เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 185 ปราณนิรันดร์เขาเชียง
ตอนที่ 185 ปราณนิรันดร์เขาเชียง
หนิงอี้หยุดชะงัก ไม่ใช่เพราะเขาถูกหวังอี้ยั่วโมโห
ในทางตรงข้าม
แต่เขามองข้ามหวังอี้ไปแล้ว หลอมรวมเข้าสู่สภาพแวดล้อมโดยรอบ
หนิงอี้เพ่งมองหมอกในหุบเขานิรันดร์ตาไม่กะพริบ เค้าโครงตัวภูเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็สว่างขึ้น จนกระทั่งเผยความละเอียดอ่อน ในระหว่างนั้น หนิงอี้อดนึกถึงเศษเสี้ยวที่จะปรากฏมาในความคิดเป็นบางครั้งตอนปิดด่านบำเพ็ญในลานบ้านก่อนหน้านี้ไม่ได้
บนเขาหุบเขานิรันดร์วางศิลาหินของปรมาจารย์มากมายในต้าสุยมาไม่รู้กี่ปีแล้ว
การจะก้าวขึ้นหุบเขานิรันดร์จะต้องแบกรับแรงกดดันเจตนารมณ์ที่ซ่อนอยู่ พวกนี้คือจิตวิญญาณที่คนใหญ่คนโตหุบเขานิรันดร์ฝากเอาไว้มาไม่รู้นานเท่าไร จะให้ศิลาหินคงอยู่ต่อไปตลอดกาลได้ก็ต้องแกะสลักจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งพอ
ดังนั้นคนที่เดินขึ้นหุบเขานิรันดร์ไปได้ไกลมากล้วนเป็นคนที่มีเจตนารมณ์ที่แข็งแกร่งยิ่ง
เคียงกระบี่เคยบอกกับตนว่าในที่ที่แทบจะไม่มีใครขึ้นไปถึงยอดหุบเขานิรันดร์ได้นั้นมีศิลาหินบุพกาลก้อนหนึ่ง ศิลาหินนั้นสืบทอดมาจากจักรพรรดิองค์แรก ศิลาหินบุพกาลนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ในการนั่งบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ตอนจักรพรรดิต้าสุยทุกองค์ขึ้นครองราชย์
เช่นนั้นคำถามมาแล้ว…
จักรพรรดิต้าสุย ทุกท่าน ทุกรุ่น ในกาลเวลาที่เนิ่นนาน ล้วนมีเจตนารมณ์ที่แข็งแกร่งพอจะขึ้นไปถึงยอดเขาได้หรือ
ในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของใต้ฟ้าต้าสุย มีผู้มีแสงสว่างเบิกฟ้าอย่างเช่นจักรพรรดิองค์แรก และก็มีคนน่าสะพรึงอย่างฝ่าบาทไท่จง แต่ขณะเดียวกันก็มีทรราชที่ธรรมดายิ่ง ทรราชผู้อำมหิตแต่ไร้ความสามารถ กระทั่งมีทารกที่ถูกบีบบังคับให้ครองราชย์
พวกเขาล้วนขึ้นไปบนยอดหุบเขานิรันดร์ได้ทั้งหมดจริงหรือ
หนิงอี้ใช้จิตสัมผัสหมอกหุบเขานิรันดร์ หมอกพวกนี้เป็นปราการอย่างหนึ่งจริงๆ ประตูบานนั้นมีเพลิงดาราลุกโชน หากเข้าไปจากประตูบานนั้นก็ต้องรับการชะล้างจากเจตนารมณ์ของคนเฝ้าหุบเขา…หนิงอี้ยืนหน้าประตูนั้น ยืนตัวตรง แต่ไม่มีท่าทีจะก้าวเข้าไปเลย
เขาเพียงแค่คิดต่อตามความคิดของตน สืบค้นลงไปเรื่อยๆ
‘เหล่าจักรพรรดิ’ พวกนั้นขึ้นสู่ยอดเขาได้…เพราะสายเลือดที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งหรือ
ไม่ ไม่ใช่แน่ ราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรเมื่อสองพันปีก่อนเป็นข้อยกเว้น
หนิงอี้มองประตูบานนั้นพลางเข้าสู่ห้วงความคิด
เขาเห็นร่างเงาที่โดดเดี่ยวมากนั่งอยู่ตีนหุบเขานิรันดร์ คนนั้นหันหลังให้ตน ใบไม้กองบนตัว เหมือนมองดูศิลาหินเงียบๆ
กำลังตระหนักรู้อะไรบางอย่าง
คนนั้น…เหตุใดถึงไม่ขึ้นเขา
“ปราณนิรันดร์เล่มนี้ ตอนแรกว่าจะเก็บให้หลิ่วสืออี ไม่มีนักกระบี่คนใดปฏิเสธศึกการเดิมพันกระบี่ได้” หวังอี้จ้องหนิงอี้ เสียงเขาดังกึกก้องกลางหมอกฝนหุบเขานิรันดร์ “เจ้าบ้านั่นนั่งในหุบเขานิรันดร์มาสิบวันแล้ว มาคนแรก ดูท่าก็คงจะไปคนแรก ดีมาก…เจ้าเองก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว ข้าจะทำให้เจ้าไปสบายเอง!”
เมื่อเอ่ยจบ หวังอี้พลันเคลื่อนไหว
เขาไม่ได้ชักปราณนิรันดร์ แต่มาอยู่ข้างหลังหนิงอี้ในชั่วพริบตา ก่อนจะฟันฝ่ามือลงมาเหมือนดาบ
ละอองน้ำเต็มฟ้ารวมขึ้นข้างหลังหนิงอี้
หนิงอี้ที่กางร่มกระดาษมันไม่หันกลับมา แต่กระทืบเท้าเบาๆ หยดน้ำบนพื้นก็ถูกดีดขึ้นมา
ดาบมือวาดเป็นเส้นโค้งยาว
ละอองน้ำสองสายถูกฟันแตกเป็นเสี่ยงๆ หนิงอี้ถือโอกาสโผไปข้างหน้าก่อน ใต้ฝ่าเท้ากลับแนบชิดกับพื้น ใบไม้ร่วงรวมเข้ามาเหมือนพายุหมุน วนเวียนรอบตัวหนิงอี้ ร่มกระดาษมันนั้นไม่อยู่ในสภาพกางออกอีก คมกระบี่สีขาวไม่ได้หมุนออกมา แต่กลับมีปราณกระบี่ยิ่งใหญ่ไม่อาจขวางได้
ปลายกระบี่กดกับพื้น
หนิงอี้กระโดดขึ้นเล็กน้อย งอเข่าเหยียบหยดน้ำหยดหนึ่ง อาศัยแรงที่เบายิ่งพลิกตัวไปข้างหน้า พุ่งเอียงไปด้านข้าง
หยดน้ำนั้นเหมือนถูกปลายรองเท้าหนิงอี้สะบัดใส่ มันกระเด็นต่อไปข้างหน้า
‘ปราณนิรันดร์’ ฟันหยดน้ำนั้นขาดเป็นสองส่วน เซียนกระบี่น้อยถือกระบี่ยาวพุ่งเข้ามาเหมือนจะทำลายล้างทุกสิ่ง แววตามืดมน จ้องเพียงแค่หนิงอี้
สองคนไล่หลังกัน หมอกหุบเขานิรันดร์เหมือนสัมผัสได้ ปราณกระบี่ผ่านไปที่ใด หมอกจะกระจายเป็นเสี่ยงๆ
หนิงอี้ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการครุ่นคิดถึงคำถาม เมื่อเผชิญหน้ากับปราณกระบี่ของหวังอี้ เขาจึงใช้กระบี่ซ่อนของท่านเผยหมินตามจิตใต้สำนึก
หายใจเข้าและออก กุมฟ้าดินลับๆ
สามพันมหาโลก ล้วนเป็นกระบี่ซ่อน
หยดน้ำก็เป็นกระบี่ซ่อนได้ ใยดอกฝ้ายก็เป็นกระบี่ซ่อนได้ ไม้แห้งก็เป็นกระบี่ซ่อนได้ เศษหญ้าก็เป็นกระบี่ซ่อนได้
หนิงอี้พุ่งตัวไปข้างหลัง ปลายเท้ากดพื้นไม่หยุด ทุกการกดพื้น ตัวจะเหมือนลูกธนูออกจากคันศร เร็วขึ้นเรื่อยๆ ละอองน้ำ หมอก เศษหญ้าและกิ่งไม้แห้งกระจายเต็มฟ้าไหลมารวมกัน
หวังอี้ที่มีเพียงปราณนิรันดร์เล่มเดียวพลันรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง
การต่อสู้ของสองคน อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่หุบร่มกระดาษมันและถอยไปนั้น ไม่ว่าตนจะโจมตีอย่างไรก็ไม่ยอมสวนกลับ ในช่วงเวลาสำคัญ น้ำหยดหนึ่งกับเศษหญ้าชิ้นหนึ่งยังรับกระบี่ของตนได้
สู้ถอยกันอยู่เช่นนี้ เหมือนกำลังเล่นหมาก หมอกและเศษหญ้ากระจายเต็มฟ้าค่อยๆ รวมเป็นพลังยิ่งใหญ่ ยิ่งตนโจมตีมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าใจความคิดอีกฝ่าย
ในสิบกว่าลมหายใจที่ไล่ตามกัน หวังอี้ไม่ได้ใช้ปราณกระบี่ของตนเลย หนิงอี้ก็ไม่ได้ชักพินิจเหมันต์ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางสู้อย่างเต็มที่ได้ แต่ตอนนี้ดูแล้ว นี่จะเอาเขามาขัดเกลาวิถีกระบี่ตัวเองรึ!
หนิงอี้เงยหน้าขึ้นเห็นแววตาของหนิงอี้ ในดวงตาสีดำนั้นสว่างขึ้นมาทีละนิด
หัวมังกรยักษ์งดงามเต็มไปด้วยสีสันก่อร่างขึ้นแล้ว ใช้ชุดคลุมดำสองตัวเป็นดวงตา
เซียนกระบี่น้อยพลันรู้สึกได้ถึงตรงนี้ ก็เกิดการเตือนขึ้นในใจ
“นี่เขาจะ…สังหารมังกรยักษ์!”
ปลายเท้าพลันหยุดนิ่ง
หนิงอี้ยกนิ้วมือขึ้นชี้หวังอี้
หุบเขานิรันดร์เริ่มมีหมอกหนาขึ้น ภายใต้ดรรชนีนี้ มันถูกปราณกระบี่เหนี่ยวนำและเริ่มสั่นสะเทือนขึ้น
เกิดเสียงดัง ‘วิ้ง’
หนิงอี้หยุดอยู่ที่ปราณกระบี่ขั้นสอง ตระหนักรู้อยู่ตลอด…เขาพบว่าปราณกระบี่ขั้นสองของตนเหมือนจะต่างจากคนอื่น วัดกันที่อานุภาพสังหาร ตอนที่ตนอยู่ขั้นหนึ่งก็สู้กับขอบเขตที่เจ็ดได้ วิชากระบี่ซ่อนของขั้นสองก็ยังแค่พื้นฐาน แต่หนิงอี้มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง
ตนเอาชนะผู้บำเพ็ญขอบเขตที่แปดได้สบาย!
นี่คือความแกร่งของวิชากระบี่ซ่อนหรือ หนิงอี้ยังไม่เคยศึกษาลงลึกวิชาลับนี้ ตั้งแต่เขาทะลวงขอบเขตที่เจ็ด ถึงขั้นไม่เคยส่องดูภายในร่างกายตัวเองในระดับลึกเลยด้วยซ้ำ
ทันทีที่หนิงอี้สำแดงวิชาคุมกระบี่ดรรชนีสังหารลงตรงตีนหุบเขานิรันดร์ ปราณกระบี่มากมายก็วนเวียนเข้ามา ชุดคลุมดำสองตัวพลันแยกออกจากกัน หนิงอี้มาอยู่นอกมังกรหมอกยาว เศษหญ้าและไม้แห้งที่หมุนม้วนเข้ามาห่อหุ้มปราณกระบี่ที่เหมือนมีและไม่มีของตน
แสงสว่างในดวงตาเขาไม่ใช่แค่เพราะเขาตระหนักรู้แก่นสำคัญของวิชาคุมกระบี่ดรรชนีสังหาร
หนิงอี้ยังอยากเข้าใจหลักการหนึ่ง
เขามองประตูเพลิงดาราลุกโชนของหุบเขานิรันดร์นั้น เพ่งสายตามอง หลังออกจากพื้นที่หมอกก็ไม่หันกลับมามองผลงานของดรรชนีนี้ของตนอีก
……
หยดน้ำปกคลุมมืดฟ้ามัวดิน
ใยดอกฝ้ายและใบไม้
เซียนกระบี่น้อยหวังอี้ที่อยู่ในนั้นเหมือนตัวจมดินเลน ก้าวเดินหน้าไปได้ยากมาก เป็นอย่างที่ตนคิดจริงๆ หนิงอี้ล่อให้ตนออกกระบี่เรื่อยๆ สั่งสมปราณกระบี่ สุดท้ายสังหาร ‘มังกรยักษ์’ ทิ้ง หมอกพลันแผ่กระจายเข้ามา ชุดคลุมดำนั่นพ้นจากสายตาตน พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หวังอี้พ่นลมหายใจเบา เขากำลังตึงเครียด ระวังตัวอยู่กลางหมอกตลอดเวลา ไม่รู้ว่าหนิงอี้จะออกกระบี่ปลิดชีพมาจากที่ใด
ปราณนิรันดร์ผ่านไปที่ใด หยดน้ำจะถูกฟันแตก เศษหญ้าถูกตัดขาด ใยดอกฝ้ายผลิบาน หมอกสงบนิ่ง
ปราณกระบี่มีเวลาหมด
สิ่งที่ทำให้หวังอี้รู้สึกเหลือเชื่อคือนักกระบี่จากเขาสู่ซานนั่นมีคุณธรรมยิ่ง ไม่ได้ออกกระบี่ลอบโจมตี หลังสังหารมังกรยักษ์ก็ปล่อยให้ตนสำแดงเจตจำนงกระบี่ฝ่าออกไปจากโลกปราณกระบี่
และที่ทำให้หวังอี้คาดไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นคือตอนที่เขาถือปราณนิรันดร์ก้าวออกมาจากหมอกด้วยสภาพน่าสงสารสามส่วนนั้น ทั้งหุบเขานิรันดร์ว่างเปล่า ไม่มีใครเลย
หวังอี้มองไปรอบๆ ประตูกลางหมอกบานนั้นยังคงมีเพลิงดาราอุ่นๆ ลุกโชน แต่กลับไม่มีร่องรอยแสงดาราของหนิงอี้…เขาไม่ได้ไปทางนี้หรือ
เซียนกระบี่น้อยงุนงงเล็กน้อย
เขาเงยหน้าปักปราณนิรันดร์ลงพื้น หยดน้ำฝนบนฟ้าตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเขามีความมืดมนสามส่วน สองมือกดด้ามกระบี่เป็นตัวกากบาท ปากพ่นลมหายใจยาว
“ปราณนิรันดร์เขาเชียง เป็นกระบี่ดี”
หวังอี้พลันตื่นตัวขึ้น เขาหมุนตัวกลับมาก็พบว่ามีหญิง ‘สุภาพโอนอ่อน’ ในชุดคลุมยาวสีขาวมาอยู่ตรงหน้าตนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
ไม่มีแม้แต่เสียงเลยหรือ
อ้อยอิ่งปิดหน้าด้วยผ้าบาง ใบหน้านางไม่มีความยินดียินร้าย สายฝนกับหมอกบางๆ ลอยขึ้นบนใบหน้านางเป็นแสงขมุกขมัว ไม่รู้ว่าได้พบอะไรในหุบเขานิรันดร์ ท่านหญิงใหญ่แห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวคนนี้ ซ่อนกลิ่นอายเฉียบคมในตัวไว้ ไม่เผยออกมาอีก แต่เก็บซ่อนไว้ข้างใน
“หวังอี้ เขาเชียงมอบกระบี่นี้ให้เจ้า เพราะหวังว่าเจ้าจะสืบทอดมหามรรคกระบี่ได้ ไม่ใช่ให้เจ้ามาขายขี้หน้าคนอื่น” อ้อยอิ่งมองเซียนกระบี่น้อยพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “หากเขาเชียงรู้ว่าเจ้าเอาปราณนิรันดร์มาเดิมพัน ทั้งยังแพ้เดิมพัน เจ้ารู้ผลที่ตามมาหรือไม่”
หวังอี้ได้ยินดังนั้นก็เหมือนจะได้สติขึ้นมาเล็กน้อย
เขายังอายุน้อยมาก ต่อให้ออกจากเขาเชียงก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของอัจฉริยะส่วนใหญ่ ดังนั้นเขาออกจากเขาเชียงมาถึงถือกระบี่ยาวไปท้าสู้สี่ทิศ ดูถูกพลังบำเพ็ญต่ำ ซ้ำยังเจอกับอุปสรรคไปทั่ว
หลังจากประมือกับหนิงอี้ เขาก็ได้เข้าใจว่าในบางความหมาย หากหนิงอี้รับการเดิมพันกระบี่ ตนแพ้ไปมากกว่าครึ่งแล้ว
หวังอี้ทำเสียงขึ้นจมูก ใช้สองมือกดกระบี่ยาว เอ่ยเสียงดังแต่ทุ้ม “เจ้าไม่ต้องมาเตือนข้าหรอก”
หญิงที่ยืนกลางสายฝนยิ้มอ่อนโยน “ได้ยินว่าเจ้ากำลังรอข้าออกจากหุบเขานิรันดร์อยู่รึ”
หวังอี้สูดลมหายใจเบาๆ นึกย้อนไปถึงการต่อสู้เมื่อครู่แล้ว เหมือนจะยังกลัวๆ อยู่
“เขาเชียงมี ‘มโหฬาร’ ‘ปราณนิรันดร์’ ‘ไร้อักษร’ ‘คัมภีร์สงบ’ กระบี่ยาวสี่เล่ม แต่สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวมีเพียง ‘พิณน้ำตก’”
อ้อยอิ่งที่แบกกล่องพิณโบราณปรายตามองเซียนกระบี่น้อยชุดคลุมดำที่ยังเยาว์วัยนั้น ก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย “หากเจ้าไม่กลัวหนิงอี้จนตาขาว ก็คงจะเอาปราณนิรันดร์ในมือเจ้ามาเดิมพันกับข้าแล้ว ข้าให้เจ้าสิบกระบวนท่า”
…………………………..