เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 181 เด็กหนุ่มใต้ศิลาหุบเขานิรันดร์
ตอนที่ 181 เด็กหนุ่มใต้ศิลาหุบเขานิรันดร์
โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหุบเขานิรันดร์คืออะไร
หนิงอี้งุนงงเล็กน้อย
หรือว่าโชควาสนาของหุบเขานิรันดร์จะไม่ใช่ศิลาหินบนเขาอย่างที่ซ่งอีเหรินบอกกัน
“พันปีหมื่นปี คนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ทุกยุคล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งยิ่ง” เคียงกระบี่มองหนิงอี้ “พวกเขาเฝ้าหุบเขานิรันดร์ ยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาปกคลุมด้วยหมอก ซ่อนแดนโชควาสนาแห่งนี้…เหตุผลที่มากที่สุดไม่ใช่แค่ศิลาหินบนเขา”
“แล้วมันคือ”
“เมื่อจักรพรรดิทุกองค์ของต้าสุยขึ้นบัลลังก์จะต้องนั่งบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ และหินศิลาบุพกาลที่ใช้เปิดบัลลังก์จักรพรรดิมังกรแท้ก็อยู่บนยอดหุบเขานิรันดร์”
หนิงอี้มองเคียงกระบี่ พูดไม่ออกอยู่นานมาก
“ไม่มีอะไรน่าตกใจ หากพลังบำเพ็ญของเจ้าสูงกว่านี้หน่อย นี่ก็จะไม่ใช่ความลับเลย” เคียงกระบี่พูดด้วยรอยยิ้ม “ในหินศิลาบุพกาลซ่อนอะไรไว้ มีเพียงจักรพรรดิที่รู้…โชควาสนาของหุบเขานิรันดร์อยู่ที่ศิลาหินพวกนั้น ยอดผู้บำเพ็ญทุกคนที่เข้าไปในหุบเขานิรันดร์ต้องปีนขึ้นสูง ยิ่งปีนขึ้นไปสูงมากเท่าไรก็ยิ่งยืนยันว่ามีพลังบำเพ็ญสูงมากเท่านั้น การฝากศิลาหินก็จะได้ใส่เจตนารมณ์ในนั้นแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน”
“สำหรับชนรุ่นหลังและรุ่นเยาว์ ต่อให้มีคนเฝ้าสุสานต้านแรงกดดันของหุบเขานิรันดร์แทนพวกเจ้า ก็ปีนขึ้นสูงได้ยาก” เคียงกระบี่มองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย โอกาสเข้าสุสานนิรันดร์มีเพียงครั้งเดียว…มีคนส่วนน้อยมากที่ถือดียิ่ง ทิ้งโชควาสนาในการศึกษาศิลา รอตนพลังบำเพ็ญมากพอแล้วค่อยไปหุบเขานิรันดร์”
“ลั่วฉางเซิง!”
หนิงอี้เอ่ยนามนี้เงียบๆ เซียนจุติแห่งที่พำนักเทพคนนี้ สองปีมานี้เหมือนกำลังงีบหลับ สบายใจไร้กังวลเห็นๆ แต่กลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ เลย หมอกหุบเขานิรันดร์เปิดก็ยังแน่นิ่ง หรือเขาคิดว่าจะรอมีคุณสมบัติฝากศิลาในหุบเขานิรันดร์ก่อนแล้วค่อยมาเมืองหลวงกัน
“การละทิ้งไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด ดูให้มากมักเป็นเรื่องดี” เคียงกระบี่พูดต่อ “ในหุบเขานิรันดร์จะมีปรมาจารย์ทุกแขนงตลอดหลายพันปีมานี้ของต้าสุย วิถีกระบี่ วิถีดาบ วิชาหอก วิชากระบอง มีทุกอาวุธ สามพันมหามรรค”
“ในยุคนั้นของข้าก็มีคนละโมบมาก จิตใจตนยังไม่แกร่งพอจึงถูกเจตนารมณ์ในศิลาหินแว้งกัด กระเด็นออกจากหุบเขานิรันดร์ จิตวิญญาณบาดเจ็บสาหัส มีคนขึ้นหุบเขานิรันดร์ ขึ้นไปเรื่อยๆ อยากจะไปถึงยอดเขา คิดว่ายิ่งศิลาหินอยู่สูงมากเท่าไรก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น สุดท้ายต้านเจตนารมณ์ของปรมาจารย์ทุกท่านในหุบเขานิรันดร์ไม่ไหว เสียสติ ไม่ได้อะไรเลย”
หนิงอี้ตั้งใจฟัง ก่อนจะพูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่า…ศิลาที่สูงที่สุดไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป”
“ใช่” เคียงกระบี่พูดเสียงเบา “เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนี้ล่ะ เล่าให้ฟังหน่อย”
“ศาสตร์ลี้ลับมากมาย ความล้ำค่าอยู่ที่แก่น สามพันมหามรรค ข้าเก็บไว้แค่กระบี่เดียว” หนิงอี้มองเคียงกระบี่พลางพูดอย่างเคร่งขรึม “บางคนกระบี่เร็ว บางคนกระบี่คม บางคนกระบี่หนัก ทุกท่านเป็นปรมาจารย์วิถีกระบี่ที่ฝากศิลาหินไว้ในหุบเขานิรันดร์ได้ ทุกท่านไม่เดินบนเส้นทางของคนรุ่นก่อน หากลอกเลียนแบบก็จะเหนือกว่าไม่ได้”
เคียงกระบี่ยิ้ม ก่อนพูดชม “พูดได้ดี นี่ก็เป็นสาเหตุที่มีคนเข้าหุบเขานิรันดร์ไม่ได้ อัจฉริยะบางคนตอนหนุ่ม คว้าโอกาสได้เข้าไปศึกษาศิลาหินในหุบเขานิรันดร์ ได้ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ในการบำเพ็ญจริงๆ แต่ร้อยปีผ่านไป กระทั่งไปจนถึงปลายทางชีวิต ไม่ว่าอย่างไรก็แซงหน้าคนก่อนไม่ได้ สุดท้ายกลายเป็นเงาของปรมาจารย์คนที่สอง ต่อให้บรรลุราชันดาราก็ไม่อาจนิพพานได้สำเร็จ”
หนิงอี้ครุ่นคิด
นี่คือเหตุผลที่ว่าในราชันดาราใต้ฟ้าต้าสุยถึงมีผู้โดดเด่นน้อยยิ่งที่มีสิทธิ์ได้เข้าไปวางศิลาในหุบเขานิรันดร์
เจ้าภูเขาสู่ซานน้อยพันกรก็เป็นหนึ่งในนั้น
วิถีของศิษย์พี่หญิงพันกรเป็นแบบบุกเบิกใหม่จริงๆ สำแดงคนยักษ์ดาราของคุณชายเจ้าหรุยออกมาได้ต่างกัน นางเดินบนเส้นทางที่ไม่มีใครเคยเดินมาก่อน เป็นเส้นทางใหม่ทั้งหมด!
“วิถีของคนอื่นก็ยังเป็นของคนอื่น เป็นยามีพิษสามส่วน โชควาสนาก็เช่นกัน”
เคียงกระบี่พูดอย่างจริงจัง “หากเจ้าตัดสินใจจะเข้าไปศึกษาศิลาในหุบเขานิรันดร์ จะต้องถูกลิขิตไว้ว่าเมื่อใดที่เจ้าพลังบำเพ็ญไม่พอ เจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าตาของโลกปราณกระบี่ ไม่มีโอกาสแม้แต่เห็นคร่าวๆ โลกอันกว้างใหญ่ ทิวทัศน์นับพันนับหมื่น สิ่งที่ปรมาจารย์พวกนั้นเห็นไม่ถูกต้องเสมอไป”
หนิงอี้เข้าใจนิดๆ แล้ว
ตอนที่เขาเพิ่งหยิบกระบี่ขึ้นมาก็มีคนขี่กระบี่บินได้แล้ว มีคนใช้หนึ่งกระบี่ตัดภูเขาได้ ใช้หนึ่งกระบี่ผ่าแม่น้ำ หากเขาได้เห็นภาพที่ยอดผู้บำเพ็ญพวกนั้นสำแดงปราณกระบี่เร็วเกินไป ก็อาจจะทำร้ายต่อจิตมรรคได้
“ผู้อาวุโส ข้าเข้าใจความหมายของท่านแล้ว”
หนิงอี้แสดงความเคารพจากใจจริง
เคียงกระบี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เขาเป็นคนกาลก่อน พูดมากขนาดนี้ก็เพื่อให้หนิงอี้รู้ว่าหุบเขานิรันดร์ไม่ใช่แค่แดนผาสุกโชควาสนา แต่ยังมีจุดที่ต้องจับตาเฝ้าระวังอยู่
“ดังนั้น เจ้าจะเลือกอย่างไร”
ไปหุบเขานิรันดร์ หรือไม่ไป
เขาอยากฟังคำตอบของหนิงอี้
หนิงอี้ไม่ได้ตอบตรงๆ
เด็กหนุ่มที่ยืนบนสะพานเมฆหมอก ตัวอยู่บนฟ้าทะเลสาบจิต ความเป็นเทพหนาแน่นดุจไอเซียน ราวกับว่าที่นี่เป็นแดนเซียนบนสวรรค์
หนิงอี้พูดด้วยความสัตย์จริง “ผู้อาวุโสเคียงกระบี่ ข้ามีศิษย์พี่ที่มีพรสวรรค์สุดยอดอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ที่ยากจะพานพบได้ในร้อยปี ตอนพลังบำเพ็ญยังไม่สูง ก็เคยเห็นภาพเซียนออกกระบี่ที่หลังเขาสู่ซาน”
สวีจั้งเห็นกระบี่ฟาด
“ข้าคิดว่าจนเขาตายไปก็ยังไปไม่ถึงขอบเขตนั้น…แต่จิตกระบี่เขาไม่เคยสั่นคลอนเลยแม้จะเคยเห็นกระบี่นั้น” หนิงอี้พูดมาทีละคำ เอ่ยนิ่งๆ “เพราะเคยเห็นโลกที่ใหญ่กว่า ดังนั้นใจจึงมุ่งไปข้างหน้ามากกว่า”
“เรานักกระบี่ ฝึกเพียงปราณกระบี่ ไม่ใฝ่หาแสงดารา”
…….
หมอกในหุบเขานิรันดร์กระจายออก ตัวภูเขาสูงใหญ่ยังคงอยู่กลางพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอก
ค่ายกลคุ้มกันภูเขาบรรพกาลซ่อนหุบเขานิรันดร์ได้ทั้งลูก ลบร่องรอยได้
ต่อให้มีผู้บำเพ็ญหลงเข้าไปในระยะสามลี้โดยรอบ ก็จะไม่เจอว่าที่นี่มีภูเขา
นี่เป็นภูเขาที่ ‘สูง’ ที่สุดในละแวกเมืองหลวง
เมฆหมอกวนเวียนบนยอดเขา เมฆสีขาวจางๆ เหมือนหมอกบนแดนเซียน ประดับบนยอดหุบเขานิรันดร์
ตีนหุบเขานิรันดร์มีผู้บำเพ็ญหลายสิบคนมารวมกันแล้ว
ผู้บำเพ็ญสวมชุดคลุมยาวดอกบัวดำเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพารวมตัวกัน ดูเหมือนกลุ่มคนข้างถนนที่มากันเพราะขุมอำนาจบางแห่งมากกว่า เพราะผู้นำที่แท้จริงของพวกเขายังไม่มา
หมอกหุบเขานิรันดร์สลายไปก็หมายความว่าหุบเขานิรันดร์ได้ปรากฏขึ้นในโลกมนุษย์แล้ว
แต่ไม่มีใครเข้าไป
เพราะมีประตูเดียว
นี่เป็นประตูลักษณะยาว เพลิงดาราลุกแผดเผา เหมือนถูกคนใช้นิ้ววาดขึ้นจากอากาศ ลอยอยู่ใต้หุบเขานิรันดร์เช่นนี้
หุบเขานิรันดร์ไม่มีราวกั้น และไม่มีกำแพงที่สร้างไว้กันเข้าไป
ทุกที่ในหุบเขานิรันดร์คือประตู
แต่มีประตูที่แสงดาราลุกโชนนี้ที่อยู่ที่นี่…ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาที่มาถึงที่นี่คนแรกสุดมีสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขารู้ว่านี่เป็นประตูเดียว
คนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ลึกลับ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ได้ยินว่าคนเฝ้าภูเขานั้นมีนิสัยไม่ปกติ หากเขายินดีให้เจ้าเข้าไป ต่อให้เจ้าเป็นคนหาฟืนหลงทาง ก็จะได้ขึ้นหุบเขานิรันดร์ หากเขาไม่ยอมให้เจ้าเข้าไป แม้เจ้าจะเป็นอันดับหนึ่งแดนบูรพา เป็นคุณชายน้ำค้างหานเยวียที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งในเขาใหญ่แสนลูกแดนทักษิณ ก็เข้าไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
หานเยวียเป็นคนพิเศษ
เขามีจิตใจเหี้ยมโหด พลังบำเพ็ญเหนือชั้น ฝังลึกลงในใจคนแดนบูรพากับแดนทักษิณแล้ว
แต่เขายังเข้าหุบเขานิรันดร์ไม่ได้ เล่าลือว่าแม้แต่หลอดแก้วยังเกือบโดนคนเฝ้าหุบเขาทุบแตก…อีกทั้งหลังจากนั้นมา หานเยวียที่เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ไม่ใช่แค่ไม่อาฆาตแค้น แต่ยังหาโอกาสไปมอบของขวัญให้ที่หุบเขานิรันดร์ทุกปี คนเฝ้าหุบเขานิรันดร์แห่งต้าสุยปัจจุบันนี้ ไม่ต้องมีผลการรบอะไรมาก ใช้แค่นี้ก็มากพอจะพิสูจน์ศักยภาพแท้จริงของเขาแล้ว
และเป็นเพราะหานเยวียด้วยเช่นกัน
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาพวกนี้เริ่มกังวลใจ…ว่าจะโดนหางเลขไปด้วยหรือไม่ คนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ท่านนั้นจะไม่ต้อนรับทั้งแดนบูรพาหรือไม่
กองกำลังดอกบัวแดนบูรพามีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่นานก็มีคนจากขุมอำนาจอื่นเข้ามาใต้หุบเขานิรันดร์
สำนักศึกษาจวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา สามสำนักศึกษานี้ ตอนนี้ต้องรวมตัวกันมาหุบเขานิรันดร์ ผู้นำไม่ใช่สามคุณชายใหญ่ แต่เป็นคุณชายน้อยจากสายเลือดของตน
คุณชายครามแห่งจวนขานฟ้าถือว่าเสมอกับหลิงสวินแห่งเขาศิลาเต่า
อีกสองคุณชายใหญ่สำนักศึกษาแอบเสียเปรียบลับๆ
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาเห็นศิษย์สามสำนักศึกษานี้แล้วก็เผยแววตาเย้ยหยัน ศึกของเขาศักดิ์สิทธิ์มักจะเป็นเมืองหลวงได้เปรียบ ตอนนี้องค์ชายรองมีอำนาจ ในที่สุดแดนบูรพาก็ได้ลืมตาอ้าปากเสียที
ไม่นานนัก
มีกองกำลังมาหุบเขานิรันดร์มากขึ้นเรื่อยๆ เสียงดังขึ้นเช่นกัน
ไม่ใช่แค่คนจากเขาศักดิ์สิทธิ์และสำนักศึกษา แต่ยังมีผู้บำเพ็ญพเนจรบางส่วน จอมยุทธ ล้วนมารวมกันที่ตีบหุบเขานิรันดร์
“ไม่รู้ว่าครั้งนี้หุบเขานิรันดร์จะเปิดนานเท่าไร…ผู้มากพรสวรรค์รุ่นเยาว์พวกนั้นยังไม่มาเลย”
“หุบเขานิรันดร์เป็นโชควาสนายิ่งใหญ่ แต่มาเร็วก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เยอะกว่า อัจฉริยะของสำนักศึกษากับเขาศักดิ์สิทธิ์ต่างถือดีกันมาตลอด หากพวกเขามาถึงในทันที จะไม่ด้อยไปกว่าคนอื่นก่อนรึ”
เสียงสนทนาใต้ภูเขาดังเกรียวกราวขึ้น
ประตูเพลิงดาราลุกโชนนั้นมีผู้บำเพ็ญพเนจรบางส่วนลองเข้าไปแล้ว นี่เหมือนจะเป็น ‘รสนิยมแปลก’ ของคนเฝ้าหุบเขานิรันดร์ จะเข้าหุบเขานิรันดร์ก็ต้องผ่านประตูนี้ และต้องรับแรงปะทะทางจิตวิญญาณในนั้น
ตอนนี้ยังไม่มีใครทำสำเร็จ
หากไม่บรรลุขอบเขตช่วงหลังก็จะเข้าไปไม่ได้
คุณชายน้อยของสำนักศึกษาไม่รีบร้อนลงมือ พวกเขายังคงมอง หมอกหุบเขานิรันดร์สลายไป แต่คนเฝ้าหุบเขายังไม่เอ่ยสักคำเดียว
อีกเดี๋ยวคุณชายใหญ่ก็จะมาถึงแล้ว
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาก็เช่นกัน
พวกเขากำลังรอบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งดอกบัวแดนบูรพามาถึง
ใต้ตีนเขาไม่ได้มีเสียงดังนานนัก
นี่ไม่ใช่เพราะสำนักศึกษาใดหรือบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศักดิ์สิทธิ์ใดมาหุบเขานิรันดร์
แต่เพราะมีผู้บำเพ็ญแดนบูรพาที่มีสายตาเฉียบคมคนหนึ่งเหมือนพบว่าหมอกทางนั้นของประตูเพลิงดาราลุกโชนค่อยๆ บางลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนว่าตีนหุบเขานิรันดร์มีอะไร
อย่างเช่นหญ้าน้ำค้างที่เจริญงอกงามเต็มไปหมด
และยังมี…เงาเด็กหนุ่มเลือนราง ขมุกขมัว ไม่สูงใหญ่
“นี่มันอะไรกัน”
มีพริบตาหนึ่ง ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาคนนี้เหมือนจะสงสัยว่าตนมองพลาดไป
เขาตบบ่าสหายข้างกาย
ดังนั้นความสงสัยนั้นจึงกระจายออกไป ไม่นานก็ทำให้เสียงดังคึกคักเงียบลง
เสียงความสงสัยนั้นดังเป็นครั้งที่สอง
“นี่มันอะไรกัน”
ดังนั้นทุกสายตาจึงมองผ่านประตูที่ไม่อาจข้ามผ่านได้นั้นไปที่เด็กหนุ่มคนนั้น
นี่เป็นคนคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มอาภรณ์บางยาวสีขาว
เขานั่งขัดสมาธิตรงตีนหุบเขานิรันดร์ หันหลังให้ผู้บำเพ็ญทั้งหมด โยนเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวทั้งหมดไว้ข้างหลัง
ตรงหน้าเขาเป็นหินศิลาที่เตี้ยที่สุด ทรุดโทรมที่สุดและหญ้ารกที่สุด
บนนั้นไม่มีท่วงทำนองใดๆ เลย แต่เขากลับเหม่อมองเคลิบเคลิ้ม
………………………