เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 207 การศึกษาไม่มีแบ่งแยก
ตอนที่ 207 การศึกษาไม่มีแบ่งแยก
เงามืดปกคลุมลงมาเหนือศีรษะหวังอี้
เสียงของหนิงอี้ดังอยู่ข้างหูเขา
“ไฉนต้องใช้เจตจำนงกระบี่ล่ะ ข้าใช้มือเดียวก็ชนะเจ้าได้แล้ว!”
หนิงอี้เรียนวิชาซับซ้อนหลากหลาย มีวิชาหลอมกายที่เจ้าภูเขาสู่ซานน้อยพันกรสอน มีวิชาออกกระบี่ที่คนตาบอดฉีซิ่วสอน กระบี่ฟาดของสวีจั้ง กระบี่ซ่อนของท่านเผยหมิน รวมถึงเจตจำนงกระบี่ศิลาหินหุบเขานิรันดร์อีกนับไม่ถ้วน
ใจกลางทะเลเพลิงมีร่างอิทธิฤทธิ์คนยักษ์ที่รวมจากแสงดาราลอยขึ้นจากพื้น กางเป็นโครงกระดูกข้างหลังหนิงอี้ ในแสงดาราร้อนแรงยังมีความเป็นเทพสีขาวหิมะบริสุทธิ์ปะปนอยู่เล็กน้อย ทำให้คนยักษ์ดาราตนนี้ดูน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่กว่าเดิม
มือใหญ่ข้างหนึ่งตบเข้ามา ปราณกระบี่เต็มฟ้าถูกฝ่ามือตบ แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ลุกแผดเผากระจายไปรอบๆ
ตรงกลางฝ่ามือเล็งที่กลางศีรษะหวังอี้ในชุดคลุมดำ
จอนผมเซียนกระบี่น้อยลอยขึ้น มือหนึ่งกดตรงระหว่างคิ้ว ดอกบัวสามดอกเปล่งแสงสว่างพร่างพราย
ชั่วพริบตาเดียวแสงสว่างนั้นก็ถูกกดลง
ฝ่ามือคนยักษ์ดาราฟาดลงเหมือนหินดาวตก พื้นแตกเว้าลงไปเป็นหลุมยักษ์สี่เหลี่ยม
ในชั่วอึดใจเดียว ปราณกระบี่ทะลวงผ่านฝ่ามือคนยักษ์ ฉีกฝ่ามือแหลกเป็นชิ้นๆ แสงดารามากมายเหมือนปลาเวียนว่าย พัวพันกับปราณกระบี่ ฟ้าดินพลันสว่างจ้าขึ้นก่อนจะกลับมามืดลงอีกครั้ง
หนิงอี้ยื่นมือมากดลงช้าๆ ด้วยใบหน้าเฉยเมย
หินแตกกระเด็นไปทุกทิศทาง แตกเป็นเสี่ยงๆ ในระยะสามจั้ง นอกจากเงาชุดคลุมดำเยาว์วัยนั้นแล้ว ปราณกระบี่รอบตัวหวังอี้ถูกบีบกลับไปรวมเป็นม่านปราณกระบี่ พลังในตัวส่งเสียงดัง คนกับกระบี่ถูกหนิงอี้กุมไว้ในฝ่ามือ ปรากฏการณ์สามบุปผารวมยอดยังไม่ทันปรากฏก็หยุดนิ่ง
“เจ้ากล้ารึ!”
หวังอี้เอ่ยเสียงแหบ
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ”
หนิงอี้แค่นยิ้ม
กำหมัด
เกิดเสียงดังปัง
ท่ามกลางสายตาตกใจและเหลือเชื่อของทุกคน สามดอกบัวเหนือศีรษะหวังอี้ระเบิดออกดังปังเช่นนี้
รอบตัวผู้บำเพ็ญมีทวารมากมาย กลางกระหม่อมสำคัญที่สุด ปรากฏการณ์สามดอกบัวนี้ทำให้เขาเชียงสนใจได้ก็เพราะมันปักอยู่กลางฟ้าดินมนุษย์สามทวารวิญญาณของหวังอี้ สามารถบ่มเพาะรากมรรคได้ ประกอบกับหวังอี้มีพรสวรรค์วิถีกระบี่น่าตื่นตกใจอยู่แล้ว หากสำแดง ‘ศาสตร์ดอกบัว’ ก็จะเหมือนกับยอดปีศาจเผ่าปีศาจสำแดงวิชาพรสวรรค์ลับ
น่าเสียดายมากที่หนิงอี้ไม่ให้โอกาสกับหวังอี้เลย
เขาเคยเจอกับยอดปีศาจหนุ่มที่อยู่สูงสุดในใต้ฟ้าเผ่าปีศาจที่ภูเขาแดงมาแล้ว ตอนที่เขาเห็นสามดอกบัวก็รู้ทันทีว่าหวังอี้จะใช้วิชาลับ ใช้วิธีที่ป่าเถื่อนที่สุดสยบตน
หุบเขานิรันดร์มีหูตาเต็มไปหมด เขาไม่อยากเผยสิ่งที่ได้มาในศิลาบนเขาเร็วนัก คลื่นลมครั้งนี้สงบลงแล้วยังต้องไปหาที่เงียบสงบปิดด่านบำเพ็ญเพื่อย่อยเจตจำนงกระบี่บ่อเทพอีก
“อ๊าก!”
หวังอี้ถูกฝ่ามือแสงดารายักษ์นั้นบีบไว้ ครึ่งตัวบนเหมือนถูกคีมหนีบขยับตัวไม่ได้ ดอกบัวเหนือศีรษะยังไม่ทันรวมก็ถูกบีบแตก มุมปากเขามีเลือดสีดำไหลออกมา ใบหน้าแดงปรี๊ดเพราะถูกเหยียดหยาม เขาตะโกนเสียงดัง ก่อนสามดอกบัวเหนือศีรษะจะมีแนวโน้มลอยขึ้นมาใหม่
ครั้งนี้เกสรดอกบัวมีไอสีดำลอยขึ้นมา
หนิงอี้หรี่ตาลง ยังคงพยายามใช้น้ำเสียงราบเรียบพูดเย้ยเยาะ “ข้าก็ว่าเหตุใดถึงมีไอสังหารหนักเช่นนี้ ที่แท้องค์ชายรองก็มอบบัวดำสังหารกับเจ้านี่เอง เป็นโชควาสนาดี แต่เจ้าไม่กลัววางลำดับความสำคัญผิดกัน ทำลายกฎพันปีเขาเชียง ถึงที่สุดก็คว้าน้ำเหลวรึ”
หนิงอี้พูดจบก็เดินหนึ่งก้าว ชกหนึ่งหมัด
หมัดนี้ไม่มีสีสันฉูดฉาดใดๆ ก็แค่หมัดหนังหนาของผู้ฝึกหลอมกายขนานแท้ เหมือนกับคนโง่โกรธเลือดสาดกระจายห้าก้าว หมัดนี้ของหนิงอี้ไม่มีไอโทสะ แต่สายลมกำปั้นส่งเสียงร้อง มีเสียงของวายุอัสนีคละปนลับๆ
…….
“หนิงอี้ออกหมัดรึ” หยวนหลินมองด้วยความตื่นกลัว ตอนอยู่จวนเขาคราม ศิษย์จวนขานฟ้าก็เคยปะทะกายและจิตกับหนิงอี้ พบว่าตัวประหลาดเขาสู่ซานคนนี้ ไม่ใช่แค่มีปราณกระบี่ที่แหลมคม แต่ร่างกายยังเหมือนหลอมขึ้นมาจากเหล็กกล้า
คุณชายครามมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย เขาส่ายหน้าพูด “หากหวังอี้ยอมแพ้แต่แรกก็จะเลี่ยงความเจ็บปวดของเนื้อหนังได้”
อ้อยอิ่งที่อยู่ไกลออกไปเพิ่งเคยเห็นหนิงอี้ใช้กายและจิตครั้งแรก เดิมทีนางคิดว่าหนิงอี้เป็นนักกระบี่ที่เดินเส้นทางดั้งเดิม หลังจากสืบทอดเจตนารมณ์ของสวีจั้ง ได้สนทนามรรคที่สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวหลายครั้ง ยิ่งทำให้นางมั่นใจว่าหนิงอี้เดินบนเส้นทางกระบี่ไปไม่น้อยแล้ว ภายภาคหน้าจะต้องเป็นยอดผู้บำเพ็ญวิถีกระบี่อย่างแน่นอน
ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะยังเป็นจอมยุทธ์หลอมกายที่มีเนื้อหนังหนาอีกด้วย
ในตำหนักก้นทะเลภูเขาแดง ในแดนผนึกแสงดารา หนิงอี้อาศัยความเป็นเทพที่มีไม่ขาดสายมารักษาบาดแผล กระทั่งยังกล้าสู้ตายกับยอดปีศาจขอบเขตที่สิบเจียงหลิน ก็จะเห็นได้ว่าด้วยการหล่อหลอมของที่ราบกระดูก ทำให้หนิงอี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งมาก
หมัดนี้ชกออกไปรวดเร็วและดุดันถึงที่สุด ไม่มีความลี้ลับใดๆ แค่ให้ความสำคัญกับหนึ่งกำลังทลายหมื่นวิชา ชกใส่พลังคุ้มกันของหวังอี้ ทุบจนเกิดใยแมงมุม ก่อนใยแมงมุมจะแตกกระจาย
แข็งแกร่งไม่อาจต้านทานได้!
หวังอี้ร้องเสียงดัง เลือดหยดหนึ่งไหลมาจากระหว่างคิ้ว
ในเลือดซ่อนกระบี่เรียวเล็กยิ่งไว้ หากมองดูดีๆ จะพบว่ามันรวมขึ้นมาจากเจตจำนงกระบี่ มีขนาดเล็กมาก
เลือดแตกกระจายโดยพลัน
“รวมปราณกระบี่!”
ปราณกระบี่ที่รวมมาจากปราณนิรันดร์เขาเชียงรวมเป็นปลายกระบี่ส่วนหนึ่ง แทงไปที่ระหว่างคิ้วของหนิงอี้
หนิงอี้ทำเสียงหึ กำปั้นเขาดุจหินผา ชกใส่ปลายกระบี่
เกิดเสียงดัง ‘แก๊ง’
เกิดเสียงโลหะกระทบแสบหูขึ้น จากนั้นปลายกระบี่ปราณกระบี่นั้นแตกออก
หวังอี้กระอักเลือดมาคำหนึ่งก่อนกระเด็นออกไป ร่างเหมือนกับว่าวเชือกขาด ไปตกในค่ายของเขาเชียง กระแทกใส่สหายร่วมสำนักหลายคนที่จะเข้ามา ‘รับ’ เกิดฝุ่นดินฟุ้งกระจายขึ้น
หุบเขานิรันดร์เงียบสงัด
ปราณกระบี่แสงดาราเวียนวนก่อนจะหายไป ลอยล่องขึ้นฟ้าไป
หวังอี้หน้าขาวซีด ได้พวกศิษย์น้องที่อายุมากกว่าแต่มีศักดิ์ต่ำกว่าประคองเขาขึ้น สองแขนพาดบ่าสองคน สายตาจ้องหนิงอี้ที่อยู่ไม่ไกล
หนิงอี้เก็บหมัดนั้นแล้วก็ยืนตัวตรง ชุดคลุมโบกสะบัด ใบหน้านิ่งเฉย สองมือยกกระบี่เรียวยาว กำลังพิจารณามองอย่างละเอียด
นั่นคือปราณนิรันดร์ของหวังอี้!
กำปั้นเขายังมีความเป็นเทพกับแสงดาราไหลเวียนราวกับหยกขาว ไม่เห็นร่องรอยบาดเจ็บใดๆ เลย
“หนิงอี้ เจ้า!” เซียนกระบี่น้อยอายุสิบสี่ปีโดนหนิงอี้ทำลายสามดอกบัวเหนือศีรษะถึงสองครั้ง ตอนนี้ทะเลสาบจิตปั่นป่วนถึงที่สุด อยากจะรวมพลังให้มากกว่าก็ทำไม่ได้ กระบี่ประจำตัวนั้นที่ตนลำบากฝึกฝนในเชาเชียงซานถูกหนิงอี้ใช้สองนิ้วมือทาบทาบนตัวกระบี่ ตัดขาดสัมพันธ์อย่างง่ายดาย เหมือนกับถูกฟ้าผ่า ถึงกับกระอักเลือดมาอีกครั้ง
หวังอี้ที่หน้าซีดขาวราวกับกระดาษจ้องหนิงอี้ ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมาแล้ว
“แพ้พนันก็ต้องยอมรับ” หนิงอี้เผยฟันขาวบริสุทธิ์ ยิ้มแป้น “เสียปราณนิรันดร์ไปเล่มเดียวไม่เท่าไรหรอก ได้ยินว่าเขาเชียงยังมีกระบี่อีกสามเล่ม รอเจ้าเอามโหฬาร คัมภีร์สงบและไร้อักษรมาก่อน ไว้ข้าจะเดิมพันกระบี่กับเจ้าใหม่ คนหนุ่ม แพ้ครั้งเดียวไม่น่ากลัวหรอก กลัวว่าจะเสียความกล้าครั้งต่อไปมากกว่า ยิ่งแพ้ยิ่งกล้า ยิ่งแพ้ยิ่งสู้ ข้าจะรอเจ้าชนะเอาสมบัติเขาเชียงกลับคืนไป”
ผู้บำเพ็ญเขาเชียงต่างมีสีหน้าไม่พอใจ หนิงอี้เห็นแบบนั้นก็ไม่กลัวเลย แต่พูดเนิบนาบ “อะไรกัน พวกเจ้าก็ไม่ยอมรับรึ อยากลองกันรึ อยากเดิมพันกระบี่กับข้า พวกเจ้าก็เอาปราณนิรันดร์เล่มที่สองออกมาสิ”
หนิงอี้ชี้มือไปที่หวังอี้ จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าพวกเจ้าคงเอาออกมาไม่ได้สินะ แต่ข้าคนนี้ไม่มีข้อดีอะไร มีแค่ความดีที่ถือว่าพอตัวเป็นชื่อเสียงของข้า มีคำกล่าวว่า ‘การศึกษาไม่มีแบ่งแยก’ ถ้าจะเรียนวิชาปราณกระบี่กับข้า เอากระบี่มีชื่อออกมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอาไข่มุกตะวันคร้านพันปีมาสักเม็ด ก็ใช่ว่าจะตรึกตรองให้ไม่ได้”
ผู้บำเพ็ญเขาเชียงหลายคนโกรธจนควันออกจมูก อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่ภายนอกดูน่าเกรงขามคนนี้เป็นหมาป่าสวมหนังแกะ ทำชั่วเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว ตอนนั้นในพิธีศพหลังเขาสู่ซาน เขาเชียงเองก็โดนถูกขู่กรรโชกไปด้วย
ศิษย์หญิงของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวหัวเราะ
อ้อยอิ่งมองหนิงอี้ รู้สึกว่าคนนี้ยิ่งมองยิ่งถูกชะตา ถึงกับปิดปากกลั้นขำไว้ไม่ได้ ศิษย์หญิงหลายคนรอบกายต่างมองหน้ากัน มองเห็นความหมายลึกซึ้งนั้นในแววตากันและกัน
ท่านหญิงพิณไม่ได้ขำมานานมากแล้ว นางแบกรับภาระหนักของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว หลังท่านเจ้าสำนักทะลวงพลัง ทุกครั้งที่ศิษย์พี่หญิงเจอและสนทนามรรคกับคุณชายหนิงอี้ สภาพจิตใจจะปล่อยวางขึ้นเล็กน้อย แม้แต่อารมณ์ยังดีขึ้นด้วย
อ้อยอิ่งพลันเห็นเงาเรียวยาวถูกหนิงอี้ปาเข้ามา
นางรับกระบี่ยาวนั้นไว้ ยกด้วยสองมือ เวลานี้ตกใจเล็กน้อย เหม่อมองหนิงอี้
“อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยของสำนักศึกษามีบุญคุณกับข้า ข้ามีพินิจเหมันต์แล้ว ปราณนิรันดร์เล่มนี้ฝากให้ท่านหญิงพิณส่งให้อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยด้วย” หนิงอี้หมุนตัวกลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม “อักษรแถวนั้นที่แขวนสูงอยู่สองด้านของถ้ำเขาเชียง ปราณเพาะบ่มมโหฬารนิรันดร์ อ่านคัมภีร์ไร้อักษรสงบ ได้ยินว่าในนั้นซ่อนมหามรรคปราณกระบี่ที่หายากไว้ ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าท่านหญิงสุ่ยเยวี่ยอยากจะศึกษาด้วยตนเอง วันนี้ก็เอาปราณนิรันดร์เป็นน้ำใจแทนไปก่อนแล้วกัน”
อ้อยอิ่งมองหน้าอี้ก่อนก้มหน้าลง พยักหน้าช้าๆ
“เดิมพันกระบี่ แพ้เดิมพันก็ต้องยอมรับ ข้าชนะแล้ว ถึงได้เอาปราณนิรันดร์ไป ทุกคนใต้หุบเขานิรันดร์เป็นพยานได้” หนิงอี้หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับค่ายเขาเชียง ก่อนเอ่ยเรียบๆ “ถ้าไม่ยอมรับก็มาสู้กันอีก เสียปราณนิรันดร์ไปเล่มเดียวมันจะเท่าไรกัน”
หยวนหลินเห็นผู้บำเพ็ญเขาเชียงหน้าเขียวปัดแล้วก็กลั้นขำไว้ไม่ได้
หนิงอี้ปรายตามองไปทางจวนขานฟ้าทีหนึ่ง ก่อนหันหน้าหากองกำลังเขาเชียงและพูดด้วยรอยยิ้ม “หนวดมังกร อักษรเต่าและรุ้งขาวก็อยู่ที่ข้า เจ้าดูพวกเขาสิ ยังยิ้มมีความสุขกันได้อยู่เลย”
หยวนหลินรอยยิ้มแข็งค้างทันควัน
หนิงอี้ที่ปัดฝุ่นตามตัวมองหุบเขานิรันดร์ กวาดสายตามองไปรอบหนึ่ง ไม่ใช่แค่เขาเชียง แต่ยังมีอัจฉริยะแดนบูรพาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมานานแต่ก็ไม่เคยพบหน้ากันพวกนั้น
มีเทพหยินเขาล่องโอฬารในชุดคลุมดำขาลอยขึ้นจากพื้น
มีเทพหยางหนุ่มที่เป็นเมถุนแห่งเขาล่องโอฬารเหมือนกัน ลักษณะท่าทางแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นชุดคลุมขาวประทับดวงตะวันใหญ่สีแดงนั้น
และยังมีกายวิญญาณอมตะที่สวมหน้ากากเงินและซ่อนพลังไว้ภายในนั้น
หนิงอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “ยังมีใครอีก”
…………………………