เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 208 ศึกเทพเซียน (1)
ตอนที่ 208 ศึกเทพเซียน (1)
“ยังมีใครอีก”
เสียงหนิงอี้ดังกึกก้องใต้หุบเขานิรันดร์
เสียงนี้ฟังดูราบเรียบและก็เฉยชา แต่ความจริงเป็นการยั่วยุอย่างโจ่งแจ้ง
สุริยะเทพสะท้อนแสงเรืองรองสีทองข้างหลังเทพหยางเขาล่องโอฬารเก็บแสงสว่างกลับมาช้าๆ ความจริงนี่เป็นการผสานกันของวิชากับสมบัติ สามสี่ลมหายใจต่อมา ดวงตะวันนี้ไม่ได้ลอยออกจากชุด แต่ลดอุณหภูมิลงทีละนิด สุดท้ายกลายเป็นภาพเย็นยะเยือก
เทพหยินพูดต่อ “เขามีกลิ่นอายมรณะวนเวียนในตัว เป็นคนอัปมงคล ไม่จำเป็นต้องสู้กันที่นี่…ตั้งแต่ลงจากหุบเขานิรันดร์ รวมจิตกระบี่ประจำตัว ดูเหมือนน่าเกรงขามมาก แต่ยังจำอวี๋ชิงสุ่ยแดนทักษิณเมื่อห้าร้อยปีก่อนได้หรือไม่ ขอแค่เขาลองตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ศิลาหินก็จะถูกกลิ่นอายมรณะกัดกิน อีกไม่นานกรรมจะตามสนอง”
เสียงของเทพหยินไม่ดัง มีเพียงผู้บำเพ็ญสำนักเดียวกันจำนวนน้อยมากข้างกายที่ได้ยิน
“เจ้ากับข้าออกมาจากหุบเขานิรันดร์ ได้รับวิชาบำเพ็ญสมบูรณ์ หากตระหนักรู้ทั้งหมดแล้วเขายังมีชีวิต ถึงตอนนั้นค่อยสั่งสอนเขา” เทพหยินเอ่ยกับบุรุษหนุ่มสวมชุดขาวข้างกาย ใบหน้าทั้งสองคนคลุมด้วยแสงอ่อน หยินเป็นหมอก หยางเป็นแสงสีม่วง มองไม่เห็นใบหน้าแท้จริงทั้งคู่
เทพหยางเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
ผู้บำเพ็ญเขาล่องโอฬารเงียบลง ก่อนบุตรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองจะนำพวกเขาออกจากใต้หุบเขานิรันดร์ไปอีกทาง
เดิมทีพวกเขาอยากดูศึกของหวังอี้กับอ้อยอิ่ง แต่หนิงอี้มาป่วนศึกนี้ เรื่องราวดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ไม่ถือว่ากลับไปมือเปล่าแล้ว
หนิงอี้ยังคงยิ้ม มองไปทางเขาศิลาเต่า
ในกระเป๋าเอวเขา กระดองเต่านั้นกำลังเต้นตุบตับอย่างไม่สงบ แต่เขาใช้จิตกดเอาไว้ ความเป็นเทพไหลเวียน เดิมทีจะไหลผ่านกระดองเต่าแห้งเหือดตามจิตใต้สำนึกหนิงอี้ เพื่อให้กระดองชุ่มชื้นและให้เขาได้ใช้งานในภายภาคหน้า…ทว่าหนิงอี้รู้สึกถึงความผิดปกติก่อน
สายตาหลิงสวินมองผ่านหน้ากากสีเงินมามองหนิงอี้ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ในตัวเจ้าเหมือนจะมีสมบัติสำคัญของเขาศิลาเต่าข้า เปิดกระเป๋าเอวมายืนยันความบริสุทธิ์ได้หรือไม่”
หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ในตัวเจ้าก็เหมือนจะมีสมบัติสำคัญของเขาสู่ซานเช่นกัน ปลดชุดคลุมนอกให้ทุกคนดูได้หรือไม่”
กายวิญญาณอมตะสวมหน้ากากจึงมองเห็นหน้าไม่ชัด เขาพูดขึ้น “หนิงอี้ เจ้าดูดซับกลิ่นอายมรณะไปมากขนาดนี้ ไม่กลัวกรรมตามสนอง เดินตามรอยศิษย์พี่เจ้ารึ”
หนิงอี้เอ่ยอย่างเฉยชา “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
หลิงสวินหรี่ตาลง “หวังว่าเจอกันครั้งหน้า เจ้าจะยังเก่งได้เหมือนตอนนี้”
“เหตุใดต้องรอเจอกันครั้งหน้าล่ะ ตอนนี้เจ้าก็เข้ามาสู้ได้เลย เอาของของเจ้ามาเดิมพัน เหมือนอย่างหวังอี้เขาเชียง” หนิงอี้ยิ้ม “เจ้าไม่ชอบหน้าข้าก็มาสู้กัน ชนะข้า พินิจเหมันต์และชื่อเสียงจะเป็นของเจ้า”
“ท้าข้าสู้รึ” หลิงสวินยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าจะกับเหมือนเด็กน้อยเขาเชียงนั่น แค่พูดไม่กี่คำก็ยุข้าขึ้นรึ”
เขาได้ศาสตร์ทำนองมาจากหุบเขานิรันดร์ ยังไม่ทันย่อยและตระหนักรู้เลย
ความจริงเทพหยินแห่งเขาล่องโอฬารพูดถูกต้องมาก
บุตรศักดิ์สิทธิ์จากทุกแห่งมาเมืองหลวงแค่เพราะหุบเขานิรันดร์ บนเส้นทางชีวิตนิรันดร์ ดูเหมือนมีคู่ต่อสู้มากมาย แต่ความจริงคู่ต่อสู้ที่แท้จริงมีเพียงตนเอง ความขัดแย้งในคำพูด การกระทบกระทั่งในสนาม ยังไม่คุ้มค่าที่จะให้ตนสู้กับคนบ้าอย่างหนิงอี้ที่นี่
หลิงสวินเองก็เห็นจุดจบของหวังอี้เมื่อครู่
เขารู้ตัวเองว่าหากตนขึ้นเวที จะไม่มีทางมีจุดจบน่าเวทนาเหมือนหวังอี้เด็ดขาด
แต่เขากลับทำเหมือนหนิงอี้ไม่ได้ เอาชนะหวังอี้ได้อย่างง่ายดาย ทำลายดอกบัวปราณกระบี่สามดอกนั่น และยังเก็บปราณนิรันดร์เขาเชียงมาได้ตามใจอีก
หลิวสวินสูดลมหายใจเบา สงบจิตใจลง
ยังไม่รู้เลยว่าจิตกระบี่ประจำตัวของหนิงอี้คืออะไร ค่ายแดนบูรพาเพิ่งมาถึง ตนก็สู้กับคุณชายครามไปก่อนแล้ว หากหนิงอี้ตั้งใจตรวจสอบ ก็คงจะปิดไพ่ตายหลายอย่างของตนไม่ได้ สู้ตอนนี้ไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเลย
“รอข้าศึกษาศาสตร์ท่วงทำนองให้ถ่องแท้ก่อน ถึงตอนนั้นก็ยังไม่สาย”
หลิงสวินโบกมือสื่อให้คนเขาศิลาเต่าทุกคนออกจากหุบเขานิรันดร์
หนิงอี้ยิ้มไม่ใส่ใจ
เขามองส่งผู้บำเพ็ญมากมายออกจากหุบเขานิรันดร์ ตีนหุบเขาไม่คึกคักอีกแล้ว กลับเงียบเหงาขึ้นมา
ศิษย์หญิงแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวยืนอยู่ข้างหลังหนิงอี้ตลอด
จวนขานฟ้ายังไม่กลับ แต่รอขุมอำนาจส่วนใหญ่กลับไปจนเหลือเพียงหนิงอี้กับสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
คุณชายครามห้อยกระบี่ยาวสีดำเมี่ยมตรงเอว เดินทางมาหนิงอี้
หญิงแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ มองคุณชายใหญ่จวนขานฟ้าผู้สุขุมคนนั้นด้วยใบหน้าไม่เป็นมิตร อีกฝ่ายเดินเข้ามาช้าๆ ใบหน้าบุรุษหนุ่มคนนี้มีความเกรี้ยวกราดหายไปสามส่วน ตรงบ่ามีทำนองศาสตร์มรรคแปลกเพิ่มมาหนึ่งสองส่วน เล่าลือว่าเหลียนชิงยังไม่เข้าหุบเขานิรันดร์ แต่ปิดด่านบำเพ็ญที่จวนขานฟ้าฝึก ‘วิถี’ ของตน ทำนองมหามรรคแปลกนี้น่าจะตระหนักรู้ได้หลังจากปิดด่านบำเพ็ญ
อ้อยอิ่งหรี่ตาลง
หนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง สื่อว่าไม่ต้องกังวล
เขาเดินไปสองก้าวยืนประจันหน้ากับคุณชายคราม ข้างหลังทั้งสองฝ่ายเป็นแววตาตึงเครียดของศิษย์สองสำนักศึกษา
หยวนหลินไม่เข้าใจเท่าไรว่าเหตุใดศิษย์พี่ตนต้องเดินเข้าไปด้วย
“หนิงอี้ เจอกันอีกแล้วนะ”
คุณชายครามยิ้มเฉยชา เขามองหนิงอี้ไม่ใช่ศัตรูในอดีตแล้ว นี่เป็นแววตาที่แปลกมาก
หนิงอี้แค่สบตากับเขาก็รู้สึกเหมือนอาบสายลมใบไม้ผลิ
ความรู้สึกนี้ไม่ทำให้หนิงอี้ผ่อนคลายเลย ในทางตรงข้าม เขาตื่นตัวยิ่งกว่าเดิม ในตัวคุณชายครามมีทำนองมหามรรคที่ตนอ่านไม่ออก หนิงอี้ได้ยินว่าเขาเคยสู้กับกายวิญญาณอมตะ สองฝ่ายไม่มีใครได้เปรียบกว่าใคร
ตอนนี้ดูแล้วคงเป็นเพราะศึกนั้น หลิงสวินจึงดูเหมือนช่วยคุณชายครามให้ยกระดับไปอีกขั้น
เหลียนชิงเอ่ยนิ่งๆ “ข้าปล่อยวางอะไรได้หลายอย่างแล้ว”
หนิงอี้ยิ้มเย็นชา ก่อนจะแสร้งถาม “รวมถึงเรื่องที่ข้าทุบจิตมรรคเจ้าแตกด้วยหรือไม่”
“จิตมรรคมีรอย ถึงเจ้าไม่ทุบ ก็ยังมีคนอื่น เฉาหลัน เยี่ยหงฝู ลั่วฉางเซิง…ข้าถูกลิขิตให้ต้องเดินหน้า เพียงแค่มาเจอเจ้าก่อนก็เท่านั้น” น้ำเสียงของเหลียนชิงเหมือนนักบวช เอ่ยสบายๆ “ในบางแง่มุม ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วย”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น มองจากลักษณะคุณชายครามแล้วไม่มีท่าทีจะโกรธเลย หรือจะปล่อยวางความแค้นแล้วจริงๆ
“ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ นะ ดูจากท่าทีอ่อนโยนของเจ้าแล้ว ข้าว่าเหมือนลาหัวล้านจากเขาวิญญาณมากกว่า” หนิงอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ตบคนหน้ายิ้มอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าพูดอย่างนั้น ข้าก็จะไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆ เลยแล้วกัน ถ้าเจ้าจะขอบคุณข้าจริงๆ ไม่ต้องมาพูดพิธีรีตองเช่นนี้หรอก ข้าทุบตีเจ้า เจ้าไม่แค้น ช่างเป็นผู้ยิ่งใหญ่นัก ถ้าอย่างนั้นเป็นคนดีก็เป็นให้สุด ส่งพระก็ส่งถึงแดนตะวันตกเถอะ ให้ข้ายืมไข่มุกครรภ์ราชันปีศาจอีกสักสองเม็ด จวนขานฟ้ากิจการมั่งคั่งจะตาย ของแค่นี้เอาออกมาได้อยู่หรอก”
…………………………….