เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 238 เพลิงมรรค
ตอนที่ 238 เพลิงมรรค
ภูเขาซ่อนกระบี่
สายลมท้องฟ้ารวมกัน ปราณกระบี่หมุนวน ต้นหญ้างอ
ภายในห้อง
ดาราชะตาดวงที่สามกำลังจะรวมขึ้น
สุ่ยเยวี่ยหลับตาลง เรื่องในอดีตเหมือนผ่านอยู่ตรงหน้า ยังคงลืมไม่ได้
ครึ่งก้าวเข้าไปขอบเขตราชันดาราแล้ว ตอนนี้นางขาดเพียงก้าวสุดท้าย
“ตอนทะลวงพลังต้องละทิ้งทุกอย่าง” ซูมู่เจอมองหญิงชุดคลุมเต๋าที่อยู่ตรงหน้าไม่ไกลพลางพูดอย่างจริงจัง “วางลงเถอะ มันผ่านไปแล้ว”
ความตายของสวีจั้งกระทบกระเทือนต่อสุ่ยเยวี่ยมาก
หลังจากคืนโลหิตเมืองหลวง เนี่ยหงหลิงตายในเมืองหลวง สวีจั้งออกจากเขาสู่ซาน หนีไปในใต้หล้า
สุ่ยเยวี่ยเคยคิดเพ้อฝันจะออกจากสำนักศึกษาไปตามหาสวีจั้ง อยากจะใช้กำลังทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวทำอะไรเพื่อบุรุษคนนั้นเงียบๆ
ต่อมานางก็ยอมแพ้
สวีจั้งไม่ยอมพบนาง กระทั่งไม่ยอมรับว่าตนเป็นสหายของเขา
ดังนั้นนางจึงกลับมาภูเขาซ่อนกระบี่ในสำนักศึกษาด้วยความห่อเหี่ยว
“สวีจั้งไม่ใช่คนไร้ความรู้สึก” สุ่ยเยวี่ยพูดเสียงเบา “เขาตัดสัมพันธ์กับข้าเพราะไม่อยากถ่วงขาสำนักศึกษา”
ซูมู่เจอได้แต่เงียบ
“เรื่องพวกนี้ เขาไม่บอกข้าก็เข้าใจ”
สุ่ยเยวี่ยใช้สองมือถือร่มแดงคันนั้น ปลายนิ้วเปล่งแสงดารา ฝุ่นธุลีถูกดีดออกไป ร่มคันนี้วางมาสิบปีแล้ว หลังจากนางทำขึ้นก็เอาออกไปแค่คืนเดียวแล้วก็กลับมาในหออีกครั้ง
“ผู้บำเพ็ญฝึกเพียงสองคำ คือชีวิตนิรันดร์” ซูมู่เจอถอนหายใจเบา “โลกมีหลายเรื่องราวที่เกินกำลัง ต้องรู้จักปล่อยวางลงทีละเรื่อง สุ่ยเยวี่ย เจ้าเริ่มรวมดาราชะตาแล้ว ดาราชะตาดวงที่สามในตอนนี้ควรจะรวมออกมาตั้งนานแล้ว แต่เจ้ากดไว้ตลอด หากล้มเหลว วันนี้มีโอกาสสูงที่เจ้าจะตายอยู่ที่นี่…หากเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
สุ่ยเยวี่ยหัวเราะเสียงเบา “เขาตายแล้ว ไฉนข้าต้องมีชีวิตอยู่”
ซูมู่เจอพูดไม่ออก
สุ่ยเยวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก
“ข้าปล่อยวางไม่ได้”
ดาราชะตาดวงที่สามบนศีรษะนางโคลงเคลงจะพังลง เกิดรอยแตกร้าวขึ้น
นัยน์ตาซูมู่เจอฉายประกายเจ็บปวด สุ่ยเยวี่ยเริ่มทะลวงพลังแล้ว ตอนนี้พูดมากไม่ได้ ร่างกายนางกลายเป็นแสงดารากระจายไปบนฟ้า ทั้งหอกลับเข้าสู่ความเงียบ
กระบี่ยาวสั้นต่างกันหลายสิบเล่มที่ปักหน้าพื้นที่กว้างของหอไผ่สุ่ยเยวี่ย ตอนนี้ส่งเสียงดังขึ้น ลอยขึ้นกลางอากาศ
ปราณนิรันดร์เขาเชียงที่หนิงอี้ส่งมาภูเขาซ่อนกระบี่เมื่อไม่นานมานี้ก็อยู่ในนั้นด้วย
ไม่ใช่แค่พื้นที่กว้างของหอไผ่บนยอดเขา กลางต้นไม้ยักษ์หน้าภูเขายังมีกระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณอีกเล่ม ผ่าตัวต้นไม้ออกมา เศษไม้แตกกระจายก่อนจะบินไปทางสุ่ยเยวี่ย
กลางหินยักษ์ กระบี่บินเรียวที่มีความกว้างสองนิ้วมือและความยาวหนึ่งกำปั้น ทับอยู่ใต้หินมาไม่รู้กี่ปี ตอนนี้พลันทำลายหินออกมา
กระบี่สั้นยาว กระบี่เบากระบี่หนักแต่ละเล่มซ่อนอยู่ทุกมุมของยอดเขานี้ ตอนนี้ต่างส่งเสียงและมารวมกันจากทุกสารทิศ ลอยอยู่เหนือศีรษะสุ่ยเยวี่ย
หอไผ่ที่ขวางอยู่ หอไผ่ที่ดูเรียบง่าย ตอนนี้โคลงเคลง กำแพงไผ่สั่นสะเทือน กระบอกไผ่หลายอันพลันแตกออก กระบี่บินที่ซ่อนในนั้นมาพร้อมกับแสงสว่างที่ไม่มีใครต้านได้ บินไปกลางกระบี่จำนวนมาก
ปราณกระบี่ส่งเสียงร้องดัง งดงามเป็นที่สุด
ขาดเพียงคำเดียวคือ ยินดีต้อนรับราชันดารา
หญิงที่ปิดด่านบำเพ็ญในหอไผ่ไม่สาวอีก กาลเวลาไม่ได้ฝากร่องรอยไว้บนใบหน้านาง แต่ในสีหน้ากลับมีความเงียบเหงาที่หลงเหลือได้จากกาลเวลาเท่านั้น
ภูเขาซ่อนกระบี่มีค่ายกลของซูมู่เจอ ทุกอย่างเงียบสงัด ไม่มีใครได้ยินเสียงในนี้ทั้งนั้น และไม่มีใครเห็นภาพในนี้
สุ่ยเยวี่ยพูดงึมงำ “ข้าจะทะลวงพลังแล้ว”
นางพูดกับร่มแดงคันนี้
ร่มแดงเก่าแก่นั้นถูกนางยกขึ้นด้วยสองมือ เหนือศีรษะสุ่ยเยวี่ย ดาราชะตาดวงที่สามรวมออกมาเป็นของจริงแล้ว
เพียงแต่นั่นเป็นดาราชะตาที่เสียหาย
ผ่านลายพร้อยมาสิบปี ดาราชะตาดวงนั้นยังคงไม่รวมขึ้น สุ่ยเยวี่ยไม่ยอมทะลวงพลัง ใครก็บังคับไม่ได้ นางยอมกดดาราชะตาดวงที่สามไว้เช่นนี้ ไม่ยอมก้าวสู่ขอบเขตราชันดารา
กับภายนอก บอกสำนักศึกษาเกิดมรสุม จะเสี่ยงไม่ได้
กับภายใน เหตุผลที่แท้จริงมีเพียงนางที่รู้
หลังจากสวีจั้งตาย นางก็ไม่คิดจะทะลวงพลังอีกเลย
ดาราชะตาดวงที่สามมีโอกาสสำเร็จต่ำมาก หากล้มเหลวก็อาจจะหยุดอยู่ที่ขอบเขตพลังนี้ ไม่ก้าวหน้าอีก และอาจจะเงียบหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล
สุ่ยเยวี่ยต้องการผลลัพธ์ที่สอง
“การมีชีวิตนี่มันเหนื่อยจริงๆ…”
นางพลันยิ้ม “นี่คือเหตุผลที่เจ้าจากไปกระมัง คิดว่าที่นี่น่าเบื่อหรือคิดถึงแม่นางเนี่ยมากแล้วล่ะ”
เสียงแหบแห้ง มีความจุกอก
แววตาสุ่ยเยวี่ยเหม่อลอยนิดๆ
นางยกร่มแดงคันนั้น
นางเคยเห็นเทียนน้อย และเคยพบเนี่ยหงหลิง เทียนน้อยสวยกว่าร่มของตน แม่นางเนี่ยก็งามกว่าตน
วันนั้นหลังเจอกันโดยบังเอิญ นางก็รีบร้อนหนีไป
สวีจั้งไม่ได้แสร้งทำเป็นไม่เห็น เขามาเยือนสำนักศึกษา มาที่ภูเขาของนาง
……..
ความทรงจำในอดีตย้อนกลับมา
สุ่ยเยวี่ยจำได้ว่าตนกลับมาสำนักศึกษาก็ร้องไห้ทั้งคืน
ตอนที่นางตาแดงและรวมความกล้ามาหลังภูเขา จะเผาร่มคันนั้นทิ้งนั้น มีมือข้างหนึ่งมารับร่มคันนั้น
‘เหตุใดต้องร้องไห้ งดงามมากอยู่แล้วแท้ๆ’
ตอนนั้นสวีจั้งมองสุ่ยเยวี่ยและพูดคำนี้ ไม่รู้ว่าชมร่มหรือชมคนกันแน่
บุรุษคนนั้น ตอนนั้นมาสำนักศึกษาเพียงเพื่อบอกตนว่าจากนี้อีกไม่นานก็จะไปจากที่นี่พร้อมกับเนี่ยหงหลิง
เพราะข่าวลือที่ประโคมกันในเมืองหลวงตลอดหลายวันมานี้รบกวนสุ่ยเยวี่ยไม่น้อย เขาเองรู้สึกละอายใจมาก เลยตั้งใจมาขอโทษ
สองคนนั่งลง ดื่มชา
เวลาหนึ่งถ้วยน้ำชาสั้นมากได้ และก็นานมากได้
สุ่ยเยวี่ยพูดไปเยอะมาก
ตอนจากกัน นางรวมความกล้าพูดในสิ่งที่อยากพูดแต่ไม่กล้า
‘คุณชายสวีจั้ง…’
และก็พูดคำนั้นออกไป
ข้าชอบเจ้า
สุ่ยเยวี่ยที่ประเคนร่มแดงเพ่งมองลายบนร่มแดงนั้น
เรื่องมาจนถึงตอนนี้ นึกไปถึงอดีตนางก็รู้สึกขำนิดๆ ช่างอ่อนต่อโลก
นางกอดความคิดที่จะทิ้งทุกอย่างและพูดคำนั้นกับคนที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
สุ่ยเยวี่ยรู้ดีว่าคำพูดนี้จะเกิดผลแบบใด รู้ว่าคำพูดนี้จะมีบทสรุปอย่างไร
แต่นางก็ต้องพูดออกไป
หลายปีต่อมา เมื่อนึกไปถึงความไร้เดียงสาในตอนนั้น ก็ยังคิดว่านี่เป็นความจริงใจที่ควรค่าแก่การเคารพ
แต่เด็กอายุสิบกว่าปี นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด
เจอกับคนนั้นแล้ว
ข้าชอบเจ้า ไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าชอบข้าหรือไม่
ข้าชอบเจ้าขนาดนั้น ทั้งยังไม่ปิดบัง ไม่ซ่อนไว้ในใจ แต่พูดออกมา
ต่อให้พูดคำนั้นออกไป จะไม่ได้เป็นแม้แต่สหายก็ตาม…
ต่อให้พูดออกไปจะต้องเสียใจภายหลัง
แต่ไม่พูด จะสบายกว่าหรือ
ไม่พูด จะเสียใจภายหลังยิ่งกว่า
………
สิ่งที่สุ่ยเยวี่ยคาดไม่ถึงคือ
หลังสวีจั้งได้ยินคำนั้นก็หน้าไม่เปลี่ยนสีไปเลย ไม่มีความตกใจและอึ้ง
สวีจั้งคืนร่มคันนั้นและตอบกลับอย่างจริงจัง ‘ขอบคุณมากที่เจ้าชอบข้า’
ตอนพูดประโยคนี้ สวีจั้งมีสีหน้าจริงจังมาก
เขาพูดเย้ยเยาะตัวเอง ‘แม่นางสุ่ยเยวี่ย หลายคนก็เคยบอกกับข้าเช่นนี้ คนพวกนั้นเพียงเพื่ออยากเข้าใกล้ข้า เพื่อกระบี่และชื่อเสียงของข้า เพื่อรู้จักอาจารย์และสำนักของข้า…แต่เจ้าไม่เหมือนคนพวกนั้น เจ้าพูดอย่างจริงใจ ข้าเลยจะตอบอย่างจริงใจเช่นกัน’
‘เจ้าชอบผิดคนแล้ว’ สวีจั้งยิ้ม ‘ข้าไม่มีดีอะไร ไม่ควรค่าให้แม่นางต้องฝากฝังทั้งชีวิตให้ หากยังมีโอกาสเจอกันครั้งหน้า หวังว่าเจ้าจะลืมเรื่องในอดีตได้ ต้อนรับกันอย่างสหาย’
สุ่ยเยวี่ยถามด้วยความร้อนใจ ‘เช่นนั้นแม่นางเนี่ยล่ะ’
สวีจั้งเงียบอยู่นานมาก
เขาส่ายหน้า ‘นางไม่เหมือนกัน’
สุ่ยเยวี่ยแววตาหมองลง
ก่อนจากกัน
สวีจั้งตบบ่าสุ่ยเยวี่ยด้วยรอยยิ้ม
‘ข้าเดินบนเส้นทางที่หวนกลับมาไม่ได้แล้ว หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตที่ดีต่อไป’
สุ่ยเยวี่ยในตอนนั้นยังไม่รู้ความหมายของคำพูดนี้
ต่อมานางถึงได้รู้
สวีจั้งฝึกบำเพ็ญ ที่แท้ก็เพื่อลดพลังบำเพ็ญ
บางทีตั้งแต่ที่บุรุษคนนั้นจับกระบี่วันแรก ก็รู้แล้วว่าตนต้องเดินบนเส้นทางวิถีกระบี่ที่ไม่เคยมีใครเดินมาก่อน
มีแต่ความตาย เดินหน้าไปอย่างกล้าหาญ
……
ร่มแดงคันนั้นเผาไหม้ทีละนิด
แสงดาราของสุ่ยเยวี่ยเผาร่มแดงคันนี้
พลังบำเพ็ญของนางตอนนี้ก้าวสู่ขอบเขตราชันดาราในช่วงสั้นๆ อย่างเป็นทางการแล้ว
ดาวดวงที่สามรวมขึ้นมา ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ จิตใจนางปั่นป่วน ความรู้สึกไม่นิ่งเลย
“อย่างนี้เองหรือ…”
นางยิ้ม เงยหน้าขึ้นมองดาราชะตาดวงที่สามของตน พอรวมออกมาก็เกิดรอยแตกร้าว อีกไม่นานก็จะลุกลามไปทั่ว
ขอบเขตราชันดาราล้มเหลว
เพลิงมรรคเผาชุดคลุม
สุ่ยเยวี่ยนั่งนิ่งในหอ ปราณกระบี่ที่ลอยอยู่รอบๆ สั่นสะเทือน หอไผ่ถูกเพลิงมรรคจุดไฟขึ้น
ซูมู่เจอยืนบนยอดเขา ราศีในดวงตามอดดับลงทีละนิด
“ไม่มีหวังแล้ว…”
นางพูดพึมพำ “เหตุใดถึงโง่เช่นนี้ ถึงกับยอมทิ้งโอกาสทะลวงพลังครั้งนี้…”
ยอดฝีมือขอบเขตนิพพานคนนี้กัดฟัน มองเพลิงมรรคลุกลามไปในหอไผ่ ไม่ต้องคิดเลย สุ่ยเยวี่ยจุดเพลิงมรรคเผากาย ครั้งนี้การทะลวงพลังล้มเหลว นางเตรียมจะไปจากโลกนี้แล้ว
ซูมู่เจอช่วยอะไรไม่ได้
ต่อให้นางออกมือดับเพลิงมรรค จิตมรรคของสุ่ยเยวี่ยก็ยังตายอยู่ดี
หากคนหนึ่งมีใจมุ่งสู่ความตาย แล้วจะขวางไว้ได้อย่างไรกัน
กระบี่ที่ลอยอยู่รอบหอไผ่ กระบี่ที่ผ่านกาลเวลามาหลายสิบปีตามการฝึกบำเพ็ญของสุ่ยเยวี่ย ตอนนี้ตัวกระบี่เกิดเพลิงมรรคลุกขึ้น
ภายในหอไผ่
สุ่ยเยวี่ยที่ยกร่มแดงอยู่ในท่าคุกเข่าข้างหนึ่ง เพ่งมองร่ม
ร่มแดงนั้นเริ่มละลายตั้งแต่แกนร่ม เพลิงมรรคเผาใบร่มที่หุบอยู่ เกิดควันดำลอยขึ้น
คนนั้นมุ่งสู่ความตาย
นางก็จะทำเช่นกัน
สุ่ยเยวี่ยหลับตาลง ยิ้มอ่อนโยน “แบบนี้…ข้าไม่เสียใจ”
ร่มแดงนั้นละลายไปช้าๆ สุดท้ายกลายเป็นความว่างเปล่าทั้งหมด
สุ่ยเยวี่ยเงยหน้าขึ้น รู้สึกไม่แน่ใจนิดๆ
ในความเลื่อนลอยว่างเปล่านั้น มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น
เถ้าถ่านร่มแดงกระจายไปในหอไผ่ รวมขึ้นเป็นร่างเงาเลือนราง
กลิ่นอายพลังที่คุ้นเคยนั้น…
สุ่ยเยวี่ยลมหายใจกระชั้นขึ้นมา
นางหรี่ตาแคบลง ไม่กล้าเชื่อภาพตรงหน้า
หลังจากร่มแดงไหม้ไปทั้งหมด…เพลิงมรรคที่เป็นสัญลักษณ์ของการตัดสลับระหว่างความตายและเกิดใหม่ได้โอบล้อมตน แต่ไม่กล้าเข้ามาในระยะสามฉื่อ
เสียงแหบแห้งนั้นดังขึ้นตรงส่วนลึกสุดในใจตน
“จงมีชีวิตต่อไป!”
นอกหอไผ่ ซูมู่เจอหน้าซีดขาวที่กำลังจะหมุนตัวออกจากเขาซ่อนกระบี่พลันมีสีหน้าตื่นตกใจ
นางหมุนตัวกลับไปมอง หอไผ่ถูกเปลวเพลิงแผดเผา
เปลวเพลิงร้อนระอุ เพลิงมรรคกระจายไปรอบๆ
ไม่เหมือนตายไป
แต่เหมือนมีชีวิตใหม่มากกว่า
……………………..