เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 258 ร้านเล็กเรื่องเยอะ (1)
ตอนที่ 258 ร้านเล็กเรื่องเยอะ (1)
ใบชาขยายตัวอยู่ในถ้วยชา
ไอร้อนลอยโชย
ภายในห้องเงียบสงบ
“จำไว้…จากนี้หากไม่จำเป็นก็อย่าใช้ความเป็นเทพ เช่นนี้จะเร่งให้ความเป็นเทพกำเนิดเร็วขึ้น” หนิงอี้ดึงห้านิ้วมือที่จับข้อมือสวีชิงเยี่ยนกลับมา ก่อนจะแยกใบไม้ขลุ่ยกระดูกเป็นสองส่วนอีกครั้ง เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเก็บส่วนเล็กกว่าไว้กับตัวเอง อีกส่วนวางในมือสวีชิงเยี่ยนก่อนจะพูดกำชับ “หากข้าไม่อยู่ ก็ให้ใส่ความเป็นเทพเข้าไปทุกวัน บรรเทาความเจ็บปวด จะได้ไม่สั่งสมไว้มากจนป่วยหนักได้”
สวีชิงเยี่ยนเอามือข้างหนึ่งเท้าคาง เหม่อมองหนิงอี้ หมวกวางไว้ข้างโต๊ะ แววตาว่างเปล่า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าคำพูดเมื่อครู่เป็นเพียงสายลมพัดผ่านข้างหูเท่านั้น
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งเคาะโต๊ะ เห็นเด็กสาวเหม่อและได้สติกลับมาแล้ว ก็พูดซ้ำอีกครั้งอย่างไม่รำคาญใจ
“เข้าใจหรือไม่” หนิงอี้ถอนหายใจ
“เข้าใจแล้ว” สวีชิงเยี่ยนนั่งเรียบร้อยและพยักหน้าอย่างจริงจัง
“อย่าหาว่าข้าจู้จี้เลย บางคำไม่พูดได้ แต่เรื่องเป็นเรื่องตายจะประมาทไม่ได้” หนิงอี้ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาเป่าเบาๆ “แม่นางสวี ข้าต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมาเขาก็เงียบไปช่วงสั้นๆ
“หา”
สวีชิงเยี่ยนงุนงงไปเล็กน้อย มองหนิงอี้ก่อนจะรู้ว่าตนลืมตัวไป นางจึงรีบคลึงใบหน้ารูปไข่ “คุณชายจะออกจากเมืองหลวงรึ”
“อืม…” หนิงอี้พยักหน้า เรื่องที่เขาจะออกจากเมืองหลวงไม่ได้บอกกับใครเลย เพียงแค่พูดกับเด็กสาว สำนักเต๋ากับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็ไม่รู้
วันนี้เขามาหาสวีชิงเยี่ยน ความจริงอยากจะบอกลา
มาเมืองหลวงเพื่อช่วยเด็กสาวทำความปรารถนาเดิมให้สำเร็จ มรดกของท่านเผยหมินยังอยู่ที่เขาลั่วเจีย แต่ตอนนี้เขาลั่วเจียยังปิดภูเขา ห้ามเข้าไป ก่อนเยี่ยหงฝูกลับเมืองหลวง ที่นี่ก็คงจะยังไม่เปิด
คำพูดเหล่านี้ย่อมบอกกับสวีชิงเยี่ยนไม่ได้
หนิงอี้ถอนหายใจ
เขาใช้มือข้างหนึ่งยกถ้วยน้ำชา ไอร้อนลอยโชยช้าๆ ขึ้นเป็นม่านควันระหว่างสองคน ใบหน้าหญิงตรงข้ามเหมือนอยู่ในกระจก มองไม่เห็นความจริง
หนิงอี้พูดเนิบๆ “ออกจากเขาสู่ซานมาเมืองหลวง เดิมทีแค่อยากจะหาโอกาสทะลวงขอบเขตหลัง ศึกที่ภูเขาแดงเป็นการไปตายเอาดาบหน้า ถือว่าแก้ปมในใจได้แล้ว งานเลี้ยงราชวงศ์ต้าสุยจะมีบุตรศักดิ์สิทธิ์มารวมกัน ดีเลวมีมากเกินไป อยู่ที่นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของข้า”
คำพูดนี้มาจากใจจริงของหนิงอี้
ปิดด่านบำเพ็ญครุ่นคิดมาหลายวัน ถามตัวเองซ้ำไปมา
หนิงอี้คิดถึงเรื่องหลายอย่าง
“อ้อ…” สวีชิงเยี่ยนตอนกลับเสียงเบา
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…นางเอามือข้างหนึ่งตบหน้าอกตัวเองเบาๆ แอบนึกในใจคุณชายไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเพราะรังเกียจตน
นางถามเสียงเบา “คุณชายเจอคอขวดในการบำเพ็ญรึ”
หนิงอี้พยักหน้าและก็ส่ายหน้า “ก็ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”
สวีชิงเยี่ยนใช้สองมือยกถ้วยชา ทำท่าทางตั้งใจฟัง
หนิงอี้ก้มหน้าลงมองตัวเองที่สะท้อนเงาในน้ำชาพลางพูดขึ้น “มาเมืองหลวงครั้งแรกข้าไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจทางโลก สวีจั้งเคยสอนหลักการข้าเล็กน้อย รู้เพียงคำ แต่ไม่รู้ความหมาย ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ช่างไร้เดียงสาจริงๆ”
“ผู้อาวุโสเผยหมินบอกว่าจงเป็นคนเด่น แต่ทำอะไรเงียบๆ คุณชายเจ้าหรุยบอกว่าจงเป็นคนเงียบ แต่ทำอะไรเด่นๆ”
เขาพูดประโยคที่สวีจั้งเคยบอกกับเขาอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนสวีจั้งยังหนุ่ม ก็ได้รับแก่นแท้ของผู้อาวุโสทั้งสอง…”
“จงเป็นคนเด่น ทำอะไรเด่นๆ รึ” สวีชิงเยี่ยนนึกไปถึงร่องรอยน้ำหมึกต่างๆ ที่สวีจั้งละเลงไว้ในประวัติศาสตร์ต้าสุยพลางพูดงึมงำอย่างไม่รู้ตัว
“ใช่”
หนิงอี้พยักหน้า “จงเป็นคนเด่น ทำอะไรเด่นๆ หากมีคนหนึ่งชอบสวีจั้งมาก เช่นนั้นเขาก็จะไปฝึกวิถีกระบี่ เรียนรู้จากสวีจั้ง”
หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยนอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ทะเลสาบอิสระมีหินอิสระก้อนหนึ่ง ข้าอยากเรียกมันว่าหินกฎมากกว่า ที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คน เมื่อก่อนมีแต่ความเงียบ ทว่าตอนนี้มีแต่เสียงผู้คนดังเกรียวกราว หลังจากสวีจั้งตาย ผู้ไล่ตามเขาเริ่มโผล่ขึ้นมา…ข้าไม่รู้ว่านี่หมายถึงอะไร แต่ผู้คนมักจะเป็นเช่นนี้ หลังจากเสียไปตลอดกาลแล้วถึงรู้จักรักษา มองสิ่งที่จากไปล้ำค่าที่สุด แต่ไม่รู้จักรักษาสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
สวีชิงเยี่ยนไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ หนิงอี้ถึงพูดเช่นนี้ แต่นางรู้ว่าอาจารย์อาน้อยแซ่สวีส่งผลกับรูปแบบการบำเพ็ญสิบปีมานี้ของต้าสุย นักกระบี่โผล่ขึ้นมาเหมือนกับหน่อไม้ใบไม้ผลิยามหลังฝนตก
“การถือกระบี่ก้าวขึ้นสู่เส้นทางบำเพ็ญเลียนแบบสวีจั้งไม่ได้ผิดอะไร แต่ว่า…สวีจั้งมีเพียงคนเดียว พวกที่ถือกระบี่ตามเขา ต่างคิดว่าเรียนความเด่นดังนั้นได้แล้วก็จะเรียนถึงแก่นแท้ ความจริงนี่เป็นเรื่องน่าขำ”
เขานิ่งไปก่อนจะพูดต่อ “รวมถึงข้าด้วย”
คำพูดนี้เหมือนกับเสียงฟ้าผ่า
ทำให้สวีชิงเยี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย
นางไม่นึกเลยว่าหนิงอี้จะพูดเช่นนี้ออกมา
“ตอนยังเด็กมาก ชีวิตข้าไม่มีแสงสว่างเลย” หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “ไม่มีแสงสว่างย่อมไม่มีเงา หลังศิษย์พี่ช่วยข้าแล้ว ข้าก็ได้ฟังแต่เขา ได้เห็นแต่เขา หยิบกระบี่ขึ้นมาสิ่งที่คิดถึงก็คือเขา วางกระบี่สิ่งที่คิดถึงก็คือเขา ในดวงตาในหูมีแต่เขา นานวันเข้า ข้าก็กลายเป็นเขาคนที่สองโดยธรรมชาติ”
สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก
“ตอนข้าศึกษาศิลาที่หุบเขานิรันดร์ ก็รีบร้อนอยากจะหาวิถีกระบี่ประจำตัว หาวิถีกระบี่ของข้าเอง” หนิงอี้ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “ตอนนั้นเองข้าถึงรู้ว่า ข้าได้ประทับร่องรอยเกี่ยวกับเขาไว้บนตัวมากมายโดยไม่รู้ตัวเลย ข้ามาจากเทือกเขาประจิม ศิษย์พี่คือแสงสว่างที่ส่องชีวิตข้า ข้ากลับกลายเป็นเงาของเขา”
คำพูดเหล่านี้ หนิงอี้พูดกับสวีชิงเยี่ยน และเป็นครั้งแรกที่พูดกับคนอื่น
คำพูดเหล่านี้ เขาไม่เคยพูดกับเด็กสาวนั่น
สวีชิงเยี่ยนพูดเสียงเบา “บางทีศิษย์พี่สวีจั้งของเจ้า…ตอนหนุ่มก็อาจจะเป็นเงาของใครสักคนเหมือนกัน”
หนิงอี้นิ่งอึ้ง
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็อาจจะ”
หนิงอี้นึกถึงตอนที่สวีจั้งชี้แนะตน
สวีจั้งบอกกับเขาว่าคนที่ทำตัวเด่นเอาอย่างเขาล้วนตายกันหมดแล้ว
ตอนที่บุรุษคนนั้นพูดว่า ‘จงเป็นคนเงียบ ทำอะไรเงียบๆ’ ด้วยรอยยิ้มนั้น นับว่าได้ถอดเนื้อหนังเก่าในอดีตออกไปหรือไม่ ต่อมาหนิงอี้ถึงได้รู้ว่าไม่มีใครเคยเห็นสวีจั้งในด้านนี้ นี่เป็นด้านที่อ่อนโยนและเงียบงันของสวีจั้ง ไม่เคยแสดงต่อหน้าปุถุชนมาก่อน เขาวางกระบี่ในมือลง รู้จักห่อ ‘หัวใจสังหาร’ ไว้อย่างดี
ต้องผ่านเรื่องราวมาเท่าไรถึงจะทำแบบนี้ได้
หนิงอี้มองเด็กสาวพลางพูดเสียงเบา “ต้าสุยใหญ่มาก ข้าควรจะไปดูหน่อย”
สวีชิงเยี่ยนพูดด้วยความสนใจ “เดิมทีข้าคิดว่าคุณชายจะอยู่เมืองหลวง เอาชนะอัจฉริยะทั้งหมดเสียอีก”
“อยู่เมืองหลวงเป็นเรื่องของจักรพรรดิ” หนิงอี้ยิ้มก่อนจะพูดช้าๆ “เอาชนะอัจฉริยะทั้งหมดเป็นเรื่องของจอมยุทธในยุทธจักร”
“อันดับหนึ่งรายนามดาราไม่นับว่าเป็นจอมยุทธในยุทธจักรรึ” เด็กสาวเอาคางเกยโต๊ะเบาๆ เป่าเส้นผมที่ตกลงตรงหน้าผาก ก่อนจะกลอกตาขึ้น
“อันดับหนึ่งรายนามดารา ฟังดูยิ่งใหญ่มากก็จริง” หนิงอี้พูดเชิงเย้าหยอก “แต่ข้าคิดมาตลอดว่าคุณชายหยวนฉุนแห่งหอบัว ตั้งชื่อรายนามนี้ได้ไม่น่าฟังเอาเสียเลย บนฟ้ามีดารามากมาย แต่ข้าไม่เคยมีดาวสักดวง จะขึ้นไปบนรายนามดาราได้อย่างไร”
สวีชิงเยี่ยนตกใจเล็กน้อย
นางพูดพึมพำ “คุณชายอยากเห็นทิวทัศน์ข้างบนรึ”
หนิงอี้รีบโบกมือก่อนจะพูด “เส้นทางต้องเดินไปทีละก้าว เจ้าเองก็รู้ว่าข้าฝึกบำเพ็ญยากกว่าใคร ออกจากเมืองหลวงครานี้แค่อยากออกไปเดินเล่นสักหน่อย จะได้ถือโอกาสหาคำตอบหลายๆ เรื่องให้ชัดเจนด้วย มันฝังอยู่ในใจมานานมากแล้ว”
สวีชิงเยี่ยนเข้าใจแล้ว
นางอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็เงียบไป
ทันใดนั้นมีเสียงถีบประตูอย่างแรงดังมาจากนอกประตูร้านน้ำชา
ปัง!
ประตูไม้ร้านน้ำชากระเด็นออกไป แตกเป็นเศษไม้กลางอากาศ ก่อนจะตกลงพื้นอย่างแรง กระจายเป็นเสี่ยงๆ
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เขายื่นมือมาข้างหนึ่ง เปิดผ้าม่านที่อยู่ไม่ไกลในห้อง ชำเลืองตามองภาพตรงปากทางเข้าร้านน้ำชา
โคมไฟแดงแกว่งไกว สะท้อนผู้มาเยือน ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยแสงสีแดงอ่อนๆ
แสงจันทร์เป็นเกล็ดๆ เหมือนคลุมด้วยพายุหิมะ
เสียงทุ้มดังสนั่นในร้านน้ำชาเหมือนพายุสายฟ้า
“กรมผู้คุมกฎมาปฏิบัติงานประจำวัน”
คนคนนั้นสูงเก้าฉื่อ รูปร่างใหญ่เหมือนภูเขาเล็ก สวมงอบ ปิดบังใบหน้าและพลังไว้ ตรงเอวห้อยป้ายคำสั่งยาวของกรมผู้คุมกฎโดยเฉพาะ แสงทองแวววาว สลักคำว่า ‘ผู้ถือคำสั่ง’ กรอบประตูร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์ดูคับแคบไปอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินเข้ามาช้าๆ ไม่หลบหลีก แต่ใช้ไหล่สองข้างชนกรอบประตูพัง เดินหน้าหนึ่งก้าว เมื่อลงถึงพื้นเท้าข้างหนึ่งเหยียบธรณีประตูแตก เศษไม้กระเด็น ก่อนจะยกเท้าอีกครั้ง บนพื้นแตกเป็นรอยใยแมงมุมลึก
เด็กรับใช้จะเคยเห็นกองกำลังเช่นนี้ได้อย่างไร เขาหลบไปหลังโต๊ะต้อนรับร้านน้ำชาก่อนแล้ว
เถ้าแก่ร้านมีสีหน้าเย็นชา
เถ้าแก่ผอมสูงที่เดิมทีกำลังนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้โยก ตอนนี้ใช้มือข้างหนึ่งกดตรงโต๊ะต้อนรับ หยัดกายขึ้นช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือเมืองหลวง ที่นี่คือร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์”
ภูเขาเล็กที่สวมงอบยิ้ม
เขามองไปรอบๆ ในร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์ ตอนนี้มีแต่สมาชิกสามกรมของราชวงศ์ต้าสุยนั่งกันเต็มไปหมด ในนั้นยังมีคนมีชื่อเสียง ตอนนี้ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย คนกรมผู้คุมกฎเหมือนกันไม่เข้าใจยิ่งกว่า ไม่รู้ว่าเจ้านี่มาจากไหน
คนสวมงอบนั่นเป็นเพียงทูตผู้ถือคำสั่งตัวเล็กๆ แต่กล้าทำถึงขนาดนี้เชียวรึ
หรือเจ้านี่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์เป็นใครกัน
ผู้ถือคำสั่งพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้ารู้ว่าที่นี่คือเมืองหลวง และยังรู้ด้วยว่าเถ้าแก่เบื้องหลังร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์คือเจ้ากรมผู้คุมกฎน้อยอวี้ฮวน กรมผู้คุมกฎกับกรมข่าวกรองเมืองหลวงต่างมีเจ้ากรมใหญ่หนึ่งคน เจ้ากรมน้อยเก้าคน ทุกคนอยู่ที่นี่ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีของท่านอวี้ฮวนอันดับหนึ่งใต้เจ้ากรมผู้คุมกฎใหญ่ม่อโส่วในตอนนี้”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็นำป้ายคำสั่งออกมาจากตรงเอวช้าๆ เอ่ยราบเรียบ “ข้าผู้ถือคำสั่งกรมผู้คุมกฎผังซาน วันนี้รับคำสั่งให้มาเด็ดหัวของท่านอวี้ฮวนที่นี่”
ในป้ายคำสั่งเปล่งแสงทองแวววาว
จิตสังหารเดือดพล่าน
……………………..