เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า - ตอนที่ 168 หลี่ไป๋เถา
ตอนที่ 168 หลี่ไป๋เถา
คำพูดนี้ของซ่งอีเหรินทำให้หนิงอี้เงียบลงจริงๆ
มารดาเถอะ
มิน่าเจ้านี่สี่ห้าปีไม่กลับต้าสุย เที่ยวเล่นในแดนอุดร นี่กำลังเลียนแบบสวีจั้ง จะออกมาเสเพลทีสิบปีเลยรึ
ซ่งอีเหรินถูจมูก ก่อนเอ่ยเนิบนาบ “แม้จะไม่เคยพบหน้ากัน แต่ข้าได้ยินว่าคุณชายสวีจั้งบุกเดี่ยว ถือกระบี่ฟันผู้อาวุโสอาจารย์อาของเขาศักดิ์สิทธิ์มากมาย…แม้จะมีใจใฝ่หา แต่เกรงว่าเรื่องนี้ ชีวิตนี้ข้าคงทำไม่ได้”
ตอนที่เอ่ยถึงช่วงท้าย ซ่งอีเหรินยักไหล่ มีสีหน้าจนปัญญานิดๆ
คำพูดนี้ไม่ใช่คำโกหกเลย หนิงอี้คิดว่าไม่ตบคนหน้ายิ้มอยู่แล้ว ด้วยตัวตนของซ่งอีเหริน ไปเขาศักดิ์สิทธิ์ใด อีกฝ่ายก็จะมีไมตรีให้ ไหนเลยจะมีโอกาสบุกเดี่ยวฝ่าเขาศักดิ์สิทธิ์
“คุณชายสวีจั้งใช้กระบี่ ข้าใช้ดาบ นอกจากจุดนี้แล้วไม่มีความต่างกันเลย” ซ่งอีเหรินพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาจริงจัง เขาพูดอย่างมีลำดับขั้นตอน “สรุป ข้าอยากเป็นเหมือนสวีจั้ง เป็นคนเร่ร่อนอย่างแท้จริง ควบม้าบนที่ราบกว้างใหญ่ไร้พรมแดน พูดแบบนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หนิงอี้บีบแก้ม เขารู้สึกว่าคำพูดพวกนี้ย่อยได้ยากกว่าสถานการณ์ในวังเมืองหลวงอีก…คุณชายที่มีฐานะร่ำรวยและสูงศักดิ์ เหตุใดถึงคิดเที่ยวเล่นเช่นนี้ คิดตามหลักการปกติ ซ่งอีเหรินกำเนิดและเติบโตใต้หัวเข่าผู้บำเพ็ญสองท่านที่แกร่งที่สุดของสำนักเต๋าและเขาวิญญาณ หรือไม่คิดจะสืบทอดกิจการยิ่งใหญ่ หรือพลังที่คนธรรมดาบางคนไม่อาจเทียบติดได้กัน
มรดกของสำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธสร้างซ่งเชวี่ยกับเจ้าปราชญ์กู การจะสร้างอีกคนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“ท่านพ่อท่านแม่ข้านิพพานเร็วมาก พวกเขาไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญขอบเขตนิพพานที่ยากจะเดินไปได้แต่ละก้าวพวกนั้น…” ซ่งอีเหรินเป็นคนมีความคิดละเอียดอ่อน เขามองทีแรกก็เห็นความคิดคนอื่น ชำเลืองตามองหนิงอี้ทีหนึ่งก่อนหลับตาลง ในคำพูดมีความขมฝาดเสี้ยวหนึ่ง “พวกเขาอยากเป็น ‘ครอบครัวธรรมดา’”
ครอบครัวธรรมดา…หนิงอี้ย่อยคำนี้ช้าๆ ซ่งอีเหรินพูดสีคำนี้ด้วยใบหน้าจนปัญญา เหมือนถูกคำว่าครอบครัวธรรมดากวนใจ อีกทั้งยังปวดศีรษะ
“แล้วอย่างไร”
หนิงอี้หยั่งเชิงถาม
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ
“บังคับแต่งงาน”
“พ่อแม่รักข้ามาก ต้องการอะไรก็ได้” ซ่งอีเหรินกุมหน้าผากปวดศีรษะ พูดงึมงำ “ข้าเข้าใจความหมายของพวกเขา และรู้ว่าครอบครัวธรรมดาที่พวกเขาพูดถึงมีความหมายแฝงอย่างไร ข้าอายุมากแล้ว หากไม่รีบอาจจะทำร้ายแม่นางบางคน…อาจจะเกิดปัญหาได้”
“ปัญหารึ”
หนิงอี้ย่อยคำนี้
ครอบครัวธรรมดาของต้าสุยอยู่ที่ช่วงอายุนี้จริงๆ ใกล้จะต้องแต่งงานแล้ว กำเนิดบุตร แต่ผู้บำเพ็ญมีกาลเวลาที่ยาวนาน ต่อให้แต่งงานเป็นคู่ชีวิต ก็ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น ซ่งอีเหรินอายุเท่านี้ วางในผู้บำเพ็ญก็เป็นคนที่หนุ่มมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องแต่งงานเลย
ซ่งอีเหรินครุ่นคิด ไม่พิงราวไม้อย่างเกียจคร้านอีก แต่เหยียดตัวตรง นั่งเรียบร้อย
“ก็อย่างที่เจ้ารู้ อย่างที่ทุกคนรู้…ข้ากำเนิดในครอบครัวที่หายากกว่าราชวงศ์ต้าสุย”
ยอดฝีมือขอบเขตนิพพานสองคนแต่งงานกัน ให้กำเนิดทายาท นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากจริงๆ
“ใต้ฟ้านี้…ก็ยังเป็นใต้ฟ้าของต้าสุย ผู้นำของสำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธห้ามฝึกบำเพ็ญ ทุกปีจะต้องเข้าพบที่เมืองหลวง ก็เพื่อยืนยันในจุดนี้ ไม่ว่าจักรพรรดิจะแกร่งเพียงใดก็ยังมีความระแวงอยู่” ซ่งอีเหรินพูดพวกนี้ ไม่ได้กลัวคนอื่นได้ยินเลย เขาบีบยันต์กั้นเสียงยาวนั้น ระดับสูงยิ่ง ไม่มีโอกาสเสียหายเลย
เขาจ้องหนิงอี้พลางพูดทีละคำ “และวิธีการรวมพลังของราชวงศ์ ในนั้นมีอย่างหนึ่งก็คือการแต่งงาน”
“ไม่ปราบปรามก็แต่งงาน” ซ่งอีเหรินพูดอย่างจริงจัง “สาวกของสำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากใช้ประโยชน์ได้ดีก็จะเสริมความแกร่งให้กับการปกครองของราชวงศ์ต้าสุย แต่จะไม่ให้โอกาสสองสำนักร่วมมือกันเด็ดขาด ซึ่งต่างจากเขาศักดิ์สิทธิ์ หากสำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธตัดสินใจก่อคลื่นลมขึ้น เช่นนั้นก็จะเป็นอำนาจคุกคามยิ่งใหญ่ทั้งใต้ฟ้านี้ กฎเหล็กนั่นของจักรพรรดิองค์แรกก็ห้ามให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น”
“หลายปีมานี้ สำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธอยู่ในสภาพการณ์เป็นศัตรูต่อกันที่ถูกคนชักนำมาตลอด จนท่านพ่อกับท่านแม่ข้าแต่งงานกันถึงได้ยุติลง” ซ่งอีเหรินเพ่งสายตามอง ก่อนเอ่ยเนิบนาบ “ไม่เคยคิดเลยว่ายอดฝีมือขอบเขตนิพพานสองคนจากสำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธจะแต่งงานกันได้”
จุดนี้ เป็นความจริง
ยอดผู้บำเพ็ญในฝ่ายพุทธ ส่วนใหญ่เป็นบุรุษเพศ สตรีเพศน้อยมาก คนพวกนั้นที่มาจากเขาวิญญาณจะต้องเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีจิตใจใสสะอาด ไม่มีความปรารถนา จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแต่งงาน แต่ราชาสวรรค์ซ่งเชวี่ยเป็นข้อยกเว้น คนที่ใช้ฐานะแขกพิเศษทางโลกต่อไฟสำเร็จก็มีเพียงเขาคนเดียว
เจ้าปราชญ์บ่อหยกกูเป็นคนงดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์สำนักเต๋าเช่นกัน สืบทอดมรดกของผู้สูงศักดิ์สวรรค์สองท่าน อีกทั้งยังก้าวข้ามขอบเขตนิพพานสำเร็จ และเพราะตัวตนกับฐานะของเจ้าปราชญ์กูนี้เองถึงให้สำนักเต๋ามอบทรัพยากรบำเพ็ญให้ซ่งเชวี่ยได้อย่างตามใจ
เขาวิญญาณมีขอบเขตนิพพานเพิ่มมาอีกท่าน ก็มีแรงช่วยจากสำนักเต๋าอย่างมาก…ดังนั้นเชือกที่ไม่เคยมัดรวมกันจึงถูกทั้งสองท่านบิดเข้าด้วยกัน ทั้งยังมีแนวโน้มจะรวมกันแล้ว
“นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทไม่อยากเห็น” ซ่งอีเหรินก้มหน้าลง พูดอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ข้าไม่รู้สึกปลอดภัยเลย”
หนิงอี้ได้ยินว่าวันนั้นที่ซ่งเชวี่ยต่อไฟสำเร็จก็ถูกเชิญเข้าวัง เบื้องหน้าคือฝ่าบาทแสดงการขอบคุณเขา แต่ความจริงมีความหมายชัดเจนไม่ต้องบอกเลย…หากจิตใจกับนิสัยของซ่งเชวี่ยไม่ตรงกับที่ฝ่าบาทคาดการณ์ไว้ เช่นนั้นแขกพิเศษทางโลกฝ่ายพุทธท่านนี้ คงไม่อาจเดินอย่างราบรื่นจนมาถึงตอนนี้ได้
“ท่านแม่ข้ามีตัวตนพิเศษ ความจริงพวกเขายังดี ในกาลเวลาอันยาวนาน สำนักเต๋ากับฝ่ายพุทธสงบสุขมานานมาก สงครามทางโลกเทาก็สู้มานานเหมือนกัน ดังนั้นฝ่าบาทจึงไม่ได้รู้สึกไม่เหมาะสมอะไร”
ซ่งอีเหรินพูดเสียงเบา “ซ่งเชวี่ยกับแม่ข้าชอบปิดด่านบำเพ็ญ เมืองหลวงมองพวกเขาสองคนออกว่าเป็นเพียงนกกระสาป่าบินเหนือเมฆลอย ไม่มีความทะเยอทะยานมากเกินไป ดังนั้นจึงนั่งมองไม่สนใจ แต่การเกิดมาของข้า…ทำให้รูปแบบทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีก”
หนิงอี้เอ่ยขึ้น “ตัวตนของเจ้าทำให้เจ้า…ใช้ตัวตนของเจ้าคนเดียวรวมสองสำนักไว้ได้”
“ใช่”
ซ่งอีเหรินเงยหน้ามองฟ้า เขาพูดนิ่งๆ “นี่คือเหตุผลที่พวกเขาอยากจะเป็นครอบครัวธรรมดา”
“ค่ำคืนโลหิตเมืองหลวงสร้างภาพจำต่อพวกเขาอย่างรุนแรงมาก” ซ่งอีเหรินหรี่ตาลง เอ่ยมาทีละคำ “แข็งแกร่งอย่างเผยหมิน ปฏิเสธงานแต่งที่ฝ่าบาทเสนอก็มีจุดจบเช่นนั้น ตระกูลเผยล่มสลายถูกฆ่าล้าง นี่ไม่ใช่ความลับในเมืองหลวงอีก เมื่อวานเป็นตระกูลเผย พรุ่งนี้จะเป็นตระกูลซ่งหรือไม่”
“สาเหตุหลักที่ตระกูลเผยถูกล้างบางไม่เกี่ยวกับการปฏิเสธงานแต่ง แต่เป็นเพราะพลังของเผยหมินคนเดียวที่ไปถึงจุดที่กฎหมายเมืองหลวงไม่อาจกำราบลงได้”
ซ่งอีเหรินมองหนิงอี้ เขาพบว่าหนิงอี้หน้ามืดลงทันที ขมวดคิ้วขึ้น “เป็นอะไรไป…”
หนิงอี้โบกมือ ไล่ความคิดในใจ ก่อนจะแสร้งยิ้มแห้งๆ “ไม่มีอะไร ข้าแค่นึกถึงสวีจั้ง…”
ซ่งอีเหรินยิ้ม ศิษย์พี่ของหนิงอี้คือสวีจั้ง ค่ำคืนโลหิตเมืองหลวงในตอนนั้น อาจารย์ของสวีจั้งสิ้นชีพ คนรักก็ถูกสังหาร เป็นหนึ่งในผู้ประสบเคราะห์ที่มากที่สุดในนั้น ดังนั้นจึงก้าวสู่เส้นทางแก้แค้นอันยาวนาน
บุญคุณความแค้นผูกปมในงานศพของเขาสู่ซาน
คนมากมายคาดเดาว่าสวีจั้งอยากมาเมืองหลวง ออกกระบี่ใส่ฝ่าบาท
จักรพรรดิสบายใจกับเรื่องนี้ เขาเปิดประตูใหญ่ให้ทุกคน เขาไม่เคยสั่งใครในเมืองหลวงให้ออกมือจับตัวสวีจั้ง ความจริง…จักรพรรดิสรรเสริญและชื่นชมท่าทีของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้มาก
หากวันใดสวีจั้งถือกระบี่มาเมืองหลวง เกรงว่าจักรพรรดิคงจะสั่งให้ทุกคนหลีกทาง
เหมือนเผยหมินในตอนนั้น
สู้อย่างยุติธรรม
นี่คือน้ำใจและจิตใจของผู้เป็นจักรพรรดิ
แต่น่าเสียดายมาก สวีจั้งรู้ว่าตนห่างจากจักรพรรดิ ระยะห่างเหมือนเมฆกับดินเลน
ตอนที่เขายังไปไม่ถึงก้าวนั้น ทุกอย่างที่ทำล้วนเสียเปล่า เพราะโอกาสแบกกระบี่ยาวเข้าเมืองหลวงมีเพียงครั้งเดียว และพลังบำเพ็ญเขาไม่พร้อม ท้าสู้ล้มเหลว เช่นนั้นตายก็ตายไป โอกาสที่มีครั้งเดียวก็จะเสียเปล่าเช่นกัน
“สวีจั้งเป็นนักสู้ที่ยิ่งใหญ่” ซ่งอีเหรินก้มหน้าลง เขาส่ายหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม “การเสนอแต่งงานของฝ่าบาทในตอนนั้น เล่าลือว่ามีเบื้องลึกมากมาย คนที่หวังจะเป็นลูกเขยตระกูลเผยมีเยอะมาก สุดท้ายผู้โชคดีที่ได้ไปครองก็คือองค์ชายสามหลี่ไป๋หลิน…หากเรื่องแต่งงานจบลงด้วยดี บางทีคงไม่เกิดเรื่องมากมายขนาดนั้น สวีจั้งคงจะไม่ต้องเจ็บปวดปานนั้น ตระกูลเผยดองกับราชวงศ์ ฝ่าบาทก็คงไม่คิดสังหาร”
อีกด้านของคู่หมั้น
คือหลี่ไป๋หลิน
ข่าวนี้ตกลงทะเลสาบจิต จะสงบนิ่งได้อย่างไร
เสียงดัง ‘ตึก’
หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกดร่มกระดาษมัน คลื่นลมใต้ร่มเดือดพล่าน ม้านั่งหินทั้งตัวพังทลายลง ละอองน้ำทะเลสาบศาลาแดงพลันกระจาย สีหน้าเขาขยับวูบวาบ ยกแขนขึ้นสบายๆ ปักด้ามร่มยืนขึ้น
ซ่งอีเหรินมองหนิงอี้ด้วยสีหน้าแปลกๆ
หนิงอี้กดความรู้สึกหลากหลายในใจลง ก้มหน้าพูด “หากมีโอกาส ข้าจะออกกระบี่แทนสวีจั้ง”
ซ่งอีเหรินมองหนิงอี้ ยกเหตุผลที่เขาเสียอาการไปรวมกับค่ำคืนโลหิตเมืองหลวงที่ตนพูด เอ่ยถึงความตายของสวีจั้งทำให้หนิงอี้โกรธขึ้นมา…
เขาส่ายหน้า “ฝ่าบาทอยู่ที่นั่น ในเมื่อเขายินดีแต่งตั้งเจ้าเป็นขุนนางรองท่องกระบี่ คงจะไม่สนใจกระบี่ของเจ้า นี่เป็นเรื่องน่าชื่นชม และเป็นความมั่นใจในตัวเองอย่างหนึ่ง”
“พูดมาเยอะขนาดนี้ เรื่องค่ำคืนโลหิตเมืองหลวง…เจ้าแค่ฟังก็พอ ไม่ต้องไปตามหาความจริง นี่เป็นบุญคุณความแค้นในอดีต” ซ่งอีเหรินลุกขึ้นเช่นกัน ยืนข้างหนิงอี้ พูดเสียงเบา “วันนี้ได้คุยกับพระสนมแห่งเขตทักษิณ อยู่แดนอุดรมาหลายปี เป็นผู้ถือคำสั่งมีอิสระ หลังกลับมาเมืองหลวง เรื่องที่กังวลมากที่สุดก็กลายเป็นความจริงแล้ว”
หนิงอี้มองซ่งอีเหริน
ทูตผู้ถือคำสั่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในกรมปราบปีศาจคนนี้ พูดด้วยความปวดใจและจนปัญญามาก
“ข้าถูกหมั้นหมาย องค์หญิงหลี่ไป๋เถาแห่งต้าสุย ตัวอยู่เขตทักษิณ ห่างไกลพันลี้”
หนิงอี้เงียบแล้วก็เงียบอีก ก่อนจะพูด “จะให้ข้าทำอะไร”
………………………..