เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 177 สวีจิ่น กู้เชียน เสิ่นหลิง
ตอนที่ 177 สวีจิ่น กู้เชียน เสิ่นหลิง
“โกหกเบื้องบนปิดบังเบื้องล่าง เป็นเสาหลักอย่างกล้าหาญรึ” เสิ่นหลิงจ้องผู้คุมกฎชุดคลุมแดง น้ำเสียงกดดัน “น้ำไหลดีไม่มีน้ำเน่า พวกเจ้านั่งตำแหน่งนี้ได้เพราะความไว้ใจของฝ่าบาท แต่พวกเจ้ากลับใช้ความไว้ใจนี้อย่างไม่เกรงกลัว เป็นหนอนแมลงแห่งต้าสุยในสายตาเขา! ดูเมืองหลวงแห่งนี้สิ ตอนนี้อยู่ในสภาพเสื่อมโทรมเพียงใดแล้ว”
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงถอยไปสองก้าวเงียบๆ
เขาตกใจอยู่ลึกๆ แต่ก็ยังสงบนิ่งลง มองเสิ่นหลิง ความโกรธบนใบหน้าบุรุษคนนั้นยังไม่หายไป แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร สุดท้ายก็นั่งกลับลงเก้าอี้ช้าๆ
“ท่านเสิ่นหลิง ด้วยคำใส่ร้ายของท่านต่อกรมผู้คุมกฎเมื่อครู่ จะสร้างปัญหาที่ไม่ควรมีได้” ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงเอ่ยอย่างเฉยชา มองบุรุษบนเก้าอี้ที่โบกมืออย่างไม่แยแสและรังเกียจ วางมาดไม่ใส่ใจเลย ก่อนพูดราบเรียบ “ข้าเข้าใจความโกรธในใจท่าน เพราะต้าสุยเรามีคนเช่นนี้ถึงได้น่ายินดี แต่ต้องบอกท่านเสิ่นหลิงด้วยความเสียใจว่า ไม่ว่าท่านจะรับผลนี้ได้หรือไม่ ก็จะไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ จากสามกรม นอกจากนี้…นี่คือจดหมายลายมือของท่านเจ้ากรมข่าวกรองใหญ่อวิ๋นสวิน นับจากวันนี้ไป ขอให้ท่านเสิ่นหลิงพักอยู่ในเมืองหลวงสักระยะหนึ่งด้วย”
ผู้คุมกฎชุดคลุมแดงพูดจบก็ทยอยกันกลับ
เสิ่นหลิงนั่งเก้าอี้
มือข้างหนึ่งจับหลังเก้าอี้ ใช้มือเดียวเปิดจดหมายนั้นด้วยอาการมือสั่น
เจ้ากรมใหญ่อวิ๋นสวินอุ้มชูตน เลื่อนขั้นให้คนหนุ่ม มีบุญคุณกับตนดุจภูเขา
อวิ๋นสวินไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ในจดหมาย เพียงแค่ให้ตนทำตัวสบายๆ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดพวกนั้น
เสิ่นหลิงเงียบอยู่นานมาก
เขาไม่เคยเจอสถานการณ์อย่างวันนี้เลย รู้สึกไร้เรี่ยวแรงในใจ
เขานั่งตรงขอบหน้าต่าง ข้างหลังเป็นท้องฟ้าเมืองหลวง ทะเลหมอกใสสะอาด เป็นแสงสว่าง
แสงตกกระทบลงบนตัว แต่เสิ่นหลิงกลับไม่เห็นอะไรเลย เขาอยากลุกขึ้น แต่ตัวแข็งทื่อนิดๆ
เขาอยู่ในตำแหน่งเจ้ากรมน้อยมานานมาก ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยนิดๆ
เสิ่นหลิงนั่งเหม่อไปทั้งช่วงบ่าย
เส้นแสงขยับออกจากโต๊ะช้าๆ จนไม่สว่างอีก ไม่แสบตาอีก
ภายในห้องเงียบสงัด
จากนั้นสวีจิ่นผลักประตูเข้ามา
สวีจิ่นลากเก้าอี้มานั่งตรงข้าม เขามองเสิ่นหลิงพลางเอ่ยนิ่งๆ “ไขคดีแล้ว”
เสิ่นหลิงตอบอืมจากในโพรงจมูกเบาๆ
“พวกพี่น้องส่วนใหญ่โดนย้ายแล้ว เลือกออกจากเมืองหลวงไปที่ห่างไกล” สวีจิ่นพิงเก้าอี้ เขาหยิบชาเย็นขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองสวีจิ่น เลิกคิ้วถาม “เจ้ายังคิดถึงเรื่องนี้อยู่รึ”
เสิ่นหลิงอืมเบาๆ อีกครั้ง
“ข้าอ่านเอกสารสรุปคดีแล้ว สมเหตุผลมาก ไม่มีปัญหา” สวีจิ่นก้มหน้าลงพูดเสียงเบา “เจี่ยนอีเป็นแพะรับบาป แต่สิ่งสำคัญคือท่าทีจากในวัง เบื้องบนให้เจ้าพัก ก็น่าจะรอคลื่นลมช่วงนี้ผ่านไป ไม่ได้จะกลบเจ้าลงดินหรอก”
เสิ่นหลิงส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่สำคัญ ไม่มีลูกน้อง ข้าก็ตรวจสอบคนเดียวได้”
“เจ้าตรวจสอบคนเดียวรึ” สวีจิ่นยังมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงไม่สงบนิ่งอีก “คนแซ่เสิ่น ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นเจ้ากรมน้อย ในมือเจ้ามีกำลังของกรมข่าวกรอง เจ้ามีท่านอวิ๋นสวินสนับสนุนอย่างเต็มที่ องค์ชายรองยืนอยู่เบื้องหลังเจ้า เจ้าย่อมตรวจสอบได้ เจ้าจะตรวจสอบอย่างไรก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ เจ้ามีอะไร เจ้าจะเอาอะไรไปตรวจสอบ”
เสิ่นหลิงไม่แน่ใจนิดๆ
“สติ” สวีจิ่นมองเสิ่นหลิงพลางถามอย่างจริงจัง “เจ้าจะตรวจสอบแค่แม่นางเผย แค่ขุนนางรองหนิงใช่หรือไม่ ทุกคนมีความลับ ในวังมีคนไม่อยากให้ฝ่าบาทรู้ เรื่องนี้พัวพันไปถึงผู้มีอำนาจเท่าไร แม้แต่องค์ชายรองยังวางมือ เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้ายึดมั่นคือความเลือดร้อน คือความกล้าหาญที่ถวายตัวให้ต้าสุยรึ”
เสิ่นหลิงมีสีหน้าสับสน เงยหน้ามองสวีจิ่น
“ไม่มีใครยอมรับหรอก”
สวีจิ่นกลั้นใจ พูดเสียงทุ้มต่ำ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ทิวทัศน์ในเมืองหลวงยังคงสวยงาม แต่ในแม่น้ำวายุแดงมีบางสิ่งที่ไม่สะอาดลงไป หกร้อยปีมานี้ ฝ่าบาททำมามากพอแล้ว กรมผู้คุมกฎก็ดี กรมข่าวกรองก็ดี…ควรจะพักบ้างแล้ว”
เสิ่นหลิงได้ตกใจตื่นเพราะคำพูดนี้
เขาไม่กล้าเชื่อนิดๆ
สวีจิ่นก้มหน้าลง เพื่อให้มั่นใจว่าเสิ่นหลิงไม่ได้ฟังผิด เขาจึงพูดอย่างจริงจังอีกครั้ง “เราคือดวงตาของฝ่าบาท มองโลกนี้แทนฝ่าบาท นี่คือโลกของฝ่าบาท…แต่ฝ่าบาทชราภาพแล้ว”
“นี่ ใคร เป็น คน บอก กับ เจ้า!”
เสิ่นหลิงพลันโกรธขึ้นมา ใช้มือตบโต๊ะอย่างแรง เขาจ้องสวีจิ่น ไม่กล้าเชื่อเลยว่าสวีจิ่นที่ติดตามอยู่ข้างกายตน ทึ่มทื่อและซื่อตรงมาตลอดจะพูดเช่นนี้
“ไม่มีใครบอกกับข้าหรอก นี่เป็นสิ่งที่ข้าเห็นด้วยตาตัวเอง” สวีจิ่นมองเสิ่นหลิง เขาไม่กลัวเลย ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ เขาพูดช้าๆ “ข้าเข้ากรมข่าวกรอง คำสอนแรกที่ได้เรียนรู้ก็เป็นเจ้าเสิ่นหลิงบอกกับข้า… ‘เราต้องเป็นดวงตาของฝ่าบาท’ ดังนั้นข้าเลยมองเมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้มาสิบเอ็ดปีแทนฝ่าบาท สิ่งที่เห็น คือเมืองหลวงเริ่มเดินสู่ความเสื่อมโทรม แต่ราชวงศ์ต้าสุยเป็นอมตะนิรันดร์ เปลวเพลิงแห่งยุคสมัยจะดับลงแล้ว ฝ่าบาทชราภาพแล้ว เขาไม่ออกจากวังอีก ไม่มีพระราชโองการอีก ไม่ออกหน้าอีก นี่ต้องให้ใครบอกกับข้าหรือ เสิ่นหลิง หรือเจ้ามองไม่เห็นกัน”
“จวนขานฟ้า สำนึกศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา ความพ่ายแพ้ของสามสำนักศึกษาไม่ใช่การพิสูจน์ที่ดีที่สุดรึ”
เสิ่นหลิงพลันสังเกตที่เครื่องหมายประดับบ่าของสวีจิ่น สวีจิ่นยังคงสวมชุดคลุมยาวของสามกรม นี่เป็นชุดคลุมยาวของกรมข่าวกรอง ดาวบนบ่าหมายถึงตำแหน่ง ‘เจ้ากรมน้อย’
เขายิ่งรู้สึกเหลือเชื่อกับทุกอย่างที่ตนเห็นเข้าไปอีก
“เจตนารมณ์ที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ทำการเปลี่ยนเจ้าของมาหลายครั้ง ที่องค์ชายรองวางมือก็เพราะมีคนที่ใหญ่กว่าเขาพูด ฝ่าบาทอยากรู้จักแม่นางแซ่เผยว่ามีเบื้องหลังเป็นอย่างไรกันแน่”
สวีจิ่นพูดราบเรียบ “แต่ความจริง นี่เป็นเพียงความคิดชั่วขณะของฝ่าบาท กรมข่าวกรองกับกรมผู้คุมกฎร่วมมือกันตรวจสอบ ทำการตรวจสอบที่สมบูรณ์แบบแล้ว วันนี้ก็จะส่งยื่นตามขั้นตอน เข้ารับการตรวจสอบที่หอยอดวิสุทธิ์ พักสักคืนแล้วค่อยส่งเข้าวัง”
เสิ่นหลิงไม่สนใจคำพูดช่วงหลังของสวีจิ่น
เขามองสวีจิ่นเงียบๆ หนึ่งในสองคนที่ตนชื่นชมมากที่สุด
บุรุษที่ไม่ว่าตนจะด่าทออย่างไรก็จะไม่เถียงกลับ ไม่คิดอะไรมากมาตลอดคนนั้น วางในกรมข่าวกรองก็ยังหนุ่ม ไม่ว่าจะบุคลิกหรืออุปนิสัยล้วนมีคุณลักษณะที่ดีเยี่ยม
สวีจิ่นพูดนิ่งๆ “เจ้าอยากด่าข้ารึ ข้าขอเตือนเจ้า อย่าพูดในสิ่งที่ไม่ควร ตอนนี้ข้าเป็นเจ้ากรมน้อยแห่งกรมข่าวกรอง ในจวนเจ้ามีแต่ดวงตาของข้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะถูกบันทึกในเอกสาร”
เสิ่นหลิงพลันรู้ตัวขึ้นมา
เขาจ้องสวีจิ่นเขม็ง
จากนั้นพูดทีละคำ
“ข้ามองเจ้าผิดไป สวีจิ่น”
คำพูดนี้ใช้แรงอย่างมาก เสิ่นหลิงเอาสองมือจับหลังเก้าอี้ บีบจนไม้แตกเป็นเศษออกมา
เขาหลับตาลง พ่นลมหายใจช้าๆ
“ข้ามองเจ้าไว้ไม่ผิดเลย เสิ่นหลิง” สวีจิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม “คำพูดเมื่อครู่ล้วนเป็นคำพูดจากใจจริงข้า เจ้าพักผ่อนเถอะ และก็คิดถึงคำพูดพวกนั้นของข้าให้ดีๆ หวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงได้”
เสิ่นหลิงเงียบ
ร่างเงาหนึ่งลุกขึ้นภายในห้องช้าๆ
สวีจิ่นมองเสิ่นหลิงที่หลับตาพักผ่อนพลางเอ่ยอย่างเฉยชา
“ข้าลาล่ะ”
……
ภายในตรอกเล็ก
ไม่มีแสงสว่าง
“เผยฝาน นามเดิมเผยฟ่าน เด็กสาวกำพร้าของพ่อค้าตระกูลเผยเทือกเขาประจิม”
กู้เชียนใช้แสงดาราอ่อนๆ อ่านเอกสารนี้ เขาเงียบลง ในเอกสารนี้เขียนชาติกำเนิดทั้งหมดของเด็กสาวแซ่เผยอย่างละเอียด รวมถึงตระกูลเผยพ่อค้าที่ตายเพราะถูกปล้นนอกเมืองเทือกเขาประจิม หนึ่งครอบครัวสามชีวิต ตายอย่างไรล้วนมีเขียนไว้ชัดเจน
นี่เป็นเอกสารปลอม
“เหตุใดต้องทำเช่นนี้”
เขามองสหายที่สนิทที่สุดของตน
ที่นี่ไม่มีดวงตาของกรมข่าวกรอง และไม่มีหูของกรมผู้คุมกฎ ที่นี่ปลอดภัยมาก
สวีจิ่นเอ่ยนิ่งๆ “บางอย่างก็จะให้เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ได้ มีคนควบคุมกระดานหมากในเมืองหลวง ดังนั้นถึงได้มีเอกสารนี้”
สวีจิ่นเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดขึ้น “คนนั้นไม่ใช่ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทอยากรู้จักเด็กสาวแซ่เผยว่าเป็นใครกันแน่ ดังนั้นเราแค่ต้องทำเอกสารให้ละเอียดที่สุด ผลสรุปที่ได้คือนางเป็นเพียงคนธรรมดา เช่นนั้นทุกอย่างก็จะผ่านไปได้อย่างราบรื่น”
สวีจิ่นกดงอบของตน แสยะปากยิ้ม “จะบอกความลับสุดยอดให้ ฝ่าบาทเหมือนจะเจอกับอุปสรรคในการบำเพ็ญ ปิดด่านบำเพ็ญในตำหนักยอดเทวะทุกวัน บางครั้งก็ทำลายข้าวของ นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย”
กู้เชียนขมวดคิ้ว
“เดิมทีข้าคิดว่ากงซุนเยวี่ยกำลังตรวจสอบหนิงอี้” เขาพิงกำแพงหินตรอกเล็ก “ต่อมาก็พบว่าไม่ใช่เช่นนั้น เขาจะตรวจสอบเด็กสาวแซ่เผยนั้น เด็กสาวนั่นเป็นใครกัน”
สวีจิ่นมองกู้เชียนพลางพูดมาสี่คำ “คืนโลหิตเมืองหลวง”
กู้เชียบเงียบลง
“ตระกูลเผยถูกล้างบางไปหมดแล้ว…ตอนนั้นคดีสิ้นสุด คนสรุปผลคือคุณชายหยวนฉุนแห่งหอบัว” กู้เชียนไร้เรี่ยวแรงนิดๆ เขาพูดอย่างจริงจัง “นั่นเป็นปีแรกที่เจ้ากับข้าเพิ่งเข้ากรมข่าวกรอง”
“กงซุนเยวี่ยคิดเหมือนกับเสิ่นหลิง แต่เขาฉลาดกว่าเสิ่นหลิง หรือพูดได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเขาฉลาดกว่าเสิ่นหลิง” สวีจิ่งเอ่ยราบเรียบ “แม้ว่าเผยฝานจะเป็นเผยหลิงซู่บุตรสาวที่รักของตระกูลเผยจริงๆ แต่ก็จะเปิดเผยมาในช่วงสำคัญตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
กู้เชียนไม่เข้าใจนิดๆ เขาพลันพบว่าสวีจิ่นตรงหน้าตนแปลกตาขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าไม่เข้าใจคลื่นกระแสลับ” สวีจิ่นหลับตาลงพูด “กู้เชียน กรมข่าวกรองเปลี่ยนกำลังคนมากี่ครั้งแล้ว ข้ากลัวว่าจากนี้ปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจต่อต้านจะพัวพันไปถึงเจ้า…ดังนั้นเอกสารของเจ้า ข้ารับมาแล้วจะซ่อนไว้ในที่ลับ ไม่ต้องกลัวว่าจะเผยตัวตนในกรมผู้คุมกฎ”
กู้เชียนรู้สึกมึนงงนิดๆ
“มีคนคิดว่าฝ่าบาทชราภาพแล้ว เลยเกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น”
สวีจิ่นลืมตาขึ้น พูดยิ้มๆ “นึกถึงคำพูดตอนนั้นของข้าแล้วก็น่าขำจริงๆ กลางวันแสกๆ จะมีใครกล้าเป็นปีศาจในเมืองหลวง มีคนกล้าเป็นปีศาจจริงๆ กรมข่าวกรองเราเป็นดวงตาให้ฝ่าบาท แต่ไม่อาจส่งข่าวให้ได้แล้ว…นี่เป็นโทษหนักเพียงใด”
เขาตบบ่ากู้เชียน “หลังตรวจเอกสารคดีแล้วจะหยุดอยู่ที่หอยอดวิสุทธิ์หนึ่งคืน หากเสิ่นหลิงเข้าใจคำพูดข้า เช่นนั้นคืนนี้เขาจะนำผลสรุปการตรวจสอบตลอดช่วงนี้มา”
กู้เชียนพลันเข้าใจความหมายของสวีจิ่น
บุรุษคนนั้นสะบัดมือ หันกลับมายิ้ม
“ไม่ต้องกังวล รอจบคดีแล้ว จะเลี้ยงสุราเจ้ากับเสิ่นหลิง”
………………………