เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 196 หนึ่งที่หายไป
ตอนที่ 196 หนึ่งที่หายไป
“หนิงอี้พูดน่าสนใจ…”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของเทพหิมะซีเหมินกับเจ้าเกาะเมฆาขาว” ฆราวาสเขาเสียวซานพูดด้วยรอยยิ้ม “ยอดผู้บำเพ็ญที่แบกรับมรดกสายเลือดมังกรโบราณคนนั้น นอกจากศึกตัดสินบนยอดหุบเขานิรันดร์แล้ว ยังเขียนเรื่องราวน่าสนใจอีกหลายเรื่อง”
“ศึกตัดสิน…” คนเฝ้าหุบเขายืนกลางหมอก พูดซ้ำเสียงเบา “บนยอดหุบเขานิรันดร์รึ”
“อ้อ…ดูท่าเจ้าคงไม่รู้”
ฆราวาสเขาเสียวซานหรี่ตาลง เล่าเรื่องให้ฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายเอ่ยราบเรียบ “บทสรุปของเรื่องนี้คือคนนอกทะเลที่คิดจะชิงบัลลังก์ทำศึกตัดสินสุดท้ายกับศัตรูเก่า จากนั้นก็ตายลงที่หุบเขานิรันดร์”
คนเฝ้าหุบเขาเหมือนจะยิ้ม
คนเฝ้าหุบเขาออกความเห็น “น่าสนใจ”
“กระบี่ของพวกเขาสองคนมีชั้นเชิงสูงมาก” ฆราวาสเขาเสียวซานพูดปลงเสียงเบา
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอกับหนิงอี้” เขามองหมอกทางนั้นพลางพูดเสียงนุ่มนวล “ข้าว่าเขาใช้ได้เลย แต่ก็ยังไม่ดีพอ หากถึงตอนนั้นออกกระบี่ได้เร็ว แม่นยำและโหด เหมือนกับเซียนทะยานนอกฟ้า กระบี่เดียวปลิดชีพได้จะดีกว่านี้”
สวีชิงเยี่ยนมองเงาคนเฝ้าหุบเขากลางหมอกข้างกายฆราวาสเขาเสียวซาน
คนเฝ้าหุบเขาก็มองนางเช่นกัน
นางพลันรู้สึกว่าข้างกายตนเงียบลงมาก
ฆราวาสเขาเสียวซานคลายปางมือในแขนเสื้อ เขาทำการตัดการได้ยินของสวีชิงเยี่ยนทั้งหมด เขาจะคุยกับคนเฝ้าหุบเขา
“หุบเขานิรันดร์จะปิดแล้ว ข้าเลยพานางมาดูหน่อย” ฆราวาสชุดขาวพูดด้วยรอยยิ้ม “นางกำลังจะก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญ นี่จะเป็นผู้บำเพ็ญความเป็นเทพที่สมบูรณ์แบบกว่าฝูเหยา”
คนเฝ้าหุบเขาเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไร
“ตอนแรกข้าคิดว่าถึงเจ้าจะอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ก็ต้องเฝ้าหุบเขานิรันดร์ ไม่ใช่คนทางโลกแล้ว” ฆราวาสเขาเสียวซานจ้องคนเฝ้าหุบเขา อยากจะมองอะไรบางอย่างจากในหมอกที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดคลุมดำนั้น เขาพูดอย่างจริงจัง “แต่เห็นใบหน้านี้แล้ว เจ้ายังคงมีความรู้สึก”
คนเฝ้าหุบเขากลับมาในสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว เขาตอบอืมเบาๆ
สองมือคนเฝ้าหุบเขาที่สอดในแขนเสื้อนั้น ปลายนิ้วจิกฝ่ามือตนเงียบๆ จิกลึกลงไป
เขาเอ่ยนิ่งๆ “นี่เป็นคนที่งดงามมาก”
ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้ม “ไม่มีอย่างอื่นที่อยากจะพูดรึ”
คนเฝ้าหุบเขาส่ายหน้า “นางต่างกับฝูเหยาแห่งเขาลั่วเจีย ความเป็นเทพของฝูเหยาคือพรและของขวัญจากสวรรค์ แต่ความเป็นเทพของนางคือยาพิษ”
“ไท่จงส่งนางมาให้ข้าชี้แนะ” ฆราวาสเขาเสียวซานพูดเสียงเบา “เขาขาดเพียงก้าวสุดท้าย เขาต้องการความเป็นเทพมหาศาลแล้วก็ตัวชี้นำ ในตัวเด็กสาวคนนี้มีสิ่งที่เขาต้องการ”
คนเฝ้าหุบเขายิ้ม “ยอดหุบเขานิรันดร์ก็มีสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน”
ศิลาหินบุพกาลก้อนนั้นต้องใช้เคลื่อนบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ เป็นสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลย
“ธารใหญ่มีห้าสิบ เขาใช้ไปสี่สิบเก้า หายไปหนึ่ง อิสระอยู่นอกฟ้าดิน ไม่อยู่ในปัญจธาตุ”
ฆราวาสเขาเสียวซานเอ่ยเสียงเบา “สายเลือดราชวงศ์ไม่อาจเป็นอมตะได้ หกร้อยปีมานี้ไท่จงตามหา ‘หนึ่งที่หายไป’ มาตลอด เขาเจอเด็กสาวคนนี้ที่ภูเขาแดง ตอนนี้ตั้งใจฟูมฟัก รอตอนที่เขาต้องการก็จะได้หยิบ ‘หนึ่ง’ นั้นมาเติมเต็ม”
“เขาอดทนเก่งมาก กล้าหาญมาก” คนเฝ้าหุบเขาเอ่ยเสียงต่ำ “เขายังรอผลสุกงอม เช่นนั้น ยังต้องรออีกนานเท่าไร”
“อีกไม่นานแล้ว” ฆราวาสเขาเสียวซานยิ้มสบายใจ ก่อนเอ่ยอย่างเฉยเมย “ซ่งเชวี่ยกับกูอีเหรินได้เห็นศึกนั้นของเขากับปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณในที่ราบสูงเทพสวรรค์แดนอุดร”
ศึกนั้น ต้าสุยมีหลายคนให้ความสนใจ
ฆราวาสเขาเสียวซานพ่นมาสามคำ
“เขาชราแล้ว”
คนเฝ้าหุบเขาหันหน้าช้าๆ มามองบุรุษชุดขาว
“ข้ารู้ว่าหุบเขานิรันดร์ปลอดภัยมาตลอด มีความปลอดภัยสูงสุด ดังนั้นข้าถึงได้พูดเรื่องพวกนี้ได้” ฆราวาสเขาเสียวซานมองไปนอกหมอกตลอด เขากำลังมองการต่อสู้ของนักกระบี่หนุ่มสองคนข้างนอก ก่อนพูดเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “หูตาของจักรพรรดิคือกรมข่าวกรอง สองมือคือกรมผู้คุมกฎ แขนสองข้างคือสำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธ ทว่าตอนนี้ดูแล้ว เขาแก่ชราลง อวัยวะในร่างกายไม่เปล่งแสงสว่างอีก บางครั้งเขาก็มองไม่เห็น บางครั้งก็ไม่ได้ยิน บางครั้งยื่นมือออกมาก็ไม่ฟังคำสั่ง”
“มองไม่เห็นไม่เท่าไร มองผิดคนต่างหากที่พลาดใหญ่หลวงที่สุด” คนเฝ้าหุบเขาเอ่ยราบเรียบ “เขาไม่ควรให้เจ้าเข้าวัง”
ฆราวาสเขาเสียวซานยักไหล่ “ข้าต่อไฟนิพพานมาร้อยเจ็ดปีแล้ว เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ในฝ่ายพุทธไม่มีใครรู้ว่าภพก่อนข้าเป็นใคร แม้แต่ซ่งเชวี่ยก็ยังไม่รู้ ข้าว่าเขามองไม่ผิดคนหรอก…อีกอย่าง เขาเหมือนจะมองออกแล้ว”
คนเฝ้าหุบเขามองบุรุษชุดขาว
ในดวงตาฆราวาสเขาเสียวซานมีความเคร่งขรึมเล็กน้อย เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้เป็นการคัดเลือกในประวัติศาสตร์ต้าสุย จักรพรรดิที่ทัดเทียมกับพระโพธิสัตว์เก่าแก่ฝ่ายพุทธได้พวกนั้น มีกำลังรบเป็นหนึ่งในพันปี ก็ไม่เห็นเคยต้องแบกรับภาระเช่นนี้มาก่อน ดาบทวนกระบี่ง้าวแทงใส่เขาทั้งทางมืดและทางสว่าง หรือเขาจะไม่สนใจเลยสักนิดหรือ”
คนเฝ้าหุบเขาไม่พูดอีก
เกิดความคิดซับซ้อน
ฆราวาสเขาเสียวซานถอนหายใจเบา ก่อนจะคลายมุทรากั้นเสียง
……
สวีชิงเยี่ยนใช้สมาธิทั้งหมดไปกับภาพข้างนอก
ศึกข้างนอกนั่น สู้กันสั่นสะเทือนไปทั้งยอดหุบเขานิรันดร์ พลังของคนเฝ้าหุบเขากดต้นไม้และดอกไม้บนยอดเขาไว้ หนึ่งชุดคลุมดำ อีกหนึ่งชุดคลุมขาว ต่างปะทะกันแล้วก็แยกออก
กระบี่ยาวสองเล่ม ปราณกระบี่มหาศาล
ข้างนอกคึกคัก
ข้างในเงียบสงบ
สวีชิงเยี่ยนพลันได้ยินเสียงถอนหายใจ
มุทรากั้นเสียงคลายออก
เส้นผมกระจุกหนึ่งร่วงลงมา
ฆราวาสเขาเสียวซานยื่นมือมารับเส้นผมยาวกระจุกนั้นไว้
“ขอยืมผมเจ้ากระจุกหนึ่ง”
ฆราวาสเขาเสียวซานมองสวีชิงเยี่ยนด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งวันหลังจากนี้ไม่นาน เจ้าจะขอบคุณข้า”
……
เกิดเสียงดังปัง
เหมือนค้อนหนักฟาดเส้นเหล็ก เกิดเสียงดังกังวานหนักหน่วงยิ่ง
หลิ่วสืออีกระเด็นไปข้างหลัง มือข้างหนึ่งจับด้ามกระบี่ อีกมือสองนิ้วชิดกัน ลูบผ่านจากคมกระบี่ เกิดสะเก็ดไฟเย็นเยือกขึ้น ตัวเขาเหยียบหินภูเขาถอยไปหลายก้าว จากนั้นยืนอย่างมั่นคง พ่นลมหายใจขุ่นออกมา
กระบี่นี้ของหนิงอี้มาจาก ‘เจตจำนงกระบี่หนัก’ ของราชันดาราท่านหนึ่งในศิลากระบี่หุบเขานิรันดร์ ต่างจากกระบี่ฟาดเล็กน้อย กระบี่หนักไม่ได้เน้นกำลังป่าเถื่อน แต่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างพอดีเหมาะเจาะ จุดนี้มีความคล้ายกับเชือกสองเส้นบนกระบี่ท่องหล้า หนึ่งเบาหนึ่งหนัก หนึ่งเร็วหนึ่งช้า ให้ความสำคัญกับการแทงโดนและต้องให้เจ็บ
การต่อสู้ของปราณกระบี่ดำเนินไปหลายร้อยครั้ง บนยอดหุบเขานิรันดร์ในระยะครึ่งลี้ถูกปราณกระบี่กวาดล้างสิ้นซาก หมอกสลายหายไปนานแล้ว
พลังของหลิ่วสืออีไม่มั่นคงนิดๆ
หนิงอี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าหลิ่วสืออีเท่าไร
หลังหมอกกระจาย สองคนก็อยู่ห่างกันหลายฉื่อ
ฝนซาลงทีละนิด
หน้าอกหลิ่วสืออีที่นูนขึ้นมา ตอนนี้ดังกึกก้องช้าๆ จากนั้นหุบแขนเสื้อเข้ามา
เขามองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “ล่วงเกินแล้ว”
หนิงอี้หรี่ตาลง
มีร่างเงาพุ่งออกมา ไม่ทันตั้งตัวเลย
พลันเกิดแสงเย็นเยือกขึ้นบนยอดหุบเขานิรันดร์
จากนั้นเลือดสาดกระจาย
……………………………