เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 25 งานเลี้ยงวันเกิดของไท่จง (rewrite)
ตอนที่ 25 งานเลี้ยงวันเกิดของไท่จง (rewrite)
หากไม่กลายเป็นอมตะ เช่นนั้นก็จะตาย คนในเส้นทางการบำเพ็ญ จุดดาราชะตา ก็จะมีชีวิตได้ถึงสองร้อยปี แต่ไม่ว่าจะยืดอายุขัยไปอย่างไร ห้าร้อยปีก็ยังเป็นธรณีประตูยักษ์ ธรณีประตูของอายุขัยนี้ หมายถึงธรณีประตูบำเพ็ญของความเป็นมนุษย์และความเป็นเทพ คนที่ก้าวข้ามธรณีประตูก้าวนี้ไป…แทบจะไม่มีเลย
ตอนนี้จักรพรรดิต้าสุยคือหนึ่งท่านที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์หลายพันปี
จักรพรรดิไท่จงมีชีวิตอยู่มาหกร้อยปีแล้ว
จักรพรรดิไท่จง แทบจะพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในจักรพรรดิไม่กี่ท่านที่แกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าสุย ภายใต้การนำของเขา เผ่าปีศาจทะเลพลิกผันแดนอุดรแตกพ่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณูปการกับความสำเร็จของจักรพรรดิไท่จงเป็นรองเพียงจักรพรรดิองค์แรกคนนั้นที่บุกเบิกเขตแดน สูงจนไม่รู้จะสูงอย่างไรได้อีก
หิมะมงคลทำนายปีที่อุดมสมบูรณ์
ในเมืองหลวงคึกคักมาก
ทุกคนกำลังเฉลิมฉลองให้กับจักรพรรดิไท่จง ประตูเมืองหลวง ประตูโบราณทองสัมฤทธิ์ยกขึ้นช้าๆ ทหารชุดเกราะที่ยืนอยู่ตรงหัวเมืองมีสีหน้าเรียบเฉย มองรถม้าไม้ขาวที่สะอาดบริสุทธิ์กว่าหิมะสามส่วนกำลังแล่นมาบนพื้นหิมะ
นั่นเป็นของท่านเจ้าลัทธิ
เส้นทางยาวไกลและลำบาก นักพรตชุดคลุมหยาบพวกนั้นห้อวิ่งล้อมรอบรถม้า ก็ยังหน้าไม่เปลี่ยนไป ยืดหลังตรงมาก รักษาความกระตือรือร้นไว้สูงสุด
กำลังจะเข้าเมือง…
ทหารชุดเกราะบนหัวเมืองรู้ว่าคงจะมีคนมากมายที่อดใจไม่ไหว อยากจะเห็นคนในรถม้าสักครั้ง
ท่านเจ้าลัทธิคือความหวังของสำนักเต๋าเทือกเขาประจิม นี่เป็นการออกจากสำนักเต๋าครั้งแรกของเฉินอี้ มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง ได้รับพระราชโองการแต่งตั้ง
ทว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงไม่ได้มองไปที่เจ้าลัทธิ…เรื่องแต่งตั้งนี้ เดิมทีเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่ง ขอแค่เฉินอี้ถูกยืนยันว่าไม่มีพลังบำเพ็ญและเป็นคนธรรมดาจริงๆ เช่นนั้นเรื่องการแต่งตั้งก็จะจบลง การสวมมงกุฎและชื่อเสียงที่เหลือ เป็นเพียงพิธีน่าเบื่อและเสียเวลาเท่านั้น
บางคนในเมืองหลวงเฝ้ารอให้เกิดเรื่องน่าสนใจขึ้น
อาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานที่เดินทางมากับท่านเจ้าลัทธิ เด็กหนุ่มที่ชื่อหนิงอี้นั่น…เป็นตัวละครที่ทำให้เมืองหลวงน่าสนใจ
หนิงอี้ตบหน้าสามสำนักศึกษาอย่างจวนขานฟ้า ตะวันสูงและขุนเขาที่หลังเขาสู่ซาน ไม่ใช่แค่นั้นยังขู่กรรโชกพันธมิตรเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา เจ้าตระกูลสองคนจากตำหนักฟ้า รวมถึงผู้บำเพ็ญที่เดินทางไปเขาสู่ซานเพื่อหัวเราะเยาะสวีจั้งจำนวนมาก
ตอนที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มีคนเปิดโต๊ะเดิมพันในคืนนั้นในเมืองหลวง เดิมพันว่าหนิงอี้ไม่กล้ามา ของเดิมพันสูงจนน่าตกใจ แต่มีเดิมพันที่สูงกว่าคือหนิงอี้จะถูกลอบโจมตีระหว่างทาง สิ้นชีพด้วยความไวแสง
ล่วงเกินเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดพร้อมกัน อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้อายุยังน้อย แต่ใจกล้าไม่เบา ทำเรื่องเช่นนี้เกรงว่าอีกไม่นานก็ต้องเดินตามรอยสวีจั้ง
ทว่า…หลังได้ทราบข่าวว่าท่านเจ้าลัทธิจะเดินทางมากับหนิงอี้ จนแพร่งพรายมาถึงเมืองหลวง ตรอกเดิมพันในเมืองหลวงเงียบกริบ นักพนันที่เดิมพันไปแล้วพวกนั้นโกรธจนหน้าจมูกเบี้ยว อยากจะฆ่าตัวตายด้วยความไวแสง
…..
“คุณชายจะเอาอย่างไรต่อ” เฉินอี้พูดเสียงเบา “ในเมืองหลวงกำลังรอเจ้าปรากฏตัว หากยอมรับ เกรงว่าคงเกิดปัญหามากมาย สู้ไปกับรถม้าสำนักเต๋าดีกว่า ซ่อนตัวไว้ก่อน”
หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว เขาตามรถม้าเข้าเมือง เห็นและได้ยิน เมืองหลวงคึกคักมากจริงๆ ตอนเข้าเมืองคนมากมายออกมาจากตรอกซอย มาต้อนรับท่านเจ้าลัทธิ สองข้างทางแออัดไปด้วยผู้คน มีเสียงประทัดดังสนั่นมาข้างหูเขา ประทัดที่ห้อยไว้สองข้างถนนเมืองหลวงถูกคนจุด เสียงปังๆๆ เก่าต้อนรับเสียงใหม่
เด็กสาวมีสีหน้าตื่นเต้น เปิดผ้าม่านรถออกมุมหนึ่ง พูดด้วยความตกใจระคนดีใจ “พี่…มีคนเรียกชื่อเจ้าด้วย”
หนิงอี้ตั้งใจฟังก็ได้ยินจริงๆ ในเสียงตะโกนโห่ร้องต้อนรับเจ้าลัทธิ มีเสียงที่ดูหัวดื้อและไม่ยอมแพ้ตะโกนเรียกนามของตน
เสียงแล้วเสียงเล่า
“หนิงอี้!”
“หนิงอี้!”
หลังเงียบไปชั่วขณะก็…
“ไปตายเสีย!”
“ไปกินขี้ไป!”
เขามีสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย เขามองผ่านม่านที่เด็กสาวเปิดไปพบบางคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน รูปแบบการแต่งตัวไม่ใช่ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นที่ตนไปล่วงเกินที่เขาสู่ซาน
เขาพูดด้วยความกลัดกลุ้มใจ “ข้าไปล่วงเกินอะไรพวกเขา น่ารังเกียจมาก”
ด้านหนึ่งทุกคนโห่ร้องตะโกน อีกด้านด่าสาปแช่งด้วยความโกรธ
ท่านเจ้าลัทธิหัวเราะ ก่อนจะพูดขึ้น “ในเมืองหลวงเป็นอิสระ ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์กับสำนักศึกษาล้วนอยู่ที่นี่ระยะยาวได้ ในเมืองหลวงห้ามต่อสู้ แต่ท้าสู้ได้ คนพวกนี้น่าจะอยากยั่วโมโหเจ้า ให้เจ้ารับคำท้าสู้ของพวกเขา แพ้หรือชนะ ก็จะมีชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน”
หนิงอี้ถอนหายใจจากก้นบึ้งหัวใจ ใจนึก ‘คนดังก็ไม่ใช่ว่าจะดี’ จะต้องมีคนบางพวกอยากจะเกาะชื่อเสียง ยอมทำทุกอย่าง ช่างน่ารังเกียจ
เขาปิดม่านลงอีกครั้งอย่างเบามือ เอ่ยอย่างเฉยชา “ปล่อยไว้อย่างนี้เถอะ ข้าอยากรู้นักว่าพวกเขาจะโวยวายไปได้สักกี่วัน”
หนิงอี้คร้านจะสนใจคนประเภทนี้แล้ว
กองทหารเมืองหลวงที่มาต้อนรับเจ้าลัทธิยิ่งใหญ่จริงๆ เขารู้แก่ใจดี ต่อให้ตนลงจากรถจริงๆ ทุบตีคนไร้ศักดิ์ศรีสักสองคน ใครจะรู้ว่าจากนี้ยังมีคนมาท้าทายอีกเท่าไร
จนเมื่อเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นที่อยากจะแก้แค้นตนมาถึง น่าจะไม่แยแสใช้วิธีการไร้ประโยชน์เช่นนี้ คงจะปะปนอยู่ในกลุ่มต้อนรับเจ้าลัทธิ ลิ่วล้อที่พลังบำเพ็ญดูไม่สูงพวกนี้ ปกติจะเป็นศิษย์ฝ่ายนอก หรือเป็นผู้บำเพ็ญพเนจรในยุทธภพ มามุงดู โห่ร้องตะโกนเท่านั้น
สถานการณ์ของตนไม่ต่างอะไรกับสวีจั้งเมื่อสิบปีก่อนเท่าไร…น่าเสียดายก็แต่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ไม่มีเหตุผลที่จะล่าสังหารตนอย่างถูกต้องชอบธรรม
หนิงอี้ไม่อยากเอาแรงใจอันล้ำค่าไปเสียกับคนพวกนี้ที่โวยวายอยู่ข้างนอกนั่น
ทรัพยากรของเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เขากินไปพอประมาณระหว่างทาง อีกนิดเดียวเขาจะทะลวงพลังแล้ว หากตนทะลวงขอบเขตที่สี่ เช่นนั้นต่อไปไม่ว่าเจอปัญหาใดก็จะเบาขึ้นเล็กน้อย
……
ปีนี้หิมะตกหนัก หนิงอี้ตามเจ้าลัทธิเข้าเมืองหลวงพร้อมกัน
งานเลี้ยงวันเกิดของไท่จง
เจ้าลัทธิเฉินอี้กับบุตรพุทธะแห่งเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพาเข้าเมืองรับการแต่งตั้งพร้อมกัน จักรพรรดิไท่จงจะมอบตราประทับให้ด้วยตนเอง ตราประทับรับตำแหน่งเจ้าลัทธิ นับจากนี้ต่อไป จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของชาวโลก ราตาต้องจ่ายเพียงหนึ่งเดียวคือห้ามฝึกบำเพ็ญ ห้ามดูดซับแสงดารา
หลังจากแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ งานเลี้ยงวันเกิดจะเริ่มขึ้น ร่วมเฉลิมฉลองทั้งอาณาจักร
ค่ำคืนปลายปีใต้ฟ้าต้าสุย!
พลุสว่างจ้าส่องแสงท่ามกลางม่านราตรีมืดมิด หมอกหิมะลอยล่อง ถูกเสียงดังเกรียวกราวกลบ
เด็กสาวยืนอยู่ข้างกาย หนิงอี้ปิดด่านบำเพ็ญไม่ออกมมา ปฏิเสธคำเชิญข้างนอกทั้งหมด มีใจเตรียมทะลวงพลัง
จักรพรรดิที่อยู่มาหกร้อยปีคนนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ปรากฏตัวมาเลย สำหรับเขาศักดิ์สิทธิ์มากมายและยังมีคนที่อยู่ทั้งในแสงสว่างและเงามืด ความจริงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
หนิงอี้ไม่มีความอยากที่จะได้เห็นกับตาอะไรนั่น สำหรับจักรพรรดิไท่จงที่อยู่มาหกร้อยปีคนนั้น…เขาไม่อาจปฏิเสธคุณความดีของอีกฝ่ายได้ แต่เขาไม่อยากก้มกราบ
บางสิ่งที่ไหลเวียนในสายเลือดบอกหนิงอี้ว่า เขาไม่ชอบจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองสี่เขตแดนเผ่ามนุษย์คนนี้
…..
ข้างนอกส่งเสียงดังเกรียวกราว ภายในเงียบสงบ
ตะเกียงจุดไฟขึ้นในบ้าน เด็กสาวเผยฝานอ่านตำราเงียบๆ ม้วนตำราโบราณออกสีเหลืองกองเป็นชั้นๆ นางคลึงระหว่างคิ้วด้วยความเครียด หนิงอี้ข้างหลังยังหลับตาฝึกบำเพ็ญ ทรัพยากรทั้งหมดถูกหนิงอี้กินไปแล้ว ทรัพยากรพวกนี้…พูดอย่างไม่เกินจริงก็พอจะทำให้ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งทะลวงขอบเขตที่เก้าได้
ใบหน้าหนิงอี้ไม่มีความทุกข์และสุข
ภายในกายสงบนิ่ง แต่เป็นเรือสูงตามน้ำจนเต็มแล้ว ไม่อาจกินข้าวได้อีกแม้แต่เม็ดเดียว พลังบำเพ็ญสมบูรณ์ แค่ขยับก็จะลามไปทั้งตัว การทะลวงพลังต้องการแค่โอกาส
ที่ราบกระดูกในกายเขา น้ำวนยังคงควบแน่นและเล็ก แต่ก็บีบจนออกมาเป็นหยดความเป็นเทพหลายหยดแล้ว
หนิงอี้พบเรื่องน่าตกใจอย่างหนึ่ง…ความเป็นเทพกับแสงดาราหมุนเวียนกันได้ เพียงแต่ไม่ได้เชื่อมต่อในระดับเดียวกันรวมความเป็นเทพออกมา ต้องใช้แสงดาราจำนวนมหาศาล ที่ตนทะลวงพลังต้องใช้แสงดารามากขนาดนี้ก็เพราะพลังแสงดาราจำนวนมากถูกความเป็นเทพกินไป ใช้กำเนิดเป็นหยดน้ำ
เขาพยายามทะลวงพลัง ปิดด่านบำเพ็ญมาหลายวันแล้ว
กลับไม่มีต้นสายปลายเหตุใดๆ เลย เห็นๆ ว่ามาถึงก้าวนั้นแล้ว กลับยังไม่สำเร็จ
หนิงอี้พ่นลมหายใจเบา
เขาผ่อนคลายความคิด เตรียมถอยออกจากสภาวะการบำเพ็ญ
หากร้องขอไม่ได้ เช่นนั้นก็จะไม่ฝืนอีก ปล่อยไปตามธรรมชาติ
ทางด้านโต๊ะ เด็กสาวเผยฝานเห็นหนิงอี้พ่นลมหายใจก็รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ทะลวงพลัง นางหันหน้ากลับมาด้วยความเสียดายเล็กน้อย มองภาพยันต์แปดทิศที่ผู้คงแก่เรียนบางคนคัดเอาไว้ในเมืองหลวง วินาทีต่อมาก็หันกลับมา
ตะเกียงในบ้านพลันดับลง เหมือนพายุพัดผ่าน หน้าต่างเปิดออก
แสงดาราเต็มฟ้าสว่างขึ้นจากระหว่างคิ้ว แขนขา กระดูกทั่วร่างและในทวารทั้งหมดของเด็กหนุ่ม นี่เป็นปรากฏการณ์ทะลวงพลังที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ตะเกียงไฟจะดับลง แต่ทั้งห้องก็ยังสว่างไสว!
มีใจปักดอกไม้ ดอกไม้ไม่บาน ไม่มีใจปักต้นหลิ่ว ต้นหลิ่วกลับเป็นร่มเงา
นี่คือคำว่าโชคชะตา ยากจะคลำหาพบ
ผ่านไปพักหนึ่ง คลื่นลมทั้งหมดสงบลง เด็กสาวเผยฝานยิ้มดีใจ มองเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นช้าๆ พยักหน้าให้ตน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสบายที่กดไว้ไม่อยู่
หนิงอี้กำหมัด สัมผัสถึงแสงดาราที่แกร่งขึ้นกว่าเท่าตัวหลั่งไหลไปในเส้นเลือดของตน การปิดด่านบำเพ็ญช่วงนี้ถือว่าเห็นผลแล้ว
ในที่สุดก็ทะลวงพลัง
…..
ภายในจวนที่เจ้าลัทธิเตรียมไว้ให้ ใต้ชายคาบ้านมีหิมะตกลงมาเล็กน้อย
หนิงอี้กับเด็กสาวนั่งหน้าธรณีประตู ปูหนังแกะเหลืองบนพื้นชั้นหนึ่ง นั่งข้างกันมองดอกไม้ไฟและหิมะเต็มฟ้า
หนิงอี้กับเด็กสาวเผยฝานเมื่อหนึ่งปีก่อนไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายสองคนจะใช้วิธีการเช่นนี้มาถึงเมืองหลวงโบราณต้าสุยแห่งนี้
เด็กสาวพูดเสียงเบา “เมื่อก่อนข้าคิดว่ามาถึงที่นี่ ก็คือจุดสิ้นสุด”
หนิงอี้อึ้งไป
นางพูด “ที่แท้นี่ต่างหากเพิ่งเริ่มต้น”
หนิงอี้เข้าใจความหมายของเด็กสาวเล็กน้อย
คนแสวงหาการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
บางครั้งเจ้าต้องการดอกไม้ แต่ก็ไม่บรรลุเป้าหมาย ดอกไม้นั้นแห้งเหี่ยวแล้ว
มีคนหยุด มีคนเดินหน้าต่อ
เด็กสาวพลันเอามือป้องปากตะโกนไปข้างหน้า “ดอกไม้ไฟสวยมาก!”
หนิงอี้ส่ายหน้า ไล่ความคิดไร้สาระพวกนั้นออกไป
เขาสูดลมหายใจเข้าเบาๆ
เอาสองมือประสานกันไว้หลังศีรษะ แหงนหน้าขึ้นมองดอกไม้ไฟสว่างไสวบนฟ้าเมืองหลวงต้าสุย
ค่ำคืนกลายเป็นยามกลางวัน
ไม่ใช่แค่ดอกไม้ไฟพวกนั้น จนเมื่ออัจฉริยะพวกนั้นในเส้นทางบำเพ็ญในเมืองหลวงปรากฏกาย ยุคสมัยนี้ได้เริ่มขึ้น จุดแสงสว่างฟ้ายามราตรีมืดมิดของต้าสุยขึ้น
……………………..