนถือตะเกียงยืนอยู่หน้าประตูจวนห้องบูรพา สวีชิงเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
“คุณชาย ส่งตรงนี้ก็พอ…”
สวีชิงเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก มองหนิงอี้ด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็พูดออกมาไม่ได้
วันนี้มีความสุขมาก…
วันนี้ดื่มชากับคุณชายหนิง และยังได้เดินรอบทะเลสาบอีก
นางควรจะดีใจมาก นางเฝ้ารอวันนี้มานานมากแล้ว
แต่ว่าเหตุใดนางถึงไม่ดีใจเลยล่ะ
เด็กสาวสูดลมหายใจเข้า ส่ายหน้าไล่คำถามนี้ไว้ข้างหลัง ไม่คิดถึงมันอีก
สวีชิงเยี่ยนโค้งตัวตามหนิงอี้
มารยาทการจากลาในยุทธภพ
นางพูดเสียงแหบ “ตอนเจอกันครั้งหน้า ขอให้คุณชายได้ตามที่หวัง ขึ้นไปสู่ยอดวิถีกระบี่โดยเร็ว”
หนิงอี้เงียบอยู่นานมากก่อนจะแสดงความเคารพเช่นกัน
หนิงอี้พูดเสียงเบา “เจอกันครั้งหน้า ขอให้แม่นางสวีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย”
หมุนตัวกลับ
จากไป
ดวงจันทร์เมืองหลวง เงาของสตรี เท้าของคุณชาย ระยะห่างของสองคนลากออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
สวีชิงเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูห้องบูรพา เหม่อมองหนิงอี้เดินไกลออกไป นางยืนนิ่งเหมือนกับรูปปั้นไม้
…….
“หนิงอี้ เจ้าทำเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ”
เสียงที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้นในทะเลสาบจิต
ผู้อาวุโสเคียงกระบี่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล เขานั่งบนฟ้าทะเลสาบจิต มองเด็กสาวสวมหมวกเอามือข้างหนึ่งกำใบไม้ขลุ่ยกระดูกตรงอก ดูท่าแม่นางคนนั้นไม่ได้ดึงขลุ่ยกระดูกออกมาก็เพราะในใจยังอาลัยอาวรณ์ มองว่านี่เป็นของแทนใจเพียงหนึ่งเดียว
เงาของสวีชิงเยี่ยนยืนนิ่งกลางสายลม อาภรณ์โบกสะบัด
น่าสงสารจริงๆ
“ผู้อาวุโส…ท่านก็รู้” หนิงอี้ตอบกลับในทะเลสาบจิตด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าแบกอะไรไว้มากมาย จะมีเวลาไปสนใจความรักชายหญิงได้อย่างไร ส่วนแม่นางสวี…นางยิ่งไม่ควรมาเสียเวลากับข้า ถ้าจะให้ความหวังนาง ข้าอยากให้ตอนนี้นางตัดใจเสียมากกว่า”
“แม่นางสวีช่วยชีวิตข้า ข้าติดค้างนางมามาก นี่เป็นบุญคุณ ไม่ใช่ความรู้สึกอื่น” หนิงอี้ก้มหน้าลงพูดทีละคำ ครุ่นคิดช้าๆ “ความทุกข์จากความเป็นเทพของนาง ข้าจะรักษาให้อย่างเต็มที่ แดนประจิม ในวัง ไม่ว่าฝ่ายใด หากจะสร้างความลำบากให้นาง ข้าจะออกกระบี่ช่วย แต่ข้าไม่อยาก…ติดค้างเพราะบุญคุณไปมากกว่านี้อีก”
ความรู้สึกมนุษย์มักจะเป็นเช่นนี้ แยกไม่ชัดเจน อธิบายไม่ชัด ก็เหมือนผูกเงื่อนตาย เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งดำดิ่งก็ยิ่งลึก ติดค้างมากขึ้นเรื่อยๆ
“ถือกระบี่เป็นความอิสระ ข้าไม่ชอบพันธะ” หนิงอี้ได้แต่ถอนหายใจ
“ถือกระบี่เป็นความอิสระ” เคียงกระบี่พูดคำพูดหนิงอี้ซ้ำอีกครั้ง ก่อนพูดเสียงเบา “ตอนนี้เจ้าเป็นอิสระรึ”
“โลกนี้มีพันธะมากมาย” หนิงอี้เอ่ยนิ่งๆ “กระบี่ข้าเร็วพอถึงจะมีอิสระ”
เคียงกระบี่ยิ้มเย้ยเยาะอย่างพบเห็นได้ยาก “กับคนได้ กับตัวเองไม่ได้ หลักการนี้ใช้ไม่ได้ ในใจเจ้าเองก็ชอบนาง แต่ไม่ยอมพูดออกไป ซ่อนไว้จะมีประโยชน์อะไร”
หนิงอี้หุบปากอย่างเชื่อฟัง
เขาเดินออกจากวังเงียบๆ
กลับมาถึงลานบ้านเงียบๆ
หลิ่วสืออีเพิ่งตื่นจากการตระหนักรู้ เขามองหนิงอี้ที่ใบหน้านิ่งเงียบด้วยสายตางุนงง พบว่าในตัวอีกฝ่ายมีไอสังหารจางๆ และมีกลิ่นคาวเลือด
“ฆ่าพวกเดนตายแดนบูรพาไป” หนิงอี้พูดนิ่งๆ เป็นการอธิบาย
ทางโต๊ะแปดเซียน
เด็กสาวเงยหน้าขึ้น มีชาอุ่นกับข้าวร้อนวางอยู่ นางรอหนิงอี้กลับมาตลอด
นี่ก็มืดแล้ว ตอนนี้ไม่เรียกว่าอาหารเย็น
ได้แต่เรียกว่าอาหารมื้อดึก
หนิงอี้นั่งข้างโต๊ะ ไม่พูดไม่จา หยิบชามกับตะเกียบขึ้นกินเข้าไปคำใหญ่
กินถึงครึ่งหนึ่ง หนิงอี้พลันถาม “ตอนนี้ข้าไม่เป็นตัวเองเลย ทำอย่างไรดี”
เด็กสาวเอ่ยราบเรียบ “แม่นางสวีสารภาพกับเจ้าแล้วรึ”
หลิ่วสืออีที่นั่งขัดสมาธิในลานบ้าน ดูเหมือนปิดด่านบำเพ็ญตระหนักวิถีกระบี่ ตอนนี้หูตั้งขึ้น แอบฟังอย่างจริงจัง
หนิงอี้พยักหน้าแต่ก็ส่ายหน้าเช่นกัน “ไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็ประมาณนั้น”
เผยฝานหน้าไม่เปลี่ยนสีไป นางใช้ตะเกียบคีบกะหล่ำปลีผัดน้ำส้มสายชูขึ้นมา ก่อนถามอย่างไม่ใส่ใจ “ดูท่าเจ้าแล้ว คงจะปฏิเสธสินะ”
หนิงอี้ตอบอืม
เขาจ้องชามกระเบื้องว่างเปล่าของตนพลางพูดอย่างเฉยชา “ข้าปฏิเสธ ข้าบอกไปว่าข้ามีใจฝึกวิถีกระบี่”
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวก่อนพูดอย่างจริงจังเป็นพรวน “แม่นางสวีงดงามมาก ดีทุกอย่าง แต่ข้ามักจะรู้สึกขาดอะไรไป ไม่ใช่เรื่องดีเลวอะไร แต่เป็นเรื่องความถูกต้อง ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ถูกต้อง ยอมรับไม่ได้ เป็นสิ่งที่ผิด ข้ารู้สึกไม่เป็นตัวเอง แต่ไม่คิดเลยว่าการปฏิเสธจะทำให้ข้าไม่เป็นตัวเองยิ่งกว่า”
เผยฝานฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่นางจำได้ว่าสวีชิงเยี่ยนเคยบอกกับนางว่า หากไม่อยากแยกจากก็คือการชอบ
ตอนนั้นฟังแล้วน่าซาบซึ้งใจมาก
แต่ต่อมาก็นึกขึ้นได้อีก
เผยฝานกลับรู้สึกว่าสวีชิงเยี่ยนพูดไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องทั้งหมด
การชอบง่ายมาก แต่ไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้น
ชอบคนคนหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ไม่ใช่จะพูดออกมาสั้นๆ ได้ อย่างน้อยเผยฝานก็พูดไม่ได้
“พูดจบแล้วรึ” เผยฝานมองหนิงอี้
หนิงอี้พยักหน้า
เด็กสาวลุกขึ้นพูด “อย่าลืมล้างถ้วยล่ะ”
นางกลับจวน ปิดประตู แปะยันต์ ทำเสร็จในอึดใจเดียว
หนิงอี้เงียบลง
หลิ่วสืออีลุกขึ้น เขาตบบ่าหนิงอี้ก่อนพูดเบาๆ “คำว่าชอบน่ะมันขัดแข้งขัดขา ทำให้วีรบุรุษมากมายล้มเหลว…สหายหนิงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ภายภาคหน้าจะต้องเป็นอัจฉริยะกระบี่แน่นอน!”
……………………….