เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 259 ร้านเล็กเรื่องเยอะ (2)
ตอนที่ 259 ร้านเล็กเรื่องเยอะ (2)
ในห้องร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์
เมื่อเอ่ยจบ ผู้ถือคำสั่งกรมผู้คุมกฎคนนี้ก็ก้าวเดินทันที ทั้งร้านน้ำชาแคบเล็กสั่นสะเทือน โคมไฟสีแดงหลายอันที่ห้อยไว้ตรงศาลาน้ำชาถูกพลังกระเทือนก่อนแตกกระจาย
ประกายไฟสาดกระจายตกลงพื้น ลุกขึ้นเป็นทะเลเพลิง
เพียงแต่ทะเลเพลิงนี้ไม่ได้ลุกลามเป็นไฟไหม้ หลังตกลงพื้นก็เด้งไปมาบนพื้น กลายเป็นงูไฟหลายตัวพุ่งไปทางทูตผู้ถือคำสั่งคนนั้น หยุดอยู่นอกระยะสามฉื่อ รักษาระยะค่อนข้างปลอดภัย
หยุดนิ่ง
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ในร้านน้ำชาเพียงแค่เงียบไปครู่หนึ่ง จนถึงตอนนี้บรรยากาศดูโอนอ่อนนิดๆ กระทั่งสมาชิกกรมผู้คุมกฎกับกรมข่าวกรองหลายคนที่นั่งในร้านน้ำชายังไม่คิดจะเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
“วิชาคุมอัคคี”
ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังยิ้ม ก่อนจะพูดแบบไม่คิดอะไร “ลูกไม้ตื้นๆ ท่านอวี้ฮวนยังมีอุบายอะไรอีกก็ใช้มาได้เลย จะได้ไม่เสียเวลาทุกคน ข้าจะได้ส่งท่านไปแล้ว”
……
“หนิงอี้ ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น”
สวีชิงเยี่ยนขมวดคิ้ว เดิมทีนางแค่เลือกร้านน้ำชาตามใจ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
หนิงอี้ดึงมือที่เปิดม่านนั้นกลับมา นั่งลง ก่อนพูดเสียงเบา “ไม่เกี่ยวกับเรา พวกหนอนแมลงของกรมผู้คุมกฎ ไม่สำคัญอะไร”
ข้างๆ มีเสียงดังแว่วมา
ดูท่าผู้ถือคำสั่งแซ่ผังคงไม่ได้มาคนเดียว องครักษ์เกราะทองของกรมผู้คุมกฎคงจะปิดล้อมร้านน้ำชานี้ไว้แล้ว
ไม่ใช่ว่าหนิงอี้เพิ่งเคยเจอสถานการณ์นี้เป็นครั้งแรก
เขาไม่เข้าใจโครงสร้างในกรมผู้คุมกฎ แต่ก็เคยเห็นเจ้ากรมน้อยสิ้นอำนาจที่ตรอกฝนพรำ เมืองหลวงมีเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยทั้งหมดเก้าคน ทุกคนต่างหมายตาตำแหน่งนี้ อยากจะนั่ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
หนิงอี้ได้ยินว่าตอนนี้ราชสำนักและประชาชนเคลื่อนไหว พบเห็นการจับกุมลงโทษบ่อยครั้ง การต่อสู้ทางการเมืองรุนแรงขึ้น ในวังไม่สนใจ หากถูกคนกุมอำนาจไว้ สายลมใบไม้ผลิพัดผ่าน คนไปแล้วหอว่างเปล่า เกราะทองจับไว้ก็ส่งเข้าคุก อาจจะไม่ได้เห็นวันรุ่งขึ้นอีก ตอนที่ถูกพบก็เป็นศพไปแล้ว ฆ่าแล้วค่อยกราบทูล
คนที่นั่งตำแหน่งเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยในเมืองหลวงได้ ทั้งยังได้ฉายาว่าเป็นอันดับหนึ่งใต้เจ้ากรมใหญ่ บุรุษที่ชื่ออวี้ฮวนคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเลย
“สู้กันเองในสามกรม แค่ดูก็พอ” หนิงอี้ไม่ขยับก้น สองมือขยับเก้าอี้มา ไม่หันหลังให้ม่านอีก แต่นั่งข้างสวีชิงเยี่ยนในระดับเดียวกัน นั่งไขว่ห้าง กอดอก พิงเก้าอี้โยกไปมา
เขาพูดด้วยท่าทีเกียจคร้าน “องครักษ์เกราะทองทำงานถวายชีวิต คำสั่งที่บุรุษแซ่ผังนั่นถือมาเป็นของจริง แต่คำสั่งให้สังหารเจ้ากรมน้อยอวี้ฮวนเกรงว่าคงปลอม คนใหญ่คนโตที่นับนิ้วได้ในสามกรมไม่ใช่จะมีคำสั่งแผ่นเดียวก็ฆ่าได้ อย่างน้อยต้องให้เจ้ากรมน้อยที่ฐานะเท่ากันมา แต่ข้าประเมินร้านน้ำชานี้ไว้ต่ำเกินไปจริงๆ”
หนิงอี้มองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศหรูหราในร้านน้ำชาแห่งนี้แล้วก็พูดปลง “เดิมทีข้าคิดว่าร้านนี้เป็นของลูกพ่อค้าที่เกี่ยวข้องกับบางคนและภายในราชวงศ์ แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นของเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อย มิน่าถึงไม่มีคนธรรมดาเลย ในตัวมีไอมรณะเก่าแก่ มีกลิ่นปลาตายที่แช่อยู่ในวงการข้าราชการเมืองหลวงมานาน”
สวีชิงเยี่ยนขำกับการเปรียบเทียบนี้ นางกระแอมไอก่อนจะถามอย่างเคร่งขรึมทันที “อวี้ฮวนเป็นเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อย เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น “ตามกฎปกติแล้ว ต้องลบชื่อก่อนส่งเข้าคุกใต้ดิน แล้วค่อยไต่สวน ลดขั้นตอนใดไปจะเกิดปัญหาแน่ แต่คนแซ่ผังถือป้ายคำสั่งมา ไม่พูดไม่จาก็จะเอาหัวอวี้ฮวน ดูท่าข้อกล่าวหายังไม่ออกมา ครั้งนี้ผิดปกติแล้ว”
สวีชิงเยี่ยนเข้าสู่ห้วงความคิด
“เจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยเก้าคน อวี้ฮวนเป็นอันดับหนึ่ง แต่ได้ยินว่าพลังบำเพ็ญเขาต่ำที่สุด” หนิงอี้หรี่ตาลง พูดงึมงำ “โลกนี้มีคนโง่บางคนมักจะใช้กำลังชนะทุกอย่าง สำเร็จก็กำไร หากไม่สำเร็จ อย่างมากก็ชดใช้ด้วยชีวิต ตายไปก็เท่านั้น”
สวีชิงเยี่ยนเข้าใจนิดๆ แล้ว
นางมองหนิงอี้ แต่ก็ยังพูดอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าหมายความว่า”
“พลังบำเพ็ญของอวี้ฮวนข้าไม่รู้ กลอุบายน่าจะเป็นวิชาคุมไฟ แต่ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังคนนี้ หากเดาไม่ผิดน่าจะบรรลุจุดสูงสุดขอบเขตที่เก้า” หนิงอี้พูดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “อีกทั้งเขายังฝึกหลอมกาย สู้ระยะประชิด ในระยะสามฉื่อ หากอวี้ฮวนไม่มีวิชาป้องกันตัวอะไร หมัดเดียวก็ถูกทุบเป็นเศษเนื้อได้”
สวีชิงเยี่ยนถึงกับตัวสั่น
“ข้าแค่แปลกใจอย่างหนึ่ง…” หนิงอี้ลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “คำสั่งทำปลอมไม่ได้ ที่ผังซานอวดดีเช่นนี้ได้ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นใครกันที่ใจกล้าเช่นนี้”
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ในแววตาหนิงอี้มีความเข้าใจอยู่สามส่วน
ไม่พ้นคนสองคน
แดนบูรพากับแดนประจิม
เรื่องจวนเขาครามครั้งก่อน ทำให้กรมผู้คุมกฎกับกรมข่าวกรองเกิดการแบ่งฝ่ายกันภายใน ข่าวลือแพร่สะพัดมา ได้ยินว่าอวี้ฮวนที่เป็นอันดับหนึ่งในเจ้ากรมน้อยไม่เลือกฝ่ายใด…ครั้งนี้ที่ความซวยมาเยือนก็อาจจะเพราะเรื่องนี้
เมื่อเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้ว หนิงอี้ก็ไม่สงสัยอีก
ตัดสินใจได้แล้วเขาก็แผ่พลังจิต หลับตาพักผ่อน
ดูละครสนุกๆ
…….
งูเพลิงวนเป็นเกลียว ตกลงบนพื้นไม้ร้านน้ำชา กลับไม่เผาแผ่นไม้ แต่ล้อมรอบผู้ถือคำสั่งแซ่ผัง ครึ่งตัวบนหยุดนิ่ง แลบลิ้นงูดังฟ่อๆ
ข้างในสุดของร้านน้ำชา บุรุษชุดคลุมแดงคนหนึ่งเปิดม่านออกมา
อวี้ฮวนนั่งบนรถเข็นไม้ หญิงรับใช้สองคนเข็นรถเข็นออกมาช้าๆ
บุรุษชุดแดงมีใบหน้าเฉยชา ใบหน้าเขามืดทะมึนอยู่ตลอด ดูไม่มีความสุขนัก
“ผังซานรึ” อวี้ฮวนนั่งบนรถเข็น เขาเงยหน้าขึ้น ตรงหน้าผากเป็นรอยย่น เส้นผมเทาอมขาวปักด้วยปิ่นไม้ มวยเป็นก้อนกลม เจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยคนนี้ อายุมากแล้วจริงๆ แต่น่าจะไม่ถึงกับลงมาเดินไม่ได้ เพียงแต่ขาสองข้างใต้ชุดคลุมแดงตัวใหญ่พันด้วยผ้าพันแผล ดูเหมือนไม้แห้งเหี่ยวสองท่อน คงจะบาดเจ็บหนักมาถึงเป็นเช่นนี้
“เมื่อวานข้าดูรายนามกรมผู้คุมกฎเมืองหลวงแล้ว ไม่มีชื่อเจ้า” เขานั่งบนรถเข็น น้ำเสียงราบเรียบและเนิบนาบ “วันนี้เจ้าเพิ่งเข้ากรมข้า ก็รับคำสั่งมาฆ่าข้าเลยรึ”
ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังหัวเราะเสียงเบา “เพิ่งเข้าวันนี้จริง รีบร้อนรับคำสั่งมาเลย กฎอะไรเยอะแยะข้าไม่เข้าใจหรอก และไม่ต้องเข้าใจด้วย แค่ทำหน้าที่ก็พอ เหตุผลในนั้นคงไม่ต้องพูดมาก ท่านรู้แก่ใจดี ไม่ต้องโทษคนอื่นหรอก”
เป็นเพราะแบ่งฝ่ายจริงด้วย…
ท่านอวี้ฮวนถอนหายใจอยู่ข้างใน
เขามองผังซานก่อนพูดอย่างเย็นชา “นับจากวันนี้ไป เจ้าต้องถูกฆ่าเก้าชั่วโคตร”
บุรุษสวมงอบส่ายหน้า เผยฟันขาวสะอาดทั้งปาก “ท่านยังจะเป็นห่วงข้าอีกรึ”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็กระทืบเท้าทีหนึ่ง
งูเพลิงสี่ตัวคุมสี่ทิศพลันระเบิดกระจายออก ครั้งนี้ไม่ใช่สภาพเริงร่าอย่างเมื่อครู่อีก ทั้งร้านน้ำชาถูกไฟเผาในทันที บนผ้าม่าน คานหอไม้ไผ่ ทุกที่มีแต่เปลวเพลิง
เปลวเพลิงลุกโชน ครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกแล้ว
มีคนร้อนรนขึ้นมาทันที
มาถึงสถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้แล้ว ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังยังมองไปรอบๆ ด้วยความพอใจ ปากพูดพึมพำ เคาะนิ้วมือในอากาศเบาๆ เหมือนกำลังนับหนึ่งสองสามสี่…ครู่ต่อมา ผังซานพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนมายกยอปอปั้น แซ่ผังซาบซึ้งใจยิ่งนัก ทุกคนล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่า ตอนที่ข้ามาที่นี่ก็คงจะรู้แล้วว่าข้ามาเพราะเหตุใด คนใหญ่คนโตในร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์ที่ลังเลไม่แน่ใจ ตอนนี้ถึงเวลาตัดสินใจแล้ว”
ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังยกม้านั่งไม้มานั่งลงที่เดิม และยังถือโอกาสหยิบน้ำชามาถ้วยหนึ่งจากบนโต๊ะ ก่อนพูดเสียงเบา “ดื่มชาเป็นเรื่องสูงส่ง…แซ่ผังเป็นคนหยาบจากแดนทักษิณ ไม่เข้าใจวิถีชา รู้จักแต่ต่อสู้ ดีที่ท่านอวี้ฮวนเพิ่งเตือนไป หลังจากวันนี้ไปข้าจะถูกฆ่าล้างเก้าชั่วโคตร ถึงได้นึกออกว่าข้าไม่มีญาติพี่น้อง ข้างหลังไม่มีใคร อย่าว่าแต่เก้าชั่วโคตรเลย แม้แต่บุพการีแท้ๆ ยังฝังในกองดินเน่าสลายไปแล้ว ไม่มีห่วงอะไร หากไม่ระวังทำความผิดอะไรลงไป ก็แค่ชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้น”
คำพูดนี้ถือเป็นการเตือน
คำว่ามาจากแดนทักษิณนี้ ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังกัดฟันเน้นเสียงหนักมาก
อวี้ฮวนตรงสุดทางเดินไกลๆ กับผู้ถือคำสั่งแซ่ผังประจันหน้ากันเป็นเส้นตรงยาว
อวี้ฮวนหลังพิงกำแพงหิน หัวเราะเบาๆ “บุพการีแท้ๆ ของคุณชายผังไม่ใช่หานเยวียแห่งแดนบูรพาหรอกรึ”
ผู้ถือคำสั่งแซ่ผังหรี่ตาลง
ถ้วยลายครามในมือเขาแตกออกทันที
ผังซานพลันลุกพรวดขึ้น เอามือตบโต๊ะต้อนรับ ทั้งโต๊ะไม้พังลงโดยพลัน เด็กรับใช้ที่ซ่อนในนั้นกอดศีรษะร้องไห้ ไม่กล้ามอง
อวี้ฮวนพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ทุกท่านวางใจเถอะ นับจากวันนี้ไป สายลมพิสุทธิ์จะยังอยู่ ยินดีต้อนรับทุกท่านมาดื่มชา ที่แซ่อวี้สัญญากับทุกท่านไว้ก่อนหน้านี้ก็ยังเหมือนเดิม”
ต่อให้มีคำพูดนี้ของอวี้ฮวน ก็ยังมีเสียงเบาดังมาจากในร้านน้ำชา
“ข้าอยู่ภูเขาพัดหลิวแดนบูรพา…คุณชายผัง วันนี้แค่บังเอิญมาดื่มชาที่นี่ คงไม่เป็นไรหรอกนะ”
คนพูดเป็นบัณฑิตอ่อนแอ เขาเปิดผ้าม่านและก้าวออกมาโดยไม่สนใจสีหน้าอึ้งงันของสหายข้างใน
ผังซานยิ้ม “คุณชายโจว ออกไปแล้วจะมีรถม้าดอกบัวแดนบูรพามารับ วันนี้เป็นแขกคนสำคัญของแดนบูรพาข้า”
บัณฑิตแซ่โจวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะมองเจ้ากรมน้อยอวี้ฮวนบนรถเข็น
อวี้ฮวนเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านโจวมีจิตใจเข้มแข็ง ถือว่าข้ามองเจ้าผิดไปเอง”
บัณฑิตผู้นั้นก้มตัวคารวะ พูดเสียงที่เบาที่สุด “ฟ้าใหญ่แผ่นดินใหญ่ ทว่าชีวิตใหญ่ที่สุด ข้าโจวทิงฉาวบนมีคนแก่ ล่างมีเด็กเล็ก ท่านอวี้อย่าถือโทษเลย”
อวี้ฮวนไม่ได้ว่าอะไร
บัณฑิตเดินไปอย่างระมัดระวัง ออกไปจากร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์อย่างราบรื่น
ผังซานที่ในใจตื่นตัวอยู่ตลอดกลัวว่าคุณชายโจวคนนี้จะถูกลอบยิงธนูทะลวงหัวใจจากที่ไหนสักแห่ง ตอนนี้ถึงได้โล่งอก มองอวี้ฮวนพลางพูดอย่างสนอกสนใจ “ข้าก็คิดว่าท่านอวี้จะตัดไฟแต่ต้นลมเสียอีก”
อวี้ฮวนพูดอย่างเฉยชา “ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก”
ผังซานมองรอบร้านน้ำชา ก่อนพูดด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “ไม่มีใครฉลาดอีกแล้วหรือ”
หลังเงียบไปชั่วครู่
เขาก็ถอนหายใจ “เช่นนั้นข้าแซ่ผังจะขอรับหัวของท่านนั้นไปแล้วกัน”
……………………….