เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 256 ไม่สู้ไปดื่มชา
ตอนที่ 256 ไม่สู้ไปดื่มชา
รถม้าของเขาวิญญาณแล่นออกไปช้าๆ
บนถนนเมืองหลวงที่ดวงจันทร์แรกลอยขึ้นฟ้า ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่ มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนเคียงข้างกัน
“คุณชายหนิงอี้…ช่วงนี้ชิงเยี่ยนตามฆราวาสฝึกฝน ยุ่งมากๆ”
หมวกผ้าปิดหน้าถูกสายลมเบาพัดพลิ้วไหว
สวีชิงเยี่ยนกดเสียงต่ำมาก นางพิจารณาสีหน้าหนิงอี้ผ่านผ้าปิดหน้า
“จดหมายนั่น…จดหมายนั่น…เจ้าเห็นหรือไม่”
หนิงอี้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงเครียดขนาดนี้
เขานึกไปถึงจดหมายประหลาดที่ซ่อนสัมผัสของตนได้ก่อนจะพยักหน้าและพูดอธิบาย “ข้าเองก็…ยุ่งมากเหมือนกัน วันนี้เลยมาเยี่ยมเจ้า”
สวีชิงเยี่ยนผ่อนลมหายใจเบา
นางจำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอ่านเจอคำพูดแบบนั้นในตำราโบราณ
ความสัมพันธ์ทั้งหมดของคนข้องเกี่ยวกัน
มิตรภาพ ความเมตตา…ความรัก ล้วนเป็นเช่นนี้ โลกนี้มีตาชั่งที่มองไม่เห็นอยู่ เจ้าวางของลงไป อีกคนวางของลงไป ก็จะเกิดข้อผูกมัดและความสัมพันธ์
ลูกตุ้มตาชั่งที่มองไม่เห็นนี้ ชั่งการมาและการไป การไปและการกลับ กาลเวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ โลกมนุษย์จ่ายออกไปและได้กลับคืนมามากมาย
ในตำราโบราณ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดการจ่ายออกไปเงียบๆ แต่ไม่ได้สิ่งตอบแทนที่เหมาะสม
สวีชิงเยี่ยนไม่กลัวตรงนี้
นางกลัวแค่ว่าจะไม่มีตาชั่งแบบนั้น วางลงไปก็ไม่มีข่าวคราว เป็นหินตกมหาสมุทร ระยะห่างของโลกนี้บางครั้งก็ใกล้มาก บางครั้งก็ไกลมาก
เวลาที่ใกล้ อยู่ไกลสุดขอบฟ้าก็ใกล้แค่เอื้อม เวลาที่ไกล อยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ไกลสุดขอบฟ้า
สวีชิงเยี่ยนพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชายมาเยี่ยมข้าก็เป็นเรื่องดีแล้ว”
ผู้คนบนถนนสัญจรไปมา สองคนเดินหน้าไปเงียบๆ ไร้ทิศทาง
เหมือนกับจอกแหน
หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยน ชุดนางขาดเล็กน้อย แขนเสื้อมีรอยไหม้ เขาจึงถามเสียงเบา “เจอปัญหาที่ภูเขาสนรึ”
สวีชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้น ยิ้มแป้น “เจอหลีเม่ยตัวหนึ่ง”
เผ่าหลีเม่ย กำเนิดเป็นธาตุไฟ แต่กลับหนาวเยือกสุดขีด
มิน่าแขนเสื้อนางถึงถูกไฟเผาไหม้ แต่กลับมีคราบน้ำแข็ง
“พูดไว้แล้วว่าข้าจะเชิญเจ้ามาดื่มชา วันนี้ข้ากลับมาจากการฝึกฝนที่ภูเขาสน ออกจากวังได้แล้ว ข้าจะเลี้ยงชาเจ้า”
หนิงอี้ถูกเด็กสาวข้างหน้าดึงแขนเสื้อเดินไปข้างหน้า เขาไม่ขืน แต่ปล่อยไปตามธรรมชาติ เพียงพูดด้วยรอยยิ้ม “จะกลับไปดื่มที่ห้องบูรพารึ”
“ไม่!”
สวีชิงเยี่ยนหันกลับมายิ้ม ก่อนจะขยิบตา “เมืองหลวงมีร้านชาตั้งเยอะ”
……
ร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์
‘ดุจอาบสายลมพิสุทธิ์’ แขวนอยู่หน้าร้านน้ำชา
ศาลาสี่มุมเก่าแก่เว้นห่างกันเป็นห้องๆ ตกแต่งอย่างโบราณและสวยงาม ได้บรรยากาศ แขวนโคมไฟสีแดงขนาดเล็กไว้หลายอัน ควันอบอวลบางๆ กลิ่นหอมชาลอยโชย
ชากับสุรา สูงส่งและทั่วไป ความจริงเนื้อแท้ไม่มีการแบ่งแยก เพียงแต่คนว่างชอบวิจารณ์ ทุกอย่างมีดีหมด อยู่ในเมืองหลวง ใต้กฎต้าสุย ดาบกับกระบี่ห้ามออกจากฝัก ดื่มสุราได้ แต่ใช้กำลังทุบตีกันไม่ได้…ดังนั้นหากจะต้องตัดสินระหว่างสูงส่งและทั่วไปให้กับเมืองโบราณแห่งนี้ เช่นนั้นบทสรุปสุดท้ายจะต้องไม่ใช่ทั่วไปอย่างแน่นอน
ดื่มชาเป็นเรื่องสูงส่ง ดื่มชาในร้านน้ำชายิ่งเป็นเรื่องสูงส่งยิ่งกว่า
ก็เหมือน…การวิวาทเป็นเรื่องชาวบ้านทั่วไป การต่อสู้บนเวทีประลองเป็นเรื่องทั่วไปที่สูงส่งกว่า
หลายเรื่องไม่ต้องหาสถานที่เฉพาะ อย่างเช่นดื่มชา
ขอแค่มีน้ำมีใบชาก็จะดื่มชาได้ อยู่ในจวนของตน อยู่ใต้แสงแดดของแผงลอย
ดังนั้นคนที่มาที่ร้านน้ำชา…ส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่มาดื่มชา
ดื่มชาเงียบสงบกว่าดื่มสุรา
ดังนั้นคนที่มาดื่มชา ส่วนใหญ่จึงต้องการความสงบ
คำว่าสงบ คุ้มค่าเงินหรือไม่ต้องดูว่าวางไว้ที่ใด หากวางไว้ในป่าห่างไกลผู้คน อย่างเช่นภูเขาสักลูกในภูเขาใหญ่แสนลี้แดนทักษิณ นั่นก็จะไม่มีค่าเลย แต่หากวางไว้ในดินแดนกลางต้าสุย ในเมืองหลวง นั่นจะมีค่ายิ่งกว่าพันตำลึงทอง
อยู่ในที่เงียบสงบ จะทำอะไรก็สะดวก
หนิงอี้ผลักประตูห้องร้านน้ำชาสายลมพิสุทธิ์แล้วก็ปรายตามองหลายมุม ระหว่างที่ผ้าม่านห้องลอยขึ้นลงยังเห็นเป็นชุดขุนนางมุมหนึ่ง สมาชิกของสามกรม สายเลือดและกระดูกของต้าสุยเหมือนจะมีนิสัยชอบดื่มชา
คนที่เปิดร้านน้ำชาในแดนทองคำเมืองหลวงแห่งนี้ได้ คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
สองคนหาห้องนั่งกันตามใจ
โต๊ะไม้แปดเหลี่ยมสีครามทำขึ้นอย่างประณีต พิถีพิถันเรื่องวัสดุ เขียวสดจนแทบออกมาเป็นหยดน้ำ
หนิงอี้ไม่เข้าใจวิถีชา และไม่เข้าใจมารยาทเล็กๆ น้อยๆ เมื่อไม่นานมานี้เขาก็เพิ่งเห็นถาดวางชากระเรียนขาวออกทะเลหมอกนั้นในตำหนักดอกไม้ขาว ที่นี่เป็นเพียงร้านน้ำชาที่มีไว้สำหรับประชาชน ย่อมไม่มีของฟุ่มเฟือยหรูหราเหมือนกับของพระสนมดอกไม้ขาวจ้าวเจี่ยว
แค่เห็นเพียงส่วนหนึ่ง ก็เห็นถึงรอยด่าง
หลายวันก่อนเด็กสาวออกไปซื้อของข้างนอก เอาโต๊ะกลับมาสองสามตัว วางในจวนขุนนางรองท่องกระบี่ ใช้ดื่มชาโดยเฉพาะ ตอนนั้นนางเจ็บปวดใจยิ่ง บอกว่าข้าวของในเมืองหลวงแพงมาก ทำใจควักเงินในกระเป๋าไม่ได้ พวกนั้นล้วนเป็นวัสดุไม้ธรรมดา คุณภาพธรรมดา
ที่ต้องออกไปซื้อเครื่องไม้กลับมา…ก็เพราะสู้กับเฉาหลันครั้งนั้นจบ ข้าวของในจวนเสียหายไปมากกว่าครึ่ง โดยเฉพาะเครื่องไม้ แทบจะถูกกำลังของเฉาหลันและปราณกระบี่ของหนิงอี้ทะลุค่ายกลออกมาทำลายเป็นผุยผง
ของในจวนหนิงอี้เมื่อก่อนก็จัดไว้ให้เจ้าลัทธิเฉินอี้ ล้วนเป็นไม้จันทน์ม่วงไม้จันทน์ครามระดับสูง หากเอาออกไปประมูลจริงๆ ต่อให้ไม่รวมตัวตนของเจ้าของเครื่องไม้ก็ยังขายได้ตำลึงเงินไม่น้อย
แต่กลับพังไปทั้งหมด…เรื่องนี้ เจ้าลัทธิคงไม่เอาเรื่องอะไร แต่หนิงอี้กับเด็กสาวก็หน้าไม่หนาพอจะรบกวนนักพรตชุดหยาบแห่งสำนักเต๋าให้จัดการเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ให้
ผู้บำเพ็ญเองก็ต้องเท้าเหยียบดินจริง เดินไปในทางโลก ก็ต้องดื่มน้ำกินข้าวนอนหลับ ดังนั้นเรื่องการค้าคงเลี่ยงไม่ได้ ในกระเป๋าไม่ได้ใช้ไข่มุกตะวันคร้านแต่เป็นตำลึงเงินและใบทอง
หนิงอี้มีเงินรางวัลจากวัง…ตอนนั้นหนิงอี้รับไว้เป็นพิธี และยังใจกว้างแบ่งให้สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวไปส่วนใหญ่ เก็บไว้ใช้เองพันตำลึงเงิน
สิ่งที่ทำให้หนิงอี้คาดไม่ถึงคือเงินพันตำลึงนี้ยังซื้อโต๊ะน้ำชาของเฉินอี้ตัวเดียวไม่ได้ วางไว้ในตำหนักดอกไม้ขาว เกรงว่าแม้แต่เงินทอนของถาดน้ำชานั้นก็ยังไม่พอนับ
สองคนนั่งในห้อง สวีชิงเยี่ยนถอดหมวกนั้นออก
ได้เห็นใบหน้าของเด็กสาวคนนี้อีกครั้ง แม้ว่าหนิงอี้จะเคยเห็นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง…แต่เขาก็ยังอดร้องตกใจไม่ได้
งดงามมากจริงๆ
ภายในห้องเล็กเงียบสงัด
เข็มตกยังได้ยิน
ตอนที่สวีชิงเยี่ยนจะพูดนั้น
เด็กรับใช้เปิดผ้าม่านห้องขึ้น ส่งรายนามน้ำชาตามปกติ เมื่อเห็นชายหญิงที่นั่งในห้องแยก โดยเฉพาะเด็กสาวที่ถอดหมวกคนนั้น ทันทีที่สบตาก็ตะลึงงัน ถาดในมือตกลงพื้น ถ้วยลายครามแตกเป็นเสี่ยงๆ
ไอร้อนพวยพุ่ง
แม้แต่คนสวรรค์ยังตกใจ
…………………….