เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 169 หนีงานแต่ง
ตอนที่ 169 หนีงานแต่ง
หนิงอี้เคยได้ยินนามของหลี่ไป๋เถา
แดนทักษิณภูเขาใหญ่แสนลี้
ด้วยชื่อเสียงของหานเยวียชั่วร้ายเพียงใดเป็นหลักฐาน ก็มองออกได้ว่า…ที่บ้าที่นั่นอันตรายเพียงใด
สภาพแวดล้อมเลวร้ายย่ำแย่
สามองค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าสุยมีสภาพการณ์เหมือนหลังวังแห่งนี้ รัชทายาทไม่แก่งแย่งชิง องค์ชายรองกับองค์ชายสามต่อสู้กันพลิกฟ้าดิน ไม่เงียบสงบ
และอีกคนที่ไม่แก่งแย่งชิง…ก็คือพระสนมเขตทักษิณ
เพราะนางเกิดมาก็เป็นองค์หญิง ได้รับนามไป๋เถา ส่งไปชายแดนทักษิณ ถูกสามกรมต้าสุยท้องถิ่นประคองไว้ในฝ่ามือ ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายก็มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง ดูจากหลายข่าวที่ส่งมาถึงเมืองหลวง ก็เป็นคนที่หัวดื้อ หลังจากหานเยวียออกจากแดนทักษิณ นางก็กลายเป็นผู้ปกครองน้อยแห่งภูเขาใหญ่แสนลี้อย่างเต็มภาคภูมิ
นี่คือเหตุผลที่หนิงอี้เงียบ
ดูจากวันเดือนปีเกิดและราศี ซ่งอีเหรินกับองค์หญิงต้าสุยนามหลี่ไป๋เถาคนนั้น…ไม่เกี่ยวข้องกันเลย คนหนึ่งตั้งใจจะเอาอย่างสวีจั้ง ร่อนเร่พเนจร อยู่อย่างเงียบสงบ อีกคนได้ยินว่าเหมือนภูเขาสูงอันตรายและสายน้ำเชี่ยวกราก เป็นอสรพิษประจำถิ่น ไม่เคยข้ามถิ่น ปักรากฐานแดนทักษิณ อยากจะแตกหน่องอกเงยใจจะขาด
“ก่อนที่จะได้คุยกับพระสนมท่านนั้น เจตนาเดิมของข้าคือหนีไปได้นานเท่าไรก็เท่านั้น…กลับเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าว่าจะไปอีกครั้ง ท่านพ่อท่านแม่อยู่ด้วย ยังช่วยหลอกล่อได้บ้าง ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระกับยัยเด็กจูซานั่นอีกสองปี” ซ่งอีเหรินชะงักไป ก่อนจะเอ่ยต่อ “เรื่องหลังจากนี้ ก็ค่อยว่ากัน”
“หลังจากคุยแล้วล่ะ”
หนิงอี้เกิดความสนใจขึ้นมานิดๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นมองซ่งอีเหริน
ซ่งอีเหรินยืนริมศาลาแดง เขามองน้ำทะเลสาบไหล หรี่ตาลงเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “เรื่องที่คุยกับพระสนมแดนทักษิณในตำหนักกรสุทธิ์ พูดออกมา…เกรงว่าเจ้าคงไม่เชื่อ”
“สามองค์ชายแห่งเมืองหลวง นอกจากหลี่ไป๋จิงที่สมคำร่ำลือ ไม่แสดงความทะเยอทะยานใดๆ แล้ว อีกสองคน ข้าว่าคงไม่ได้ง่ายเหมือนที่เห็นภายนอก” ซ่งอีเหรินมีสีหน้าจริงจังขึ้นทีละนิด “องค์รัชทายาทไม่สนใจอะไรเลย ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาทุกวันรึ ถ้าอย่างนั้น เหตุใดต้องให้คุณชายหยวนฉุนมาเป็นอาจารย์ของตนด้วย องค์ชายสามหลี่ไป๋หลินเผยเจตนาออกมาแล้ว การซ่อนงำยี่สิบสี่ปีแลกกับการได้ลืมตาอ้าปากในวันนี้ ก่อนหน้านี้มีข่าวในเมืองหลวงว่าเขาเป็นคนแบบใด หลงใหลในกามรมณ์ ใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ ทำตัวไม่มีประโยชน์ ทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อเลี่ยงคมของแดนบูรพา”
หนิงอี้พูดงึมงำ “เป็นเช่นนั้นจริง…เจ้าจะบอกว่าหลี่ไป๋เถาไม่ใช่แบบนี้รึ”
ซ่งอีเหรินพยักหน้า “ใช่ และก็ไม่ใช่ หลี่ไป๋เถาเป็นคนที่ไม่ควรล่วงเกิน แต่ก็ไม่ถือว่าหัวดื้อ เรื่องการหมั่นนี้ สองคนต่างโกรธอยู่ในใจ แต่ระบายออกมาไม่ได้ ศัตรูของศัตรูคือสหาย ตอนอยู่ในตำหนักกรวิสุทธิ์ ข้าใช้กระจกเชื่อมจิตคุยกันคร่าวๆ แล้ว ถือว่ารู้กัน เรื่องงานแต่งครั้งนี้ ข้าหนีไปไม่เท่าไร แต่ก็แก้ปัญหาทำให้นางเสียชื่อเสียงไม่ได้”
“ดังนั้นพวกเจ้าเลยร่วมมือกันแก้ปัญหานี้รึ” หนิงอี้ตกใจอยู่ข้างใน เขามองซ่งอีเหริน เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าถือว่ายอมรับคำพูดของตน จึงรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมานิดๆ…ความสัมพันธ์พันธมิตรระดับนี้ เขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก
“นางอยู่แดนทักษิณ ความจริงไม่ได้มีอิสระเท่าไร ยังถูกจำกัดอยู่” ซ่งอีเหรินหรี่ตาลง พูดเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “ข้าหารือในตำหนักกรวิสุทธิ์มาแล้ว กลับเมืองหลวงมา อีกไม่นานข้าน่าจะถูกส่งไปแดนทักษิณ ถือว่าพบหน้ากัน และถือว่า ‘บ่มเพาะความรัก’…ภูเขาใหญ่แดนทักษิณแสนลี้ ผู้บำเพ็ญภูตผีมีช่องทางมากมาย มือเท้าแดนบูรพาก็เยอะ เบื้องหลังงานแต่งครั้งนี้มีกำลังพัวพันไม่มากและก็ไม่น้อย แต่ดีที่สลับซับซ้อน ชื่อเสียงพ่อแม่ข้าอยู่ข้างนอก พวกเขาไม่กล้าแตะต้องข้า แต่หลังจากไปแล้ว เกรงว่าจะหนีไปคงแทบไม่มีหวังเลย”
หนิงอี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พูดมาเยอะขนาดนี้ ยังไม่บอกเลยว่าจะให้ข้าทำอะไร”
ซ่งอีเหรินนำยันต์หยกแผ่นหนึ่งมาจากกระเป๋าเอว
หนิงอี้เคยเห็นยันต์หยกนี้ ตอนอยู่อารามรู้กรรม องค์ชายสามต้าสุยหลี่ไป๋หลินก็เคยใช้
“ยันต์หยกนี้ ก็อย่างที่เจ้าเห็น สามารถข้ามมิติได้ ส่งข้าไปยังพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบง่าย ราชวงศ์ต้าสุยมีกันทุกคน บอกว่าล้ำค่าก็ไม่ แต่ไม่ใช่ของตามท้องถนนแน่นอน”
ซ่งอีเหรินพูดอย่างจริงจังด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เป็นองค์หญิงต้าสุย หลี่ไป๋เถาก็ต้องมีเหมือนกัน แต่ยันต์หยกนี่ไม่มีประโยชน์ในแดนทักษิณ…ค่ายกลของสามกรมแดนทักษิณศึกษาจากตำรามาตลอด ชำนาญการผนึกมิติ ยันต์หยกเคลื่อนย้าย ของที่หนักน้อยเกินไปใช้ไม่ได้ ของที่หนักเกินไปก็จะทำให้คนอื่นรู้ตัว”
หนิงอี้เงียบ
ซ่งอีเหรินพูดถึงตรงนี้พลันเงียบลง เหมือนกำลังลังเล คำพูดต่อไปทำให้หนิงอี้ใจสั่นไหว
“เรื่องของจวนเขาคราม…มีคนกำลังตรวจสอบ แล้วก็ตรวจเจอเจ้าแล้ว” ซ่งอีเหรินมองหนิงอี้ เขาไม่มีสีหน้าล้อเล่นเลย แต่จริงจังมาก “ทุบตีคุณชายครามเป็นเรื่องเล็ก แต่หลบไข่มุกเชื่อมฟ้าของราชวงศ์ไปได้ เรื่องใหญ่ หนิงอี้…เจ้าบอกข้าทีว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเจ้าหรือไม่”
หนิงอี้เงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาคลึงระหว่างคิ้วก่อนจะพยักหน้า
“ข้าทำเอง”
ซ่งอีเหรินได้คำตอบนี้ก็มีสีหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าเป็นฝีมือเจ้าหรือคนอื่น…นี่เป็นเรื่องดีสำหรับข้า แดนทักษิณจำกัดยันต์หยกเคลื่อนย้าย แต่ค่ายกลที่มีระดับสูงกว่า ไปถึงจวนขานฟ้าได้อย่างเงียบเชียบนั่น เป็นสิ่งที่ข้าต้องการ”
“เรื่องนี้ง่าย ข้าจะให้ค่ายกลนี้กับเจ้า” หนิงอี้พลันรู้สึกว่าหลังจากตนกลับเมืองหลวง ดูเหมือนคลื่นลมสงบนิ่ง แต่ความจริงไม่สงบเลย แต่มาทีละระลอก เรื่องราวหลังจากจวนเขาครามทำให้ตนถูกผูกเข้ากับปัญหาโดยไม่รู้ตัว เขามองซ่งอีเหรินพลางถามจริงจัง “เจ้าบอกว่าพวกเขาตรวจสอบเจอข้า ตรวจเจอได้อย่างไรกัน”
เรื่องนี้พัวพันกับความปลอดภัยของตน
และยังพัวพันไปถึงตัวตนของยัยเด็กนั่น
ก่อนหน้านี้หนิงอี้เสียอาการสองครั้งล้วนเกี่ยวกับยัยเด็กนั่น ดูจากสีหน้าและการแสดงออกของซ่งอีเหริน เหมือนจะไม่รู้ตัวตนจริงของเด็กนั่น…ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้สวีจั้งทำอะไรไว้ จนถึงตอนนี้ตัวตนของเผยฝานยังคงปลอดภัยมาก เข้าเมืองหลวงมาได้ ทั้งยังไม่ถูกตรวจพบ
แต่ความบุ่มบ่ามที่จวนเขาคราม…ก็ยังคงเป็นการย้ำหมุด หากมีคนจับได้ ทั้งยังยกขึ้นมา จะเกิดคลื่นลูกยักษ์ กระทั่งทำให้ทุกอย่างที่หนิงอี้ทำพังลง
เพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ เผยฝานจึงอยู่ในจวนตลอด แทบจะไม่เคยออกไปเลย
สุดท้ายสิ่งที่จะเกิดก็ต้องเกิด
หนิงอี้คลึงแก้ม เตือนตนเองว่าอย่าประมาทเด็ดขาด
คนแซ่ซ่งมีใบหน้าจนปัญญา ยักไหล่พูดขึ้น “รายละเอียดอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย ข้าอยู่แดนอุดร พ่อแม่ข้าอยู่แดนบูรพา ในวังไม่มีซ่อนตัวหมาก เรื่องนี้…เป็นความคิดจากทางตำหนักกรวิสุทธิ์ เชิญปรมาจารย์ค่ายกลท่านนั้นออกมือ ศึกษาค่ายกล จะได้ให้ข้ากับหลี่ไป๋เถาดองกันได้อย่างราบรื่น”
หนิงอี้ไล่ความคิดออกจากจวนเขาคราม กลับมาที่ซ่งอีเหริน เขาย่อยความหมายของอีกฝ่าย เวลานี้ไม่แน่ใจ จึงถามด้วยความสงสัย “ต้องการอะไร พูดมาให้ฟังหน่อย”
“ข้าไม่ชอบหลี่ไป๋เถา บังเอิญมาก นางก็ไม่ชอบข้าเช่นกัน” ซ่งอีเหรินแบมือ “ถึงเราสองคนจะไม่เคยพบกัน แต่ก็ถือว่าได้ทักทายกันในตำหนักกรวิสุทธิ์แล้ว นางมีคนที่ชอบแล้ว ข้าเองก็เช่นกัน”
“ได้ยินว่าหลี่ไป๋เถารักหนุ่มน้อยหน้าตาดีคนหนึ่ง รักปานจะกลืนกิน แต่ก็ไม่ได้มาครอง ข้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ตามฐานะแล้ว โลกนี้ไม่มีหญิงใดที่ไม่ชอบข้า และไม่มีหนุ่มน้อยหน้าตาดีใดที่นางเอื้อมไม่ถึง”
ซ่งอีเหรินยิ้ม “ทุกคนต่างมีสิทธิ์แสวงหาของที่ตนชอบ แดนทักษิณมีสิทธิ์ที่จะสังหารหนุ่มน้อยหน้าตาดีที่นางตามอยู่ กดนางไว้ในสภาพแวดล้อมเลวร้าย ไม่ให้นางหนีออกไปทำร้ายทุกคน หรือโยนสามัญชนผู้บริสุทธิ์ที่เกิดมาหน้าตาเหมือนถ่านอย่างข้าให้กับนาง นางต้องไม่ยินดีแน่”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ซ่งอีเหรินก็ลูบใบหน้ารูปไข่ของตน
ท่องแดนอุดรมาหลายปี ผิวพรรณเขาไม่ถือว่าขาวเนียนแล้ว ไม่ใช่หนุ่มน้อยหน้าตาดีที่ว่านั่น แต่ผิวก็ยังคงเรียบเนียน ในความอ่อนโยนยังมีความถูกต้องชอบธรรมสามสี่ส่วน ใบหน้าใช้คำว่าหล่อเหลามาบรรยายได้ ดูท่าขอบเขตนิพพานสองท่านคงจะมอบสายเลือดที่ค่อนข้างโดดเด่นให้เขา ใบหน้ารูปไข่นี้ไปอยู่ข้างนอก จะทำให้หญิงสาวหลงใหลกันเป็นกลุ่มใหญ่จริงๆ
“แน่นอนว่าเรื่องนี้ข้ารับได้ ข้าเองก็ไม่ยินดีเหมือนกัน บ้านข้ายังมีแม่นางที่ทั้งขายาว อกใหญ่และงดงามอยู่เหมือนกัน” ซ่งอีเหรินมองค้อน ก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “มีสิทธิ์อะไรถึงคิดจะใช้กฎบ้าของเมืองหลวงนั่น”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็ชำเลืองตามองเด็กสาวจูซาที่พิงประตูหลับอยู่ ดูจากท่าทางนี้ จูซาน่าจะหลับลึกแล้ว เส้นผมถูกสายลมเบาพัดไปมาเบาๆ ตรงแก้ม ใบหน้าเรียบนิ่งและไม่ยินดียินร้าย ลมหายใจช้าและยาว
“เพราะราชวงศ์ เจ้าเด็กจูซาของข้า ก็ยังเป็นได้แค่เด็กในแบบความหมายตรงตัวนั้น” ซ่งอีเหรินละสายตากลับ เขามองน้ำทะเลสาบของสวนห้องบูรพา น้ำเสียงโอนอ่อนขึ้นทีละนิด เอ่ยเนิบนาบ “พ่อแม่ข้าใจดีอุ้มนางกลับมาจากในแดนหิมะ ไม่นับว่าเป็นบุตรสาวด้วยซ้ำ เป็นได้แค่หญิงรับใช้ผ้าห่มอุ่น ไม่มีบุพการี ไม่มีสำนัก ไม่มีอะไรเลย มีเพียงข้า ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าหากวันใดเด็กนี่ไม่มีแม้แต่ข้า นางจะยังเหลืออะไรอีก”
“ข้านอน นางเป็นผ้าห่มอุ่น ข้าอ่านหนังสือ นางบดหมึก ตั้งแต่เล็กจนโต ตามเป็นเงาไม่ห่าง ข้าใช้ดาบ นางก็เรียนดาบสุดชีวิต ไม่อยากพิสูจน์ว่านางเก่งเพียงใด แค่อยากพิสูจน์ว่าไม่ว่าข้าทำอะไร นางก็จะไปอยู่เคียงข้างได้ อีกทั้งยังทำได้ดีมาก มีคุณสมบัติติดตามข้าตลอด”
ตอนซ่งอีเหรินพูดถึงตรงนี้ ในดวงตามีความไม่แน่นอนเสี้ยวหนึ่ง เส้นผมเขาถูกสายลมบนทะเลสาบพัด จอนผมสะบัด เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไปแดนอุดร ไปแดนทักษิณ สุดหล้าฟ้าเขียว ภูเขาดาบทะเลเพลิง ไม่ว่าข้าไปที่ใด นางจะต้องไปกับข้าแน่ มีวันนั้นที่ข้าแต่งงานเป็นข้อยกเว้น…แม้นางจะฝืนยิ้มออกมา แสดงความยินดีกับข้า แต่นางจะต้องไม่ไปกับข้าแน่”
หนิงอี้ก้มหน้าลง
เขาพลันนึกถึงเด็กสาวบ้านตน
หนิงอี้เอ่ยเสียงแหบ “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร”
“แต่งงานกับนาง!”
ซ่งอีเหรินเลิกปลายคิ้วขึ้น ละสายตากลับ “รอข้าไปแดนทักษิณ หลี่ไป๋เถาเดินถนนหลวงของนาง ข้าก็จะเดินสะพานไม้เดี่ยวของข้า!”
……………………………