เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 183 ฝนตกหญ้าน้ำค้างงอ
ตอนที่ 183 ฝนตกหญ้าน้ำค้างงอ
ตีนหุบเขานิรันดร์
หวังอี้มีสีหน้าปั้นยากยิ่ง
การประชันระหว่างแดนบูรพากับสำนักศึกษาเหลือแค่เขาจริงๆ ที่ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะกับอ้อยอิ่ง
แต่หลิ่วสืออีกลับพูดตรงมาก อีกทั้งในนั้นยังมีกลิ่นของการเหยียดหยามสามส่วน…พลังบำเพ็ญเจ้าต่ำเกินไป ห่างไกลจากอ้อยอิ่ง เลยไม่กล้าสู้
หวังอี้ยื่นมือข้างหนึ่งไปข้างหลัง คว้าด้ามกระบี่ยาวสีดำไว้
กระบี่เรียวยาว ตอนที่ชักขึ้นก็ส่งเสียงมังกรน้ำเย็นสดชื่นขึ้น
หลิ่วสืออีเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้ามีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่เจ็ด ก็ไม่เอาเปรียบเจ้าอยู่แล้ว แต่ข้ารับรองได้ว่าหากเจ้าชักกระบี่ แค่สิบลมหายใจ เจ้าจะถูกข้าเตะออกจากหุบเขานิรันดร์”
หวังอี้จ้องหลิ่วสืออีเขม็ง เขาไม่ได้ปล่อยด้ามกระบี่
“ในหุบเขานิรันดร์ไม่มีกฎห้ามต่อสู้ ไม่ว่าบทสรุปเป็นอย่างไร แค่เจ้ากับข้าสู้กันที่นี่ก็จะเสียกำลังวังชาไป แล้วก็จะไม่มีหวังขึ้นไปบนยอดเขา” เซียนกระบี่น้อยเอ่ยอย่างเฉยชา “ข้ามีอนาคตที่ดีของข้า ไฉนต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนบ้าอย่างเจ้าด้วย”
หลิ่วสืออีทำเสียง ‘อ้อ’
เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็เชิญตามสบายเถอะ เจ้าดูศิลาของเจ้า ข้าดูภาพของข้า”
หวังอี้หน้าเปลี่ยนสีไป เขาหรี่ตาแคบลง ครั้งนี้ใช้วิชาเนตรของภูเขาเชียง ลองมองสิ่งที่หลิ่วสืออีเห็นต่างไปในศิลาหินนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องทำให้เขาผิดหวังอีกครั้ง
ศิลาหินนั้นธรรมดา ดูเก่าแก่และมีรอยแตกสามส่วน
ในนั้นไม่ได้แกะสลักลายเก่าแก่และลี้ลับอะไร ไม่มีสัญลักษณ์มหามรรค ไม่มีร่องรอยของปราณกระบี่เลย มีแต่ภาพธรรมดาไม่มีอะไรแปลก ลายเส้นก็ตรงไปตรงมา การวาดภาพนั้นธรรมดาถึงที่สุด เป็นเพียงภาพฝาผนังที่เห็นได้ตามชนบทต้าสุย
ต่อให้คนนั้นที่มองศิลาเป็นหลิ่วสืออี หวังอี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
เซียนกระบี่น้อยพูดอย่างเย็นชา “หลิ่วสืออี ข้าจำเจ้าไว้แล้ว รอข้าออกจากหุบเขานิรันดร์เมื่อไร เจ้ากับข้ามาสู้กัน!”
หลิ่วสืออีที่นั่งหน้าศิลาหินเหมือนนักบวชชราเข้าฌานอีกครั้ง ไม่สนใจหวังอี้อีก เศษหญ้าและใบไม้ร่วงที่ตกลงบนอาภรณ์ขาวของเขาถูกสายลมพัดหายไป เขาเหมือนหินเก่าแก่สูงตระหง่าน ทุกสายตาและแรงใจอยู่ที่ศิลาหินราบเรียบนั้น ยิ้มมุมปากเคลิบเคลิ้ม
ไอ้ตัวประหลาด
เจ้าคนบ้า
หวังอี้พลันรู้สึกว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวคนนี้มีความแปลกอย่างบอกไม่ถูกในสันดาน หรือว่านักกระบี่แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่จะเป็นเช่นนี้กันหมด แต่หลิ่วสืออีหาศิลาหินที่ไม่มีท่วงทำนองใดๆ เลย หันหน้าเข้ากำแพงครุ่นคิด แล้วอีกอย่างศิลาหินนี่มาจากที่ใดกัน
ได้ยินว่าหลิ่วสืออีมาถึงหุบเขานิรันดร์เป็นคนแรกก็นั่งอยู่ชั่วยามกว่า เพียงแค่มองภาพฝาผนังหยาบกร้านไม่มีอะไรแปลกเช่นนี้หรือ
หวังอี้ไม่เข้าใจปัญหาพวกนี้เลยไม่คิดถึงมันอีก
เขาไม่เอามือกดกระบี่อีก แต่แค่นเสียงขึ้นจมูกและเดินอ้อมไป ออกห่างจากหลิ่วสืออี ก่อนเดินหน้าไปตามเส้นทางศึกษาศิลาที่ดีที่สุดในความคิดตน
…….
ไม่นานนัก ก็มีบุตรศักดิ์สิทธิ์คนที่สองเข้ามาในหุบเขานิรันดร์
หลิงสวินแห่งเขาศิลาเต่า เขาขมวดคิ้วมองหลิ่วสืออีนั่งอยู่หน้าศิลาหิน เขาได้ยินว่า ‘ผู้ไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ด’ แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่แดนประจิมนั่งอยู่ตรงตีนหุบเขานิรันดร์นานมาก ก่อนก้าวเข้า ‘ประตู’ ก็เห็นเงาผลุบๆ โผล่ๆ กลางหมอก ตอนนี้มาถึงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
จ้องภาพฝาผนังที่ไม่มีท่วงทำนองใดๆ เหมือนคนปัญญาอ่อน
หลิงสวินไม่ได้พูด
หลิ่วสืออีก็ไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน
เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวนั่งลงตรงตีนเขาเช่นนี้ เขามองภาพฝาผนังนั้นอย่างเคลิบเคลิ้ม ปล่อยให้คนข้างกายเดินผ่านกันไปมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้สึกตัวเลย นอกจากเซียนกระบี่น้อยหวังอี้แล้ว คนอื่นไม่หันเหความสนใจของเขาเลย บุตรศักดิ์สิทธิ์และอัจฉริยะแห่งบูรพาต่างรู้สึกได้ถึงเจตจำนงกระบี่ของกระบี่ที่วางขวางบนตักหลิ่วสืออี ไม่มีใครอยากมีปัญหากับ ‘ผู้ไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ด’ คนนี้ก่อนขึ้นเขา เพราะการจะหาศิลาหินที่ตนถูกใจเป็นเรื่องที่กินแรงใจอย่างยิ่งยวด
ดังนั้นสถานการณ์น่าเหลือเชื่อนี้จึงคงอยู่ต่อไปใต้หุบเขานิรันดร์ตลอด
หลิ่วสืออีมองศิลาหิน ตรงบ่าเขามีเถ้าธุลีตกลงมาชั้นหนึ่งบางๆ
เขาไหวไหล่ เถ้าธุลีพวกนี้ลอยขึ้นเหมือนควัน ก่อนจะสลายหายไปในพริบตาต่อมา
ข้างหลังมีสตรีโผล่มาคนหนึ่ง
“คุณชายสืออี เจ้ากำลังมองอะไรอยู่”
หญิงแบกพิณยักษ์สวมชุดคลุมสีขาว นางมีผ้าบางปิดบังใบหน้า แต่ก็ยังเห็นถึงความงดงามระหว่างคิ้วและดวงตา
อ้อยอิ่งยืนข้างหลังหลิ่วสืออีมาพักหนึ่งแล้ว
นางเกิดความสนใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ…เหตุใดหลิ่วสืออีถึงไม่ขยับไปเลย เอาแต่หยุดอยู่ตรงตีนหุบเขานิรันดร์ มองภาพศิลาที่ไร้ท่วงทำนองเช่นนี้
“ข้ากำลังมองภาพหนึ่ง”
“นี่เป็นเพียงภาพธรรมดามาก เห็นได้ทุกที่”
“นี่เป็นภาพที่ธรรมดามากจริงๆ แต่ก็เห็นได้แค่ในหุบเขานิรันดร์”
“ก็ได้…” อ้อยอิ่งมีสีหน้าจำใจนิดๆ นางย่อตัวลง ลองทำความเข้าใจอีกหน่อย นางเห็นสองสิ่งที่อยู่ใกล้กันมากบนศิลาหิน เป็นนกกระจอกเหลืองตัวหนึ่งกับตั๊กแตนอีกตัว ไม่มีลายพู่กันที่แข็งแกร่งอะไรมาก และไม่ได้วาดภาพจนน่าเคลิ้มอะไรขนาดนั้น นางมองอะไรไม่ออกเลย
ดังนั้นอ้อยอิ่งจึงขอคำชี้แนะอย่างจริงจัง “เช่นนั้นเพราะเหตุใด”
นางมองไม่เห็นถึงความไม่ธรรมดาของมันเลย
“เพราะข้าชอบ” หลิ่วสืออียังคงจดจ่อสมาธิอยู่กับศิลาหิน เทียบกับคนอื่นแล้ว เขาอยากอธิบายให้อ้อยอิ่งฟังมากกว่า “ข้าชอบมองมัน ดังนั้นข้าเลยนั่งมองมันอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าศิลาหินนี้จะมีท่วงทำนองหรือไม่ จะอยู่ตีนเขา กลางเขาหรือบนยอดเขาก็ตาม”
อ้อยอิ่งถอนหายใจ
นางลุกขึ้นพูดด้วยความจริงจัง “สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวญาติดีกับตำหนักทะเลสาบกระบี่มาตลอด ต้องเตือนคุณชายสืออีหน่อย หุบเขานิรันดร์มีเวลาให้ไม่มาก มีหลายคนออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าน่าจะเป็นท่านหญิงใหญ่คนสุดท้าย คนจากแดนบูรพาแดนประจิมที่ควรมาก็มากันหมดแล้ว”
หลิ่วสืออีตอบอืมเสียงเบา
อ้อยอิ่งพูดต่อทันที “คุณชายสืออีแค่กำลังมองภาพหรือ”
หลิ่วสืออีตอบอืมเบาๆ อีกครั้ง
เขาพูดราบเรียบ “ข้ากำลังรอคน”
“รอใคร”
“รอคนที่ยังไม่มา”
อ้อยอิ่งเงียบลง
หลิ่วสืออีเอียงศีรษะ เขาเปลี่ยนมุมมองบนศิลาหิน มองนานขนาดนี้เขากลับไม่รู้สึกล้า แต่ในดวงตากลับมีความแวววาว “ข้าก็ไม่รู้ว่าข้ากำลังรอใคร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคนนั้นจะมาหรือไม่ มีอยู่จริงหรือไม่ และข้าจะได้พบเขาหรือไม่”
อ้อยอิ่งคลึงระหว่างคิ้วก่อนจะพูดขึ้น “หุบเขานิรันดร์เปิดมาหลายวันแล้ว การขึ้นเขาไปศึกษาศิลาปกติใช้เวลาแค่สิบสองชั่วยาม นานกว่านี้ จิตวิญญาณจะรับไม่ไหว…หวังอี้ออกจากหุบเขานิรันดร์แล้ว เขาเหมือนจะได้โชควาสนาไม่น้อยเลย ตอนนี้กำลังรอเจ้าออกจากหุบเขานิรันดร์ หลายคน คนที่ควรมาก็มากันแล้ว ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ คนนั้นที่เจ้ารอคงจะไม่มาแล้ว”
หลิ่วสืออีหลับตาลง
เขาเอ่ยราบเรียบ “รอต่อไป รอไม่ไหวก็ช่างเถอะ”
อ้อยอิ่งมองคนแปลกนี้ หลังจากหลับตา หลิ่วสืออีก็ไม่พูดอีก ดูท่าคงไม่คิดจะพูดอีกแล้ว ตอนนี้เขาไม่มองศิลา แต่เหมือนกำลังงีบหลับมากกว่า
ท่านหญิงพิณแบกกล่องพิณขึ้น รวบรวมสมาธิเดินขึ้นเส้นทางหุบเขานิรันดร์
……
หุบเขานิรันดร์เปิดมาเกือบสิบวันแล้ว
ดูจากระดับความหนาของหมอก ภูเขาสูงใหญ่ที่เดิมทีหมอกกระจายไปพอประมาณ ตอนนี้รวมตัวกันเข้ามาทีละชั้นอีกครั้ง อีกไม่นานหุบเขานิรันดร์จะปิดลง
บุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศักดิ์สิทธิ์และคุณชายใหญ่สำนักศึกษาที่เดินออกมาจากหุบเขานิรันดร์ต่างเริ่มปิดด่านบำเพ็ญ
มีเพียงเซียนกระบี่น้อยหวังอี้ที่ยังกอดกระบี่ยาว รออยู่ตรงตีนหุบเขานิรันดร์
ภายในดวงตาหวังอี้ไม่มีความเหนื่อยล้าเลย เขาเหมือนได้โชควาสนาที่ใช้ได้ในหุบเขานิรันดร์ ด้วยรากฐานของสำนักเขา ศิษย์พี่ ‘เซียนจุติ’ คนนั้นแห่งเขาเชียงทำให้เขาได้นำหน้าคนรุ่นเดียวกันไปก้าวใหญ่จริงๆ
หวังอี้กำลังรออยู่สองคน
หนึ่งคืออ้อยอิ่งท่านหญิงใหญ่แห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่เขาจะท้าสู้ด้วย
อีกคนคือนักกระบี่บ้าแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่นั่งอยู่ตรงตีนเขา
หวังอี้จ้องประตูแสงดาราลุกโชนนั้น
เงาเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวเลือนรางในหมอกนั้นยังคงนั่งอยู่หน้าศิลาหินนั้น ดูเหมือนเซียนบรรลุมรรคา สงบนิ่งสุขุม
“เขากำลังมองอะไรกันแน่”
ถึงตอนนี้หวังอี้ก็ยังไม่เข้าใจ
เกือบสิบวันแล้ว ไม่กินไม่ดื่ม ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตหลัง อย่างน้อยก็ต้องแสดงอาการเหนื่อยล้าบ้าง
แต่หลิ่วสืออีไม่เลย
เขาหันหน้าเข้าภาพฝาผนังที่ไร้ท่วงทำนองตลอดจริงๆ มองอยู่สิบวันสิบคืน ไม่กินไม่ดื่ม ไม่หลับไม่นอน
ถ้าบอกว่านั่นเป็นเพียงศิลาหินธรรมดา หวังอี้จะไม่เชื่อเลย
เขาพลันนึกถึงข่าวเมื่อสิบวันก่อน
หุบเขานิรันดร์หมอกกระจาย
เพลิงดาราจุดไฟขึ้นครั้งแรก
ตอนที่ประตูบานนั้นเพิ่งปรากฏ หลิ่วสืออีก็นั่งอยู่ในนั้นแล้ว
เพื่ออะไรกัน
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาที่มาถึงกลุ่มแรกยกเหตุผลทุกอย่างไปที่หลิ่วสืออีมีพลังบำเพ็ญสูงกว่าพวกเขา แต่ความจริงอธิบายไม่ได้…ประตูอยู่ตรงนั้น หลิ่วสืออีกลับอยู่ในประตู
หวังอี้ไม่เข้าใจนิดๆ
บนเขาเหมือนจะเกิดฝนตก เขตแดนหุบเขานิรันดร์เดิมทีมีหมอกหนา ฝนแผ่ขยายมาเร็วมาก โหมกระหน่ำเข้ามา
หวังอี้ที่กอดฝักกระบี่อยู่ขมวดคิ้วขึ้น
หญ้าน้ำค้างที่ปลิวไสวบนพื้นเหยียดหลังตรง ชี้ไปในทิศทางหนึ่งไกลๆ
เซียนกระบี่น้อยหวังอี้เกิดความรู้สึกขึ้นในใจ เขาหันไปมองทิศทางหนึ่ง ทางนั้นของเส้นทางภูเขาแคบยาวมีเด็กหนุ่มชุดคลุมดำมาเพียงลำพัง อาภรณ์ต่างกับคนอื่ร อาภรณ์ดำของอีกฝ่ายแนบชิดเนื้อ ปากกระบอกเสื้อตรงข้อมือมัดด้วยเชือกหยาบแน่น
สายฝนแตกกระเซ็นบนร่มกระดาษมัน
นี่คือทิศทางที่หญ้าน้ำค้างโค้งตัวไป
หมอกหุบเขานิรันดร์หนามาก
พื้นที่โดยรอบไม่มีใครแล้ว
เด็กหนุ่มถือร่มกระดาษมันหยุดเดิน เขามองประตูสี่เหลี่ยมเพลิงดาราลุกโชนกลางสายฝน เปลวเพลิงดวงดาราขยับไหวไปมากลางสายฝน แต่ก็ยังไม่ดับ
หวังอี้ขมวดคิ้วขึ้น
ห่างจากอีกฝ่ายระยะหนึ่ง
เขามองร่มกระดาษมันนั้นพลางครุ่นคิด
เขารู้สึกถึงเจตจำนงกระบี่น่าเกรงขามผลุบๆ โผล่ๆ จากในร่มนั้น
ยังมี ‘คนใหญ่คนโต’ ที่ยังไม่มาหุบเขานิรันดร์อีกหรือ
หวังอี้ค้นดูในความคิด เขาพลันนึกถึงรูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับร่มกระดาษมันนี้ คนที่ตอนนั้นโด่งดังแต่กลับเก็บตัวเงียบ หมอกหุบเขานิรันดร์บางลงแล้ว สิบวันก็ยังไม่ปรากฏตัวและยังไม่มีใครคาดถึงจะเป็นใครไปได้อีก
…………………………..