เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 209 ต้นเฟิงริมน้ำกับแสงตะเกียงบนเรือทำให้ข้าทุกข์จนนอนไม่หลับ
- Home
- เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า
- ตอนที่ 209 ต้นเฟิงริมน้ำกับแสงตะเกียงบนเรือทำให้ข้าทุกข์จนนอนไม่หลับ
ตอนที่ 209 ต้นเฟิงริมน้ำกับแสงตะเกียงบนเรือทำให้ข้าทุกข์จนนอนไม่หลับ
แรกใบไม้ผลิเยือกเย็น ความหนาวจางหายไปช้าๆ
หมอกหุบเขานิรันดร์แผ่กระจาย หมุนม้วนลงพื้น ไหลไปดุจสันหลังมังกร หุบเขาโดยรอบไม่สูงเท่าไร ปกคลุมด้วยหมอกชั้นหนึ่ง เวลานี้เดินในนั้นจะมีความเป็นเซียนสามส่วน
ศิษย์หญิงสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวอยู่ข้างหน้า ชายหนึ่งหญิงหนึ่งรั้งท้าย
ท่านหญิงพิณถอดกล่องพิณน้ำตกวางบนรถม้าให้มันลากไป ตอนนี้ตัวเปล่า เพียงแค่กอดปราณนิรันดร์ในอ้อมอก กอดสองแขน อาภรณ์สะบัดไปตามสายลม ในตัวมีกลิ่นหอมดอกไม้ของเดือนสามเดือนสี่
หลังปลดพันธนาการหลายอย่าง นางรู้สึกเบาสบายกว่าปกติ ยืดคองามขึ้น สูดลมหายใจเบาๆ
จากนั้นพ่นลมหายใจช้าๆ
นี่เป็นศาสตร์การหายใจบ่มเพาะร่างกายของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว หลังท่านหญิงซูมู่เจอทะลวงขอบเขตนิพพานก็ถ่ายทอดให้นางโดยเฉพาะ ให้นางไม่ต้องแบกรับภาระมากเกินไป ยามละวางก็วาง อย่าคร่ำครึเกินไป จะขัดต่อมหามรรค
สองคนเดินหน้าไปช้าๆ
อ้อยอิ่งเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณคุณชายหนิงอี้มากนะ”
หนิงอี้โบกมือก่อนจะพูดยิ้มๆ “เจ้าขอบคุณข้ารึ น่าจะเป็นข้าขอบคุณเจ้าต่างหาก นอกจากเจ้าแล้ว ก็มีท่านหญิงสุ่ยเยวี่ยกับท่านหญิงซูมู่เจอ ท่านหญิงทั้งสองท่านดูแลข้าอย่างดี ถึงช่วงนี้จะไม่ได้พบกัน แต่ข้าแซ่หนิงก็จดจำน้ำใจและการช่วยเหลือของพวกเจ้าไว้ในใจแล้ว ไม่มีทางลืม ตอนนี้ไม่ จากนี้ก็ไม่”
เสียงรถม้าข้างหน้าดังไกลออกไปทีละน้อย ไม่รู้ว่ารถเร็วอยู่แล้ว หรือว่าศิษย์สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่ ‘รู้ใจคนอื่น’ พวกนั้นจงใจเร่งความเร็ว อยากจะให้สองคนข้างหลังอยู่กันเงียบๆ สองคนกันแน่
หนิงอี้ยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนพูดอย่างจริงจัง “วางพิณน้ำตกไว้ข้างหน้า จะไม่เป็นไรรึ”
ท่านหญิงพิณส่ายหน้า ก่อนกัดฟันพูดเสียงเบามาก “ไม่เป็นไร”
หนิงอี้ทำเสียง ‘อ้อ’ ก่อนจะอธิบายด้วยรอยยิ้ม “นักกระบี่ไม่เคยให้กระบี่ห่างมือ ข้าคิดว่าพวกเจ้าก็เหมือนกัน เมื่อก่อนทุกครั้งที่เจอเจ้า มักจะรู้สึกว่าแบกกล่องพิณใหญ่ไว้ข้างหลังดูไม่สะดวก แต่ตอนนี้ดูเจ้าแล้ว…”
หนิงอี้กับอ้อยอิ่งห่างกันราวครึ่งหัวไหล่ ไม่ใกล้ และก็ไม่ไกล เขามองอยู่ห่างๆ ก็พบว่ารูปร่างของท่านหญิงใหญ่สำนักศึกษาคนนี้ดีกว่าที่ตนคิดไว้มาก อรชรอ้อนแอ้นมีสัดส่วน กระทั่งบอกว่าน่าหลงใหลยังได้ โดยเฉพาะใต้กระโปรงยาวสีดำถึงพื้นเป็นผ้าบาง จะเห็นเรียวขายาวเนียนนุ่มลับๆ
ท่านหญิงพิณยิ้ม “ตอนนี้ข้า เป็นอย่างไรหรือ”
“ตอนนี้เจ้าดูเหมือนนักกระบี่หญิง และยังเป็นผู้สูงส่งนอกโลก เป็นประเภทที่เก่งกาจมาก”
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม เอ่ยจบก็ละสายตากลับ ใช้สมาธิไปกับปราณนิรันดร์เขาเชียงนั้น ต้องบอกว่าหากท่านหญิงพิณไม่แบกกล่องพิณใหญ่และหนักนั่น ไม่ทำหน้าเย็นชา ตอนนี้กอดกระบี่ยาวอยู่ ก็ดูเป็นนักกระบี่ผู้สูงส่งอิสระจริงๆ มีความเหนือธรรมดาอยู่สามส่วน
“นักกระบี่หญิงรึ” ท่านหญิงพิณยิ้ม “ประเภทที่เก่งกาจอย่างท่านนั้นในจวนเจ้ารึ”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้ปฏิเสธ
“คุณชายหนิงอี้วางใจได้เลย ข้าไม่มีเจตนาจะหยั่งเชิงอะไร” อ้อยอิ่งพูดเสียงเบา “แม่นางเผยเป็นคนที่มีไหวพริบดีมาก มีปราณกระบี่ในจวนเหลือๆ ต่อให้นางจะไม่ใช่ประเภทนักกระบี่หญิงเก่งกาจนั้น แต่อย่างน้อยก็ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง ยินดีช่วยคุณชายแก้แค้นจวนเขาคราม สั่งสอนคุณชายได้อย่างเงียบเชียบได้ ความสามารถนี้สูงกว่าข้าเสียอีก”
ในคำพูดนี้มีการเย้ยเยาะตัวเองเล็กๆ
หนิงอี้ถอนหายใจ ไม่อธิบายไปเสียเลย
อ้อยอิ่งยิ้มโดยพลัน “คุณชายรีบกลับจวนหรือ”
หนิงอี้ส่ายหน้า “บอกนางไว้แล้วว่าจะไปหุบเขานิรันดร์ อาจจะไม่กลับไปกินข้าวเย็นด้วย ตอนนี้ดูแล้วคงกลับจวนก่อนฟ้ามืดได้ ต่อให้ระหว่างทางจะมีเรื่องเสียเวลาไปบ้าง แต่ถ้าไม่ดึกเกินไปก็ได้”
ท่านหญิงพิณเงยหน้ามองสีท้องฟ้า ยังไม่โพล้เพล้ แต่ก็อีกไม่นานแล้ว นางจึงเอ่ยเสียงเบา “เส้นทางจากหุบเขานิรันดร์ไปเมืองหลวง ด้วยพลังบำเพ็ญของเจ้ากับข้า หากรีบหน่อยก็คงไม่เกินครึ่งก้านธูป”
นางลังเลเล็กน้อย
“ข้างหน้าเป็นริมทะเลสาบอิสระ ขอรบกวนเวลาคุณชายหนิงอี้หน่อยได้หรือไม่…ช่วยไปเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
…
ชั้นน้ำแข็งบนทะเลสาบอิสระละลายแล้ว
ปลาเวียนว่ายใต้ผิวน้ำ ข้ามผ่านกลางใบไม้และกระแสน้ำ
แสงสว่างยามโพล้เพล้ลากเงาสองคนริมทะเลสาบออกไปยาวมาก
ท่านหญิงพิณเอ่ยเนิบนาบ
“…ปัจจัยการฝึกบำเพ็ญ อนาคตของสำนักศึกษา ความกลัดกลุ้มหลายๆ อย่าง ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้”
ระหว่างทาง นางได้ระบายความในใจกับหนิงอี้ เรื่องพวกนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ กระทั่งในเส้นทางบำเพ็ญเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ที่ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
มีแต่เรื่องจุกจิก เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นท่านหญิงพิณเจอกับปัญหาและคอขวดในการฝึกวิถีดนตรี ปัญหาเหล่านั้นจะขวางนางได้อย่างไร จะหาคำตอบไม่เจอได้อย่างไร…สำหรับหนิงอี้แล้ว เขาแก้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้ ได้แต่รับฟังเงียบๆ
ในประวัติศาสตร์สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ก่อนเคียงกระบี่จะต่อสู้จนมีชื่อเสียง ชีวิตของอ้อยอิ่งต้องคับอกคับใจมาตลอด ทั้งยังเจ็บปวด นางไม่มีคนให้ระบายความในใจ ข้างกายมีแต่เหล่าศิษย์น้องหญิงที่ต้องให้นางดูแล
หนิงอี้เข้าใจความรู้สึกนี้นิดๆ
หากให้พวกศิษย์น้องหญิงเหล่านั้นรู้ว่าแม้แต่ท่านหญิงพิณแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวยังมีเรื่องทุกข์ใจเล็กน้อยมากขนาดนี้ รวมถึงเรื่องที่ไม่มั่นใจ เกรงว่าภาพลักษณ์เด็ดขาดไร้พ่ายในใจพวกนางนั้นคงจะพังครืนลง
เรื่องราวมากมายก็เป็นเช่นนี้
ก็เหมือนที่หนิงอี้คิดไม่ออกว่ามีสิ่งใดที่สวีจั้งทำไม่ได้
ประชากรของต้าสุยเชื่อมั่นมาตลอดว่าฝ่าบาททำได้ทุกอย่าง
อ้อยอิ่งอยู่ในสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวก็เป็นแบบอย่างที่เคารพของทุกคนในรุ่นเยาว์ ดังนั้น…นางจึงควรทำทุกอย่างได้ง่ายดาย
แต่นางทำไม่ได้
“ปุถุชนมีคนเช่นนี้อยู่จริงหรือ ฝึกบำเพ็ญไม่เจอคอขวด ไม่มีปัญหาใดขวางเขาได้ ไม่เคยรู้สึกท้อแท้และพ่ายแพ้ ไม่เคยพลาดและลังเล…” หนิงอี้ถามคำถามนี้อยู่ในใจ
ภายในใจเขาปรากฏนามคนแปลกหน้าขึ้น
เซียนจุติที่ไม่เคยพบกันคนนั้น เหมือนจะเป็นคนประเภทนี้หรือไม่
เขารีบส่ายหน้า
“คุณชายหนิงอี้ ขอบคุณเจ้ามากนะที่รับฟังข้ามากขนาดนี้”
เสียงท่านหญิงพิณโอนอ่อนขึ้นมาก หากให้คนอื่นในสำนักศึกษาเห็น เกรงว่าคงนึกไม่ออกว่านี่เป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่แทบจะไม่เคยยิ้มเลยคนนั้น
กลัดกลุ้มถึงที่สุด วันนี้ได้ระบายออกมา ทำให้สบายขึ้นมาก
ท่านหญิงพิณเผยด้านอ่อนแอของตนต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ และจะระบายเรื่องพวกนี้กับอาจารย์ของตนไม่ได้เช่นกัน
มีสายลมพัดผ่าน
หนิงอี้เห็นผ้าบางสีดำลอยขึ้นช้าๆ มีกลิ่นหอมจางๆ ถูกสายลมพัดไปทางทะเลสาบอิสระ
เขาเหม่อมองครึ่งใบหน้าของอ้อยอิ่ง
ครึ่งใบหน้านั้นไม่ได้งามล่มแคว้นล่มเมือง ไม่ได้น่าหลงใหล แต่กลับเงียบสงบ กระทั่งมีความเปราะบางสามส่วน
ท่านหญิงพิณเอาผ้ามาปิดใบหน้าตน ทำให้โลกข้างนอกเกิดคำวิจารณ์และการคาดเดาหลายอย่าง
ในคำวิจารณ์ของทุกคนที่แพร่หลายที่สุด ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของทุกคนคืออ้อยอิ่งมีใบหน้างดงามยิ่ง ปิดบังใบหน้าก็เพื่อความสันโดษ ไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากมากมายขึ้น
ความจริงนางเอาผ้าปิดหน้าเพียงเพื่อซ่อนเครื่องหน้าอ่อนโยนของสาวน้อยจากสวรรค์ และสร้างภาพลักษณ์ที่เคร่งขรึมเย็นชาขึ้นมา
วันนี้เป็นการพบกันจากใจจริงที่ทะเลสาบอิสระ ท่านหญิงพิณถอดผ้าปิดหน้าลึกลับชั้นสุดท้ายออกให้หนิงอี้
หนิงอี้เหม่อไปชั่วขณะ ก่อนถามอย่างจริงจัง
“ยังไม่รู้นามจริงของเจ้าเลย”
รู้จักกันมานานขนาดนี้ เขารู้แค่ว่าหญิงคนนี้ถูกเรียกว่าท่านหญิงพิณในสี่คุณชายใหญ่สำนักศึกษา เป็นสหายกันก็เรียกฉายา ‘อ้อยอิ่ง’ แต่ไม่รู้นามจริงของนาง
ท่านหญิงพิณที่ถอดผ้าปิดหน้าออกมองหนิงอี้อย่างมีความหมายลึกซึ้ง มาถึงริมทะเลสาบอิสระ ท้องน้ำกระเพื่อมเบาๆ เรือหญ้าชำรุดลำหนึ่งไร้ผู้คน หยุดอยู่กลางทะเลสาบ
อ้อยอิ่งใช้ปลายนิ้วเป็นพู่กัน น้ำทะเลสาบถูกคลื่นเสียงวาดขึ้นทีละคำอย่างช้าๆ และจริงจัง
หนิงอี้พูดงึมงำ “ต้นเฟิงริมน้ำกับแสงตะเกียงบนเรือทำให้ข้าทุกข์จนนอนไม่หลับ…”
คลื่นเสียงหุ้มละอองน้ำตกลงผิวทะเลสาบ แสงดาราโยนหิน ไม่นานก็กระจายออก ท่านหญิงพิณใช้ปลายนิ้วเขียนอักษรแถวหนึ่ง เหม่อมองอยู่พักหนึ่งก็หัวเราะเบาๆ “ข้าไร้บุพการีเหมือนกับเจ้า อาจารย์เก็บข้ามาจากริมทะเลสาบอิสระ ตอนนั้นผ้าอ้อมถูกโยนไปบนเรือโดดเดี่ยว อาจารย์บอกว่าข้าหนาวจนตัวสั่นไปหมด แต่ก็ไม่ร้องไห้ ตอนแรกคิดว่าประสบเคราะห์ร้ายแล้ว หลับใหลนิรันดร์ในโลกมนุษย์ แต่ไม่นึกเลยว่าจะยังรอดชีวิตมาได้ ทั้งยังลืมตาตื่น ดูไม่เหมือนสามัญชนคนธรรมดา นางจึงเกิดความสงสาร”
หนิงอี้มองท่านหญิงพิณเอามือข้างหนึ่งปลดกระเป๋าผ้า ปลดเชือกแดงที่มัดกระเป๋าผ้าพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นสิ่งเดียวที่บุพการีที่ทอดทิ้งข้าให้ข้าไว้”
นั่นเป็นแผ่นไม้เก่าแก่ออกสีเหลือง พันด้วยใบต้นเฟิงสีแดงแห้งๆ อักษรบนป้ายไม้ซับซ้อนเข้าใจยาก แต่ถ้าใช้แสงดาราพิจารณาอ่านดูจะเห็นได้ชัดเจนว่าเขียนเป็นคำว่า ‘ใบไม้แดง’
นางโบกแขนเสื้อ แสงดาราสลายไป ลายน้ำบนผิวทะเลสาบถูกตีแตก เหลือเพียงสามคำ รวมกันอีกครั้งและผสมเข้าด้วยกัน
อ้อย อิ่ง
เจียง เหมียน เฟิง
หนิงอี้มองจุดแสงดาราบนทะเลสาบ ในดวงตาเขาสะท้อนหิมะเทือกเขาประจิม ป้ายไม้นั้นของอ้อยอิ่ง ใบไม้แดงนั้น ทำให้เขานึกถึงความทรงจำในอดีต
หิมะตกหนักในเทือกเขาประจิม
เขาไม่ได้เจอคนอย่างซูมู่เจอ ดังนั้นเขาจึงต้องทนใช้ชีวิตในอารามโพธิ์เทือกเขาประจิม ผ่านสิบปีที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต
ท่านหญิงพิณพูดปลง “คุณชายหนิงอี้ ข้านับถือเจ้ามากนะ มาจากเทือกเขาประจิมจนถึงเมืองหลวง เดินมาถึงตอนนี้ได้ ความจริงต้องใช้ความแน่วแน่และความกล้าหาญมาก”
หนิงอี้ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง “แล้วก็โชคด้วย”
หากไม่ได้สวีจั้ง ตอนนี้หนิงอี้คงยังดิ้นรนอยู่เทือกเขาประจิม
“เคยลองไปหาพวกเขาหรือไม่” หนิงอี้มองท่านหญิงพิณ “ด้วยตำแหน่งและกำลังของเจ้าตอนนี้ ไปหาพวกเขาได้”
“หาเจอแล้วอย่างไร” อ้อยอิ่งมีใบหน้าเรียบนิ่ง “สุข โกรธ เศร้า เจ็บปวด คนหนึ่งมีได้พันใบหน้า แต่มีบางเรื่องที่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นหน้าใดก็ไม่อยากเผชิญหน้า”
“ความจริงต้าสุยไม่สงบสุขมาตลอด ข้าอยากให้ชายหญิงคู่นั้นที่ให้กำเนิดข้าตายไปในเขม่าควันและความวุ่นวายของต้าสุยมากกว่า” นางพูดเสียงเบา “เช่นนี้ต่อให้ข้าหาพวกเขาพบ เจอหลุมศพ จะแค้นจะโกรธ สุดท้ายก็อภัยให้ได้”
…………………………..