เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 170 สวีชิงเยี่ยน นี่ต่างหากเรียกว่าชีวิต
ตอนที่ 170 สวีชิงเยี่ยน นี่ต่างหากเรียกว่าชีวิต
หนิงอี้กับซ่งอีเหรินยืนอยู่ศาลาแดงสวนห้องบูรพา ยืนจนรุ่งสาง
แสงแรกอรุณส่องเข้ามา จูซาที่พิงปากประตู ‘งีบหลับ’ และค่อยๆ หลับไป ลืมตาขึ้นช้าๆ มองสองร่างเงานั้นก็รู้สึกดุจดั่งอยู่คนละโลก
เวลายามราตรี ไม่ยาวนานและก็ไม่สั้น
แต่มากพอจะทำให้คนสองคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เลื่อมใสชื่อเสียงกันมานาน กลายเป็นสหายกันอย่างแท้จริง
“ขอบคุณเจ้าด้วย”
หนิงอี้ก็ยังพูดคำนี้
ผ่านคืนนี้มา เขาได้รู้จักบุตรชายคนเดียวของราชาสวรรค์ซ่งคนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “หากไม่มีเจ้า ข้าจะเจอกับปัญหามากมาย”
ซ่งอีเหรินพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านพ่อบอกข้าว่า โลกนี้มีบางคนอยู่ได้ถึงพันปี บางคนอยู่ได้แค่หกสิบปี เส้นทางยาวและสั้น ชะตาตื้นและลึก ไม่ใช่แค่มองเห็น ให้ดีที่สุดต้องมีสหายที่จะดูไปพร้อมกับเจ้า และจะมีเยอะมากเกินไปไม่ได้”
หนิงอี้ตกใจเล็กน้อย จอนผมเขาลอยขึ้นตามสายลม มองซ่งอีเหริน “ทหารม้าอักษรทมิฬพวกนั้นล่ะ”
“พวกเขาติดตามข้ามาห้าปีแล้ว เป็นพี่น้องที่ดีมากของข้า ขัดเกลาความเป็นตายในแดนอุดร ต่างระวังหลังให้กันและกัน นี่เป็นความทรงจำของบุรุษ ข้ามองว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า เพียงแต่ ข้าออกจากกรมปราบปีศาจแน่นอนแล้ว ชีวิตหลังจากนี้ต่างมีความสวยงามของตนเอง พวกเขายินดีอยู่ที่ราบสูงเทพสวรรค์ จะเลื่อนขั้นเป็นขุนนาง จะร่ำรวย ข้าได้ปูเส้นทางใหญ่แสงสีทองในอนาคตไว้ให้พวกเขาแล้ว”
ซ่งอีเหรินพูดสบายๆ “สำหรับข้า พวกนี้เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ”
หนิงอี้เงียบลงเล็กน้อย เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากอยู่แดนอุดรกับพวกเขา แต่ข้ากับพวกเขาต่างกันมากจริงๆ” ซ่งอีเหรินหรี่ตาลง ยื่นสองมือประสานไว้หลังศีรษะอย่างเกียจคร้าน เขามองท้องปลาขาวตรงขอบฟ้าพลางพูดพึมพำ “ข้าไม่ได้แค่พกดาบสังหารปีศาจแดนอุดร แต่ข้ายังมีบางอย่างต้องเผชิญหน้า”
หนิงอี้เข้าใจความหมายของซ่งอีเหริน
อยากจะสวมมงกุฎจักรพรรดิก็ต้องแบกรับภาระหน้าที่อันหนักหนา
มีซ่งเชวี่ยกับกูอีเหรินอยู่ ซ่งอีเหรินจึงใช้ชีวิตไปได้อย่างสงบสุข ห้าปีที่ไปสังหารปีศาจแดนอุดรแรก แล้วจากนั้นล่ะ ยังมีอีกกี่ห้าปี ความยุ่งยากที่มาจากครอบครัวเป็นสิ่งที่การหลีกหนีแก้ไขไม่ได้
“ข้าบอกกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว การหน้าไหว้หลังหลอกครั้งนี้ถือว่าเป็นการประณีประนอมแล้ว” ซ่งอีเหรินก้มหน้าลง พูดนิ่งๆ “หลังจากหลี่ไป๋เถาออกจากแดนทักษิณ ต้าสุยก็จะโทษแต่ข้าคนเดียว กว่าพวกเขาจะตั้งตัวได้ก็สักระยะหนึ่งเลย ข้าจะพาเด็กจูซาไปปิดด่านบำเพ็ญที่เขาพิสุทธิ์นิรันดร์”
หนิงอี้พูดเสียงเบา “งานราชวงศ์ใหญ่จะเริ่มแล้ว”
“ใช่” ซ่งอีเหรินยิ้ม ก่อนพูดแบบไม่คิดอย่างนั้น “ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไม่สู้กับอัจฉริยะเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นหรอก ไม่มีอะไรต้องสู้กัน พวกเขาเล่นของพวกเขาไป คุณชายน้อยก็มีเรื่องที่ต้องกังวลเหมือนกัน”
พูดถึงตรงนี้ เขาชะงักไปก่อนจะพูดขึ้น “ใบไม้ผลิอบอุ่นดอกไม้บาน อีกไม่นาน ‘หุบเขานิรันดร์’ จะเปิดแล้ว พวกคนเขาศักดิ์สิทธิ์จะทยอยกันมาเมืองหลวง เจ้าอยากให้ข้าเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ให้เจ้าหรือไม่”
หนิงอี้ส่ายหน้า “ข้าไม่กลัวพวกเขา”
“ฮ่าๆๆ…” ซ่งอีเหรินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ในดวงตาเขามีการชื่นชมสามส่วน มองผิวทะเลสาบศาลาแดง คลื่นลมพัด พูดอย่างสบายใจ “โลกในตอนนี้เหมือนทะเลสาบใบไม้ผลิพลิกกลับ ได้ยินคุณชายหยวนฉุนบอกว่าปีนั้นที่คุณชายสวีจั้งถือกระบี่ เป็นปีที่ต้าสุยดวงชะตารุ่งเรืองอย่างพบเห็นได้ยาก อัจฉริยะมากมายกำเนิดขึ้นตามชะตา มีลั่วฉางเซิง มีเฉาหลัน มีเยี่ยหงฝู อัจฉริยะที่ก่อนหน้านี้หาได้ยาก ตอนนี้มีกลิ่นอายเหมือนปลาจี้อวี๋ข้ามแม่น้ำ”
หนิงอี้กดสองมือบนร่มกระดาษมัน หลับตาลง นึกไปถึงแผ่นหลังของสวีจั้งถือกระบี่
เขาลืมตาขึ้นและพูดอย่างจริงจัง “ข้าจะรอหุบเขานิรันดร์เปิด อัจฉริยะทุกแห่งหนมาถึง”
ซ่งอีเหรินตบบ่าเขา
…..
สองคนยืนอยู่อีกชั่วครู่
ตอนแยกจาก ต่างทักทายกันเล็กน้อย
“ค่ายกลของเจ้าจะเสร็จราวๆ เมื่อไร” ซ่งอีเหรินมองหนิงอี้ สุดท้ายถามอย่างจริงจัง “ข้ามีเวลามากสุดเจ็ดวัน ก็ต้องออกจากเมืองหลวงแล้ว”
“ก่อนกลับ แวะมาที่จวนข้า” หนิงอี้ครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนจะพูดไป “ข้าจะให้ค่ายกลที่ดีที่สุดกับเจ้า”
“ดี ถึงตอนนั้นจะไปลาเจ้า” ซ่งอีเหรินหันหน้ากลับด้วยรอยยิ้ม เขาวิ่งเหยาะๆ สองก้าว มาอยู่ข้างหญิงชุดคลุมแดงที่รออยู่นานแล้ว กอดบ่าจูซาอย่างสนิทสนม ก่อนจะโดนอีกฝ่ายบิดเอวไม่หนักไม่เบาจนแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเจ็บปวด
หนิงอี้มองภาพนี้ด้วยรอยยิ้ม ซ่งอีเหรินกับจูซาออกจากสวนห้องบูรพา เขาก็ยังอยู่ศาลาแดง
เขาหลับตาลง สูดอากาศสดชื่นบนผิวทะเลสาบ รู้สึกกระปรี้กระเปล่า
ปึก ประตูห้องเปิดออก
หนิงอี้รอเด็กสาวคนนั้นตื่นมาตลอด
เด็กสาวที่พิงปากประตูห้องสวมชุดกระโปรงสีขาวเย็นสบาย เจ้าของคนก่อนในสวนห้องบูรพาเหมือนจะทิ้งของไว้เยอะ สวีชิงเยี่ยนหยิบมาสวมสักตัว ตรงบ่านางยังคลุมด้วยผ้าโปร่งบางสีดำ ชุดกระโปรงขาวแกว่งไกวเผยส่วนหน้าแข้ง เผยผิวพรรณเนียนดุจไขมันแกะ
เด็กสาวเปลือยเท้าสองข้าง มองแสงสว่างนอกห้อง
เดิมทีนางยังกลัวอยู่นิดๆ แต่เมื่อเห็นหนิงอี้ยืนอยู่ศาลาแดง จึงรวมความกล้าขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
“คนชั่วนั่น…” ครุ่นคิดอยู่นาน หนิงอี้ก็ใช้คำว่า ‘คนชั่ว’ เรียกขานจิ้งไป๋ เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ “ได้รับการลงโทษอย่างสมควรแล้ว”
หนิงอี้ไม่ได้บอกสวีชิงเยี่ยนว่าจิ้งไป๋ตายแล้ว เขาพูดได้รื่นหูมาก
“จากนี้จะไม่มีคนชั่วคนอื่นอีก สวนห้องบูรพาจะเงียบสงบ เจ้าจะมีอาจารย์คนใหม่”
หนิงอี้พูดอย่างจริงจัง “เชื่อข้า…จะไม่มีใครกักขังเจ้า เจ้าจะได้เห็นแสงตะวันในทุกวัน”
เขายืนอยู่ศาลาแดง น้ำทะเลสาบข้างหลังขยับไหว ปลาหลีฮื้อกระโดด
“ใบไม้ขลุ่ยกระดูกนั่น ช่วยให้เจ้าเลี่ยงความทรมานจากความเป็นเทพได้ ความเป็นเทพเต็มเจ้าก็ใส่ไว้ในขลุ่ยกระดูก หากสะดวก ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ” หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยน ในดวงตามีความรู้สึกซับซ้อน
อยู่กับนักพรตหญิงชราจิ้งไป๋คนนั้นมาห้าวัน แววตาของสวีชิงเยี่ยนไม่สะอาดบริสุทธิ์อีก
นางมองน้ำทะเลสาบศาลาแดงด้วยความสับสน มองสวนห้องบูรพารอบกาย รู้สึกคุ้นเคยแต่ก็แปลกตา
นางเคยทรมานจากความเป็นเทพ
เทียบกับพี่ชายตนและยังมีองค์ชายสามหลี่ไป๋หลินแล้ว นี่เป็นความเจ็บปวดที่ตรงไปตรงมาและโหดเหี้ยมที่สุด นางได้เห็นใบหน้าอัปลักษณ์ กระดาษขาวสะอาดนั้นไม่ขาวสะอาดอีก
เด็กสาวเว้นระยะห่างจากหนิงอี้สามสี่ก้าว ไม่เดินเข้ามาใกล้อีก
นี่เป็นระยะปลอดภัย ทุกครั้งที่จิ้งไป๋เข้าใกล้นาง นางจะรักษาระยะห่างนี้ตามจิตใต้สำนึก
ในความคิดนางเต็มไปด้วยสิ่งที่ประสบมาในหลายวันมานี้ รู้สึกว่าทุกชั่วยามคือความทรมาน คนที่ตอกหมุดถูกลงโทษแล้ว แต่หมุดยังคงอยู่ ต่อให้ดึงออกมาก็จะฝากเป็นรอยที่ไม่มีวันสมานได้
หนิงอี้เดินหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับยื่นมือข้างหนึ่ง จะตบบ่าเด็กสาว
แต่กลับโดนความว่างเปล่า
เด็กสาวหลบโดยจิตใต้สำนึก
“ผ่านไปแล้ว…ทุกอย่างผ่านไปแล้ว…” หนิงอี้พูดเสียงเบา “ลืมเสียเถอะ…”
สวีชิงเยี่ยนตอบอืมเสียงเบา
เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอกเบาๆ
หนิงอี้หันไปมองก็เห็นไห่กงกงยืนอยู่ปากประตู
“ขุนนางรองหนิง เรื่องในวังจัดการเรียบร้อยแล้ว จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้” ไห่กงกงถอนหายใจ ก่อนพูดอย่างนุ่มนวล “อาจารย์ท่านนั้นที่ฝ่าบาทเชิญมาให้แม่นางสวีจะมาถึงแล้ว ขอให้ขุนนางรองรีบออกไปด้วย”
หนิงอี้พยักหน้า ไห่กงกงพูดจบก็ปิดประตูสวนห้องบูรพาอย่างรู้มารยาท
หนิงอี้ไม่พูดอีก เตรียมจะไปจากที่นี่
แต่แขนเสื้อข้างหลังถูกดึงเบาๆ
หนิงอี้หมุนตัวกลับมาด้วยความงุนงงเล็กน้อย เด็กสาวโผเข้าอ้อมกอด เสียงสะอื้นดังขึ้นทีละนิด
เด็กหนุ่มมีสีหน้าโอนอ่อนลงทันที ก้มหน้าลง สองมือว่างเปล่า ข้างหนึ่งลังเลแล้วลังเลอีกก่อนจะวางลงช้าๆ ตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ
เวลานี้ยาวนานแต่ก็สั้น
สายลมใบไม้ผลิพัดผ่านใบหน้า
น้ำทะเลสาบโดดขึ้น
ไม่มีใครพูดอะไร
หนิงอี้กับสวีชิงเยี่ยนยืนอยู่บนศาลาแดงของสวนห้องบูรพา ยืนอยู่ในฟ้าสางที่จะมาถึง
เด็กสาวไม่พูดสักคำ ร้องไห้ไม่น่าฟังเลย เสียงขาดๆ หายๆ หลายปีมานี้ทุกข์ใจมามาก ลำบากมามาก นางอึดอัดอยู่ในใจ สั่งสมจนมากขึ้น และได้ระบายออกมาในเสียงร้องไห้ทั้งหมด
กระดูกขาวสามารถเอาความเป็นเทพที่นางสั่งสมไว้ไปได้ แต่ไม่อาจนำความเจ็บปวดที่นางประสบมาไปได้
หนิงอี้เงียบและก็เงียบ
เขารู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้มีชีวิตที่ไม่ง่ายเลย
ชีวิตลำบากขึ้นในทุกวัน
ชีวิตทุกข์เช่นนี้แล้ว ไฉนจะต้องประสบความทุกข์ยากมากมายในโลกอีก
เด็กสาวคนนี้ไม่มีอะไรเลย ทั้งโลกมืดมิด
คนที่เปิดประตูให้นางคือตน คนที่ให้แสงสว่างแรกกับนางก็คือตน
ผ่านไปนานมาก
เด็กสาวหยุดร้อง นางพูดทีละคำ พูดสะอื้นไห้ “คุณชายหนิงอี้…ข้าอยากถามเจ้า ว่าข้าทำอะไรผิดไปหรือไม่”
จิ้งไป๋ทุบตีนาง ด่านาง หยามเหยียดนาง ทรมานนาง
นี่กลายเป็นตราประทับลงในจิตใจ
หนิงอี้ส่ายหน้า
ใบหน้าเด็กสาวเป็นดอกไม้น้ำตาไปหมดแล้ว
เสียงสวีชิงเยี่ยนมีความทุกข์ปน “ข้ารู้ว่าโลกนี้มีคนชั่ว ข้า…ควรจะต่อต้านตั้งนานแล้วหรือไม่”
เมื่อคืนวานนางอยู่ในความเจ็บปวดทั้งคืน ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง
หากตนหยิบเศษกระเบื้องนั่นขึ้นมาแต่แรก
หากตนตัดสินใจเลือกได้
หากตนมีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง
หนิงอี้เงียบ
หนิงอี้ไม่รู้ว่าตนอยู่ในตำแหน่งใดในใจเด็กสาว แต่เขารู้ว่า…เขาควรทำอะไรบางอย่าง ควรพูดบางอย่าง
ในโลกของหนิงอี้มีเด็กนั่น มีสวีจั้ง มีเขาสู่ซาน มีวิถีกระบี่ มีความแค้นและมีแรงผลักดัน
โลกของสวีชิงเยี่ยนเป็นเพียงกระดาษขาว
หนิงอี้รู้ว่ากระดาษขาวไม่มีทางขาวไปตลอดกาล แต่หากเป็นไปได้ เขาก็หวังว่าสวีชิงเยี่ยน…จะไม่ถูกสีสันในอ่างย้อมสีทำสกปรก อย่างน้อย ก็ให้นางได้เป็นคนแบบที่อยากเป็น
หนิงอี้พูดคำพูดช่วงล่าง
และคำพูดพวกนี้เปลี่ยนแปลงสวีชิงเยี่ยนไปตลอดกาล
“ใช่”
เป็นคำพูดที่แน่วแน่
น้ำเสียงของหนิงอี้เด็ดขาดขึ้น เดิมทีเขาไม่อยากให้สวีชิงเยี่ยนรับรู้ความโหดร้ายของโลกนี้เร็วเกินไป
แต่นางถามแล้ว
เขาก็จะตอบตามเจตนาเดิม
“เจ้าควรจะแน่วแน่กว่านี้ แกร่งกว่านี้” หนิงอี้ปล่อยมือจากร่มกระดาษมัน จากนั้นกำไว้อีกครั้ง
นี่คือหลักการที่สวีจั้งสอนเขา
“สวีชิงเยี่ยน”
หนิงอี้เอ่ยนามนี้ ก่อนพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “การเป็นคนที่กุมชะตาชีวิตตัวเองได้ ไม่ถูกเหยียบย่ำ ไม่ถูกรังแก ไม่ถูกหยามเหยียด…นี่ต่างหากเรียกว่า ‘ชีวิต’”
………………………….